ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 342 เศรษฐีอวดรวย
ตอนที่ 342 เศรษฐีอวดรวย
“อื้อๆๆๆ…”
เซียวเหยาถอนใจถูกอุดปากจนแทบหายใจไม่ออกตายอยู่ตรงนั้น
พอพ้นสายตากัวจิ้งแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้สะบัดเจ้าหมอนี่ออกไป แล้วนำกระดาษที่เหลือจากการทาบพิมพ์ตำราตกทอดของตู๋กูออกมาเช็ดมือ พร้อมกล่าวอย่างเข้มงวดเพื่อให้เขาทำตัวดีขึ้น “มีหัวหน้าทีมอยู่ เจ้าอย่าพูดซี้ซั้วเพราะคิดไปเองว่าตัวเองฉลาดได้ไหม”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงตำหนิ เซียวเหยาถอนใจก็กล่าวเหมือนตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม “ในภารกิจมียอดฝีมืออย่างหวังชู่อีเพิ่มมาอีกคน ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ”
“เรื่องดีบ้าบออะไรล่ะ!” น้องดาบใช้ความรุนแรงยิ่งกว่าเยี่ยเว่ยหมิง ตบหลังศีรษะของเขาเสียเลย “ตอนนี้เรื่องช่วยหวังเฟยกลายเป็นภารกิจรองไปแล้ว ไปขโมยยาแทนหวังชู่อีต่างหากคือเหตุผลหลักที่พวกเราจะเข้าจวนท่านอ๋องจ้าว โชคดีที่กัวจิ้งไม่ยอมรับข้อคิดเห็นของเจ้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าภารกิจที่ง่ายๆ แบบนี้จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนอะไรขึ้นมาอีก”
ที่จริงพอหวังชู่อีเสียเปรียบแล้ว ตอนนี้กัวจิ้งก็ต้องไปขโมยยาถึงจะมีเหตุผลให้เข้าจวนท่านอ๋องได้ ถ้าหวังชู่อีสบายดีแล้ว เช่นนั้นคนที่เคยเสียเปรียบมาหนึ่งครั้งอย่างเขา จะยังดึงดันบุกจวนท่านอ๋องเพื่อช่วยคนอยู่อีกหรือ
อย่างน้อยก็ต้องไปรวมตัวกับหม่าอวี้กับชิวชู่จีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เมื่อถึงตอนนั้น ใครจะไปรู้ว่าภารกิจที่เคยอยู่ในการควบคุมของตัวเองจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง!
ที่จริงแล้วเรื่องภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เยี่ยเว่ยหมิงกับน้องดาบไม่ได้สนใจมากนัก
ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับเดิม ตอนทำภารกิจไม่ได้หวังว่าจะผ่านด่านเพราะอาศัยเนื้อเรื่องของต้นฉบับเดิมเช่นกัน
สิ่งที่พวกเขาสนใจจริงๆ ก็คือ งูเหลือมที่เยี่ยเว่ยหมิงฝากไว้กับเหลียงจื่อเวิง!
ตอนนี้งูตัวนี้อยู่ในห้องยาของจวนท่านอ๋องจ้าวจริงๆ หากภารกิจเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อคิดจะตามหามันให้เจออีกก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว
ดังนั้นสำหรับภารกิจจวนท่านอ๋องจ้าวครั้งนี้ พวกเขายังหวังว่าจะเข้าไปในแผนที่นั้นได้อย่างราบรื่นตามเนื้อเรื่องเดิม
เมื่อเห็นยอดฝีมือเหนือยอดฝีมือสองคนในทีมลั่นวาจาพร้อมกัน เซียวเหยาถอนใจที่เป็นยอดฝีมือธรรมดาจึงเลือกที่จะหุบปากอย่างชาญฉลาด
ส่วนน้องดาบก็ย้ายสายตาไปบนตัวเยี่ยเว่ยหมิง “สำหรับตัวเลือกสุดท้ายของทีม ข้าแนะนำฉางซิงอวี่จากสำนักอู่ตัง เจ้าเห็นด้วยหรือเปล่า”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วมองน้องดาบแปลกๆ แวบหนึ่ง หรือว่าน้องสาวคนนี้คิดจะอาศัยเรื่องในครั้งนี้ตอบแทนน้ำใจที่เคยขอให้ฉางซิงอวี่ช่วยเหลือครั้งก่อน
ที่จริงแล้ว เรื่องศักยภาพของฉางซิงอวี่นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย เขาเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังพูดสิ่งที่ตัวเองคิดเตรียมไว้อยู่ดี “คำแนะนำของข้าก็เหมือนกัน เลือกยอดฝีมือของสำนักอู่ตังดีกว่า แต่กลับไม่ใช่สหายฉาง ข้าเลือกผู้เล่นสำนักอู่ตังที่ชื่ออินปู้คุย”
น้องดาบได้ยินแล้วขมวดคิ้วเรียวดุจกิ่งหลิว แม้จะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ตัวเองสู้เจ้าเวรนี่ไม่ได้ก็ยังกล่าวอย่างอดทนว่า “เหตุผลล่ะ”
“ถ้าพูดถึงความสามารถ ฉางซิงอวี่เหนือกว่าอินปู้คุยนิดหน่อยจริงๆ แต่ความรู้ความเข้าใจที่เขามีต่อเนื้อเรื่องต้นฉบับเดิม พวกเราทุกคนที่อยู่ตรงนี้เหมือนจะเทียบไม่ติด พวกเจ้ายังจำเรื่อง ‘ดาบสองคมสามแฉก’ ตอนนั้นได้หรือเปล่า คนหน้าเลือดที่เสวียนเสี่ยวปี่เอ่ยถึง ก็คือเขาคนนี้นั่นแหละ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทุกคนล้วนมีภาพติดอยู่ในความทรงจำบ้างนิดหน่อย ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเกมหลายปี ทุกคนย่อมสนใจคนที่มีข้อมูลภายในแบบนี้เป็นพิเศษอยู่แล้ว
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็พูดต่อว่า “แน่นอน หากเขาเป็นเพียงแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับเฉยๆ เมื่ออยู่ในภารกิจเดี่ยวที่เหมือนดันเจี้ยนครั้งนี้ เขาจะแสดงบทบาทได้จำกัดมาก ข้าเองก็ไม่นำผลประโยชน์ของทุกคนไปแลกกับการเอาใจคนอื่นเช่นกัน แต่ตามที่ข้ารู้มา มีความเป็นไปได้สูงว่าในจวนท่านอ๋องจ้าวแห่งนี้มี BOSS แฝงตัวอยู่หนึ่งคน ต้องขอความช่วยเหลือจากเขา พวกเราถึงจะมีโอกาสจัดการอีกฝ่ายได้!”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็ยังส่งข้อความส่วนตัวให้น้องดาบด้วย นางอ่านแล้วเบิกตากว้างทันที “เจ้าพูดจริงหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “ตามต้นฉบับเดิม นางใช้ชีวิตอยู่ข้างกายอาจารย์ของหยางคังในจวนท่านอ๋องจ้าว ตอนนี้หยางคังไม่อยู่แล้ว ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่านางยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ดังนั้น การคาดเดาของข้าเป็นเพียงการเดิมพันอย่างหนึ่ง รับประกันอะไรให้เจ้าไม่ได้”
น้องดาบได้ยินแล้วกลับยิ้มสวย “ที่จริงแล้ว ข้าเองก็คิดเช่นกัน ว่าอาศัยกำลังต่อสู้ของคนเราสี่คนก็พอแล้ว เพิ่มแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับไปสักคนก็ไม่เลวเหมือนกัน”
สะพานสวรรค์น้อยกับเซียวเหยาถอนใจย่อมเดาไม่ออกอยู่แล้วว่าพวกเขาสองคนกำลังพูดจาคลุมเครืออะไรกัน แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามก่อน
สะพานสวรรค์น้อยไม่ถามเพราะไม่อยากถาม นางกำลังคำนวณเงียบๆ ในใจว่าห้ายอดฝีมือในจวนท่านอ๋องจ้าว ยังเหลืออีกกี่คนที่ยังไม่ถูกฆ่า
ส่วนสาเหตุที่เซียวเหยาถอนใจไม่ถาม ก็เพราะไม่กล้าถามมาก
ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ส่งพิราบสื่อสารให้อินปู้คุยทันที แล้วอีกฝ่ายก็มีเวลาพอดี
เหมาะสมแล้ว!
……
หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่ง เจ้าคนหน้าเลือดก็ใช้ท่าร่าง ‘ทะยานบันไดเมฆา’ เดินทางมาถึงข้างกายพวกเขาแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นสถานการณ์แล้วอดตกตะลึงไม่ได้ “ไม่เจอกันครึ่งเดือน ความสามารถของเจ้าก้าวหน้าขึ้นเยอะ แม้แต่วิชาตัวเบาก็เร็วกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ”
อินปู้คุยยิ้มแห้งแล้วกล่าวอย่างภูมิใจว่า “ก็ข้าได้ ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ จากภารกิจก่อนหน้านี้ไง เพิ่มค่าตบะที่ได้จากรางวัลภารกิจไปบนนั้น บวกกับที่สะสมไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้าเพิ่มเลเวลวิชานี้ถึงเลเวลหกแล้ว แล้วก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ ‘วิชาเก้าเอี๊ยงเอ๋อเหมย’ จากภารกิจ ค่าสเตตัสที่ดันขึ้นมาก็ย่อมไม่น้อยอยู่แล้ว…
…ส่วนวิชาตัวเบา ข้าบอกได้เพียงว่า มันก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเหมือนเรือที่สูงขึ้นตามน้ำ”
หลังจากแนะนำเพื่อนร่วมทีมแต่ละคนให้อินปู้คุยคร่าวๆ แล้ว ทุกคนก็ออกเดินทางไปที่จวนท่านอ๋องจ้าวพร้อมกัน
นอกประตูเล็กด้านหลังของจวนท่านอ๋องเป็นอย่างที่คาดไว้ เห็นกัวจิ้งผู้ซื่อตรงกำลังยืนอยู่กับสาวน้อยชุดเขียวหน้าตางดงามคนหนึ่ง แต่สีหน้าท่าทางกลับดูน่ารักซุกซน นางกำลังชะเง้อหน้ามอง
หลังจากเห็นพวกเขามาถึงแล้ว กัวจิ้งก็โบกมือทักทายพวกเขาอย่างตื่นเต้นก่อนแล้วบอกว่า “นี่คือหรงเอ๋อร์สหายของข้า นางก็มาช่วยเช่นกัน”
ส่วนสาวน้อยชุดเขียวที่ถูกเรียกว่าหรงเอ๋อร์ก็เหมือนไม่ค่อยชอบพวกเขาเท่าไร เพียงทักทายพวกเขาอย่างขอไปที ก่อนจะบอกว่า “ในเมื่อคนมาครบแล้ว พวกเราเริ่มเคลื่อนไหวกันเถอะ”
พอพูดจบ นางก็ขยิบตาให้กัวจิ้งเหมือนโอ้อวดความรัก แล้วใช้ท่าร่างกระโดดเข้าไปในกำแพงบ้านด้วยกัน ขณะเดียวกันนี้เอง ทุกคนได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบพร้อมกันว่า
[ติ๊ง! คุณปลดล็อกและรับภารกิจ ‘ขโมยยาที่จวนท่านอ๋องจ้าว’ สำเร็จ]
[ขโมยยาที่จวนท่านอ๋องจ้าว]
นักพรตเต๋าหวังชู่อีถูกคนทรามวางแผนทำร้ายจนร่างกายถูกพิษร้าย แต่ยาถอนพิษมีอยู่ในจวนท่านอ๋องจ้าวเท่านั้น กรุณาแฝงตัวเข้าไปในจวนท่านอ๋องจ้าว ปฏิบัติภารกิจร่วมกับกัวจิ้งและหวงหรง ปล้นยาสำหรับช่วยรักษาหวังชู่อี
ระดับภารกิจ: 6 ดาว
รางวัลภารกิจ: ค่าประสบการณ์ ค่าตบะและรางวัลพิเศษอิงตามระดับความสำเร็จของการทำภารกิจ
เมื่อได้รับแจ้งเตือนภารกิจ ทุกคนก็ไม่ได้บ่นอะไรกับรางวัลภารกิจที่คลุมเครือนี้เช่นกัน เซียวเหยาถอนใจก็ยิ่งถูกเบี่ยงเบนความสนใจเยอะที่สุด “จะว่าไปแล้ว หวงหรงนั่นดูฉลาดมีไหวพริบแท้ๆ ทำไมถึงไปชอบเจ้าคนซื่อบื้ออย่างกัวจิ้งได้”
สำหรับคำถามนี้ อินปู้คุยได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วบอกว่า “อวดรวยจริงๆ!”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ในหัวทุกคนก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เยี่ยเว่ยหมิงที่สนิทกับเขาที่สุดก็ยิ่งถามสิ่งที่ใจทุกคนสงสัยออกมา “หมายความว่าอะไรกันแน่”
แม้เยี่ยเว่ยหมิงเคยอ่านกลยุทธ์ที่อินปู้คุยส่งให้เขา แต่ในเมื่อเป็นกลยุทธ์ แน่นอนว่าเป็นเพียงบันทึกที่เน้นหัวข้อสำคัญเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายขั้นตอนการจีบสาวของกัวจิ้งโดยละเอียด
ในบรรดาสี่คนนี้ เซียวเหยาถอนใจตาโตที่สุด เขารู้สึกว่าลักษณะของตัวเองคล้ายกัวจิ้ง หรือไม่ก็มีบางจุดให้เทียบกันได้
เมื่อเห็นทุกคนสนใจคำถามนี้ อินปู้คุยจึงบอกตรงๆ เสียเลยว่า “ก็ความหมายตามที่พูดน่ะสิ พวกเจ้าอย่าไปมองว่าเขาสมองกลวง ดูแล้วเหมือนคนบ้านนอกคอกนา ความจริงแล้วเขาเป็นเศรษฐีบ้านนอกขนานแท้ เป็นถึงว่าที่ราชบุตรเขยดาบทองเจงกิสข่านแห่งมองโกล ถือเป็นหนุ่มรูปหล่อพ่อรวยที่ซื่อสัตย์จริงใจแน่นอน…
…ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องจ่ายเงินให้สาวแน่ๆ ต่อให้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง แต่ก็ยอมจ่ายเงินอยู่ดี” อินปู้คุยส่ายหน้า “หวงหรงนั่นเป็นหนึ่งในห้ายอดฝีมือแห่งใต้หล้า เป็นบุตรสาวของมารบูรพาหวงเย่าซือ ย่อมไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างอยู่แล้ว แต่สำหรับความใจกว้างของกัวจิ้ง สุดท้ายก็ยังต้านไม่ไหว…
…หลังจากหนีออกจากบ้านมา ปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อยขอทานและพบกับกัวจิ้งโดบบังเอิญ ตอนที่กัวจิ้งยังไม่รู้ว่านางเป็นหญิงงาม ถูกนางหลอกกินข้าวไปหนึ่งมื้อ ตอนหลังก็ส่งทอง ส่งเสื้อขนสัตว์ ส่งม้าดีให้…ในยุคนั้นม้าเหงื่อโลหิตของกัวจิ้งถือเป็นยานพาหนะหรูหราที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็อาจจะมีเพียงตัวเดียว…
…เจ้าจะเข้าใจว่าเขาเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย์สินหลายร้อยล้านก็ได้ เสื้อผ้าแบรนด์ดังที่สุดในโลก รถหรูที่แพงที่สุดในโลก เขาถึงขั้นซื้อส่งให้ในคราเดียวโดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ…
…ระวังไว้ด้วยนะ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าหวงหรงเป็นหญิงงาม คิดว่านางเป็นขอทานที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น”
เมื่อได้ยินจากปากวอินปู้คุยว่ากัวจิ้งทำถึงขั้นนี้ เซียวเหยาถอนใจก็อึ้งไปหมดแล้ว
นี่สินะที่เรียกกันว่ามีเงินแล้วเอาแต่ใจได้ เขาหลอกข้าก็ไม่เป็นไร ให้เขาหลอกข้าต่อไป ข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาจะมีลูกไม้มาหลอกข้าเยอะขนาดไหน
แต่ทันใดนั้น เข้าก็เข้าใจแล้ว “บางทีกัวจิ้งอาจมองออกนานแล้วว่าหวงหรงเป็นสาวงามคนหนึ่ง ถึงได้ทำอย่างนี้”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” อินปู้คุยตอบอย่างมั่นใจมากว่า “คาแรกเตอร์ของกัวจิ้งในเรื่องนี้เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ถ้าพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือคนคมในฝัก แต่ไม่ใช้วิธีการเจ้าเล่ห์อย่างนั้นแน่นอน ทักษะการแสดงเป็นศูนย์ ส่วนหวงหรงพวกเจ้าก็เห็นแล้ว นางดูเหมือนคนที่ถูกคนอื่นแสดงละครหลอกหรือ…
…ดังนั้น วิธีการจีบสาวของกัวจิ้ง พวกเจ้าเลียนแบบไม่ได้หรอก”
สิ่งที่อินปู้คุยอธิบาย ไม่เพียงทำให้พวกเขาเข้าใจถึงจุดแข็งของกัวจิ้ง ขณะเดียวกันก็ทำให้สหายในทีมเข้าใจว่าแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับอย่างเขาไม่ใช่พวกแฟนนิยายไร้คุณภาพที่ขี่ม้าชมดอกไม้[1] รู้เพียงแค่เนื้อเรื่องผิวเผิน
ตอนนี้ สายตาที่เพื่อนในทีมมองเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
พอเห็นว่าคำพูดไม่กี่ประโยคของอินปู้คุยทำให้เพื่อนในทีมมองเห็นความสำคัญของเขา เยี่ยเว่ยหมิงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วบอกว่า “คุยรายละเอียดกันเท่านี้พอ พวกเรารีบไปทำภารกิจกันดีกว่า”
พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้ท่าร่าง ‘ทะยานบันไดเมฆา’ กระโดดหายเข้าไปกำแพงราวกับควัน ดูสง่างามและผ่อนคลายกว่ากัวจิ้งกับหวงหรงก่อนหน้านี้เสียอีก
ว่ากันว่าคนเรายิ่งขาดอะไรก็ยิ่งอวดสิ่งนั้น ประโยคนี้ตรงกับเยี่ยเว่ยหมิงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ตั้งแต่ที่เขาเรียน ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ก็มักชอบโอ้อวดวิชาตัวเบาที่สง่างามล่องลอยต่อหน้าคนอื่นเป็นพิเศษ
[1] ขี่ม้าชมดอกไม้ 走马观花 หมายถึง เข้าใจเพียงผิวเผิน ดูแค่คร่าวๆ