ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 352 ขยับขวาแล้ววาดสายรุ้งของคุณ
ตอนที่ 352 ขยับขวาแล้ววาดสายรุ้งของคุณ
ตอนที่ยอดฝีมือเหล่านี้สร้างเรื่องวุ่นวายในจวนท่านอ๋องซึ่งไม่ใช่เขตทหารอย่างอุกอาจ จะมีพลังทำลายล้างมากขนาดไหนกัน
ถึงอย่างไรพวกเขาก็จุดเพลิงในจวนท่านอ๋องจ้าวจนแสงไฟสว่างขึ้นทั่วทิศ วุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดด กลุ่มทหารองครักษ์พากันดับไฟอย่างชุลมุนราวกับแมลงวันไร้หัว อยากจะสังหารพวกเยี่ยเว่ยหมิงที่เป็นตัวการก่อเรื่อง แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายขนาดนี้ พวกเขาก็ทำอะไรคนที่ว่องไวพวกนี้ไม่ได้เลย
อันที่จริงพวกเยี่ยเว่ยหมิงก็นับว่ามีหัวใจเป็นมิตรในการช่วยเหลือผู้อื่น ถึงได้ทำอย่างนี้
เมื่อพวกเขาเห็นทหารแคว้นจินพวกนี้เตรียมจะเผาบ้านจึงเป็นฝ่ายช่วยเหลือโดยไม่คิดเงิน อาศัยน้ำมันในห้องเก็บของของจวนท่านอ๋องก่อกองไฟตรงจุดที่มีคนพักอยู่น้อยในจวนท่านอ๋องจ้าว (ยิ่งเป็นคนที่มีฐานะสูง พื้นที่พักอาศัยก็ยิ่งเยอะ) กับจุดในที่รกร้างไม่ค่อยมีคน (เช่นโกดังเก็บเสบียงอาหาร) ทำให้ผู้อยู่อาศัยในเขตหนาวได้เสพสุขจากความอบอุ่นของไฟสักหน่อย
แบบนี้เรียกว่าจิตวิญญาณของอะไร
นี่คือจิตวิญญาณแห่งลัทธิมนุษยธรรม ไม่คำนึงถึงแต่ตัวเอง ต้องคำนึงถึงคนอื่นด้วย!
แต่ทหารแคว้นจินกลุ่มนั้นก็แยกแยะดีชั่วไม่เป็น พวกเขาอุตส่าห์ช่วยเหลืออย่างไร้ความเห็นแก่ตัวแท้ๆ แต่นอกจากความซาบซึ้งใจจะเป็นศูนย์แล้ว กลับยังไล่สังหารพวกเขาอีก ไม่ใช่แค่นี้ อีกฝ่ายถึงขั้นเริ่มรวมกลุ่มกันไปตักน้ำแล้ว เตรียมจะสาดดับผลงานที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก!
มารดาเจ้าเถอะ เหตุใดคนเราจึงทำเรื่องอย่างนี้ได้
สำหรับพฤติกรรมน่ารังเกียจสุดขีดของพวกเขา เยี่ยเว่ยหมิงทนไม่ไหวจริงๆ จึงฉวยโอกาสตอนที่ทหารแคว้นจินเตรียมดับไฟ นำทีมบุกเข้าไปสังหารทันที ทำเอากลุ่มทหารแคว้นจินที่กำลังลนลานพ่ายแพ้ยับเยิน
จากนั้นเขาก็ถือโอกาสตอนที่กองหนุนยังมาไม่ถึง หายตัวไปในมุมมืดที่แสงไฟอันโชติช่วงส่องมาไม่ถึง เร้นกายาอำพรางนาม
ซู่! ซู่! ซู่!…
เขาสาดน้ำมันออกมาอีกถังแล้วถังเล่า แล้วน้องดาบก็โยนคบเพลิงดุ้นหนึ่งออกไป ทำให้โกดังเก็บถ่านในจวนท่านอ๋องเผาไหม้ในชั่วพริบตาเดียว “เจ้ามือปราบหน้าเหม็น ข้าว่าจำนวนทหารแคว้นจินที่นี่กำลังมากขึ้นเรื่อยๆ เลเวลก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มีทหารแคว้นจินกลุ่มใหม่โผล่มาอีกแล้ว เลเวลสูงถึงห้าสิบเอ็ด ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเราจะต้านไม่ไหว”
ตอนนี้เอง อินปู้คุยที่อยู่อีกด้านก็บอกว่า “ข้ารู้สึกว่าในแผนที่พิเศษแบบนี้ ศัตรูแต่ละชุดที่รีเฟรชออกมาจะมีเลเวลเพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวล ทั้งยังเพิ่มแบบไม่มีที่สิ้นสุดด้วย…
…แม้ทหารแคว้นจินเหล่านี้จะแข็งแกร่งขึ้นเฉพาะเลเวลกับค่าสเตตัสพื้นฐาน แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป บวกกับจำนวนของพวกเขา พวกเราก็ยังต้านไม่ไหวอยู่ดี”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้า จากนั้นบอกว่า “ถึงเวลาถอนกำลังแล้ว แต่ก่อนจะออกไป พวกเราควรจะเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์อีกสักรอบ ถือว่าการมาครั้งนี้ไม่เสียแรงเปล่า เอาเป็นห้องนอนของหวันเหยียนหงเลี่ยแล้วกัน ที่นั่นห้องใหญ่ ทั้งยังว่างเปล่าไร้คน หากเกิดเรื่องขึ้น นั่นคือจุดที่ศัตรูมิอาจเพิกเฉยที่จะช่วยเหลือ…
…หากรวบรวมกำลังทหารของฝ่ายศัตรูทั้งหมดได้ จากนั้นกำจัดทีเดียวพร้อมกัน…”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเพื่อนร่วมทีมก็ถอยหลังหลายก้าวพร้อมกัน รักษาระยะห่างกับเจ้าคนหน้ายิ้มใจโฉดคนนี้
……
ห้องนอนของหวันเหยียนหงเลี่ยเป็นตึกเดี่ยวสูงสามชั้น เผยกลิ่นอายชนชั้นสูงที่หรูหราและเน่าเฟะเต็มที่
ทันใดนั้น!
บนชั้นสามของตำหนักบรรทม หน้าต่างห้องนอนของหวันเหยียนหงเลี่ยก็ถูกคนผลักออกจากด้านใน
เมื่อมองจากด้านนอกก็เห็นชายหนุ่มในชุดนักพรตต๋าสีดำคนหนึ่งยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางลมหนาว เขากวาดสายตามองจวนอ๋องที่มีไฟลุกท่วมทั่วทุกมุมปราดหนึ่ง ตอนเห็นทหารแคว้นจินจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันกำลังค้นหาเบาะแสของพวกเขาก็อดตัวสั่นเพราะความกลัวไม่ได้
เขากล่าวเสียงสั่นเล็กน้อยว่า “สหายเยี่ย มีเจ้าจะให้ข้าถูกย่างอยู่บนกองไฟเหรอ!”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลจากข้างหลังเขา กำลังแกะเปลือกส้มพร้อมกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหว “อากาศหนาวเหน็บแบบนี้ ย่างสักหน่อยถือเป็นผลดีกับเจ้าแน่นอน แถมตอนคำนวณรางวัลภารกิจของดันเจี้ยนนี้ รางวัลก็จะสูงมาก ยกตัวอย่างเช่นน้องดาบที่คอยวางเพลิง ค่าผลงานของนางเพิ่มขึ้นเร็วมาก ประเดี๋ยวเดียวก็แซงหน้าข้าไปแล้ว…
…เจ้ามีทั้ง ‘วิชาเก้าเอี๊ยงเอ๋อเหมย’ มีทั้ง ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ มีค่าตบะนิดเดียวแต่อยากจะเพิ่มทั้งสองวิชา ตอนนี้โอกาสรวยมาถึงแล้ว จะให้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้า” เยี่ยเว่ยหมิงลุกขึ้นยืนแล้วตบบ่าอินปู้คุย “เขาว่ากันว่าคนอับโชคย่อมไม่รวย ม้าไร้หญ้ากินยามดึกย่อมไม่อ้วน ตอนนี้เป็นเวลาหารายได้พิเศษของเจ้า ไม่ต้องลังเลแล้ว”
พูดจบเขาก็จับขอบเตียงกระโดดลงจากชั้นสามทันที ทิ้งให้อินปู้คุยยืนวุ่นวายใจอยู่กลางสายลมคนเดียว
เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็นตัวเองแล้ว เขาก็ทำได้เพียงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นโคจรกำลังภายในสามส่วนไปบน ‘วิชาราชสีห์คำราม’ แล้วเอ่ยปากร้องเพลง
“ไร้ศัตรูโดดเดี่ยวแค่ไหน…ไร้ศัตรูว่างเปล่าเพียงใด…อยู่บนยอดเขาลำพัง ลมหนาวพัดผ่านไม่หยุดหย่อน! ความโดดเดี่ยวของข้า ผู้ใดจะเข้าใจ…”
เสียงทุ้มต่ำดังทั่วจวนท่านอ๋องเพราะ ‘วิชาราชสีห์คำราม’ ชั่วขณะนั้น สายตาของทุกคนก็ไปรวมอยู่บนหน้าของอินปู้คุยแล้ว เขาถูกมองจนอกสั่นขวัญแขวน
ตอนนี้ กลางหมู่ทหารแคว้นจินที่อยู่ข้างล่าง ในที่สุดก็มีคนตอบสนองแล้ว เขาชี้อินปู้คุยที่กล้าเอาจวนท่านอ๋องไปเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตส่วนตัว “มีคนบุกเข้าตำหนักบรรทมของท่านอ๋อง ทั้งยังร้องเพลงอยู่ตรงนั้นด้วย!”
“ขึ้นไปฆ่าเขา ทำให้เขารู้ว่าแคว้นจินของเราไม่ใช่จะรังแกกันได้ง่ายๆ!”
“เจ้าเด็กเปรต เจ้าตายแน่!”
……
ตามด้วยเสียงด่าอีกหลายเสียง ทหารแคว้นจินกลุ่มใหญ่พุ่งไปที่ตำหนักบรรทมของหวันเหยียนหงเลี่ยทันที เพราะแน่ใจแล้วว่ามีศัตรูบุกเข้าไปในนั้น พวกเขาจึงผลักประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเลอีก จากนั้นก็เบียดกันขึ้นไปชั้นสาม
ส่วนอินปู้คุยที่กำลังเผชิญกับสายตาสังหารนับพันในระยะใกล้ก็ยังแข็งใจร้องเพลงต่อไป “เจ้าที่หลบอยู่สุดขอบฟ้า ได้ยินข้าหรือไม่ ความโดดเดี่ยวของข้า โดดเดี่ยวไร้ที่สิ้นสุด…”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายอดฝีมือบู๊ลิ้มเหล่านี้มีฝีมือสูงส่ง แต่พวกเขาก็ยังเชื่อมั่นว่าตราบใดที่ใช้กลยุทธ์ทะเลฝูงชน ก็จะทำให้เจ้าเวรที่กล้าร้องเพลงอยู่ในจวนท่านอ๋องจมตายแน่นอน!
ยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ อินปู้คุยมองประตูห้องที่ถูกตู้และเตียงขวางไว้แน่นหนาปราดหนึ่ง แล้วโน้มน้าวตัวเองต่อไป “พวกเขาพุ่งเข้ามาไม่ได้หรอก พวกเขาพุ่งเข้ามาไม่ได้…”
เขาพลันหมุนตัว ทิ้งแผ่นหลังอันสง่างามไว้ให้บรรดาทหารแคว้นจินที่ตั้งกระบวนทัพรออยู่ข้างล่าง จากนั้นก็เริ่มร้องเล่นเต้นรำอย่างไม่เป็นจังหวะ “มาสิ! ขยับซ้ายแล้ววาดมังกรกับผม ขยับขวาแล้ววาดสายรุ้งของคุณ…”
“เจ้านักพรตเต๋าน่ารังเกียจ มองข้ามหัวกันเกินไปแล้ว!”
อินปู้คุยหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้พวกทหารแคว้นจินที่เฝ้าอยู่ข้างล่างทนไม่ไหว พุ่งขึ้นมาบนตึกอีกชุดใหญ่ ด้านนอกเหลือเพียงผู้บังคับกองร้อยหนึ่งนายกับพลธนูข้างหลังอีกหนึ่งร้อยนาย พวกเขากำลังตั้งคันศรเล็งไปที่หน้าต่าง…
หากไม่ใช่เพราะตรงนั้นคือห้องนอนของหวันเหยียนหงเลี่ย ทำให้พวกเขาไม่กล้ายิงซี้ซั้ว ตอนนี้อินปู้คุยคงพรุนเป็นตะแกรงไปแล้ว