ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 383 ทำงานตามที่ข้าส่งสายตาให้
ตอนที่ 383 ทำงานตามที่ข้าส่งสายตาให้
หลังจากวิ่งข้ามกำแพงและหลังคาบ้านมาตลอดทางจนถึงสำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไปหาโหยวจิ้นที่ยืนเท่อยู่ใต้ต้นวอลนัทในลานบ้าน
ท่าทางของโหยวจิ้นยังเหมือนเดิม ทุกครั้งที่เจอหน้าเยี่ยเว่ยหมิง ก็จะแสดงออกอย่างคุ้นเคยเหมือนรู้จักกันมานาน ไม่สอดคล้องกับบุคลิกเคร่งขรึมของเขา “เว่ยหมิงเองหรือ มาหาข้ามีธุระอะไร”
“วันนี้ข้าเจอคดีที่น่าปวดหัวมาก ต้องไปอ่านเอกสารบางอย่างในห้องเก็บข้อมูล” ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้อยากแขวะโหยวจิ้นที่ทำตัวสนิทสนมกับตนแล้ว เขาบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการตรงๆ “ก็เลยมาหาผู้บัญชาการโหยวเพื่อขอใช้สิทธิ์นี้ขอรับ”
ตามทฤษฎีแล้ว เอกสารทางการต่างๆ ของสำนักมือปราบเทพ บรรดาผู้เล่นมือปราบทั้งหลายล้วนมีสิทธิ์เข้าถึงการอ่านข้อมูล แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องขออนุญาตหนึ่งในสาม NPC ที่ยศขุนนางสูงกว่าพวกเขาก่อน
หวงโส่วจุนให้สิทธิ์ได้สูงที่สุด โหยวจิ้นรองลงมา จ่านเจาอันดับสาม
“ได้สิ” นอกจากปัญหาเรื่องคำเรียกขาน เวลาอื่นโหยวจิ้นก็ยังรักษาท่าทางสง่างามไว้ได้ เขายื่นป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นหนึ่งให้เยี่ยเว่ยหมิง “เจ้านำป้ายนี้ไปให้เจ้าหน้าที่สารบรรณเสี่ยวอู๋ที่ห้องเอกสาร ต้องการข้อมูลอะไรก็ให้เขาช่วยเจ้าได้เลย ถ้าให้เจ้าหาเอง เกรงว่าหาทั้งวันก็อาจไม่เจอข้อมูลที่เจ้าต้องการ”
“เรื่องเฉพาะทางก็ให้คนที่ทำหน้าที่เฉพาะทางจัดการ เรื่องนี้ข้าเข้าใจขอรับ” เขาหัวเราะคิกคักขณะรับป้ายอาญาสิทธิ์มาจากมือโหยวจิ้น จากนั้นหันตัวเดินตรงไปยังห้องเก็บแฟ้มเอกสาร
ตอนนี้เอง ข้างหลังก็มีเสียงแหบพร่าของโหยวจิ้นดังขึ้น “เอาข้อมูลออกจากห้องไม่ได้ เตรียมกระดาษไปจดข้อมูลที่ต้องการเอาเอง แล้วก็หลังจากหาข้อมูลเสร็จแล้ว อย่าลืมคืนป้ายอาญาสิทธิ์ให้ข้าด้วย”
เยี่ยเว่ยหมิงเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมา ได้แต่ชูมือขวาแล้วทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์ว่าตกลง
ห้องเก็บแฟ้มเอกสารของสำนักมือปราบเทพ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามของสำนัก มีสถานะพอๆ กับห้องเก็บคัมภีร์ของวัดเส้าหลินและสำนักอู่ตัง เอ๋อเหมย…เอ เหมือนสำนักอื่นจะเรียกว่าห้องเก็บคัมภีร์หมดเลย
ห้องนี้เป็นตึกเล็กๆ สองชั้นที่ตั้งอยู่กลางลานใหญ่ของสำนักมือปราบเทพ ข้างในไม่มีตำราลับวิทยายุทธ์ใดๆ มีเพียงข้อมูลข่าวต่างๆ ที่สำนักมือปราบเทพรวบรวม รวมถึงเอกสารคดีใหญ่ที่สำคัญด้วย
ในจำนวนนั้น ถึงขั้นรวมสำเนาคดีของขุนนางยศเล็กยศใหญ่ในราชสำนักเอาไว้ด้วย!
เมื่อผลักประตูเข้าไป กลิ่นอายของม้วนตำราคร่ำคร่าก็ปะทะเข้าหน้า ท่ามกลางความเงียบสงัด ให้ความรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ผ่านเรื่องราวมามากมาย
ในโถงใหญ่ของชั้นหนึ่ง มีโต๊ะใหญ่สีแดงรูปวงรีหนึ่งตัว รอบโต๊ะจัดวางเก้าอี้ไว้ประมาณหกเจ็ดตัว ดูแล้วคล้ายห้องประชุมในยุคสมัยปัจจุบัน นี่คือสถานที่ที่ใช้ตรวจสอบเอกสารโดยเฉพาะ
พอเห็นว่ามีคนเข้ามา เด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดที่นั่งอยู่ใกล้ประตูก็ลุกขึ้นแล้วพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงทันทีว่า “สถานที่เก็บเอกสารสำคัญ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า หากต้องการสืบค้นข้อมูล กรุณาแสดงป้ายอาญาสิทธิ์”
เยี่ยเว่ยหมิงโยนป้ายอาญาสิทธิ์ที่โหยวจิ้นให้มาลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้าอีกฝ่าย หลังจากเด็กหนุ่มเห็นป้ายอาญาสิทธิ์แล้ว ใบหน้าจริงจังก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในชั่วพริบตาเดียว “ที่แท้ท่านก็คือผู้ที่ได้รับสิทธิ์จากผู้บัญชาการโหยว เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรเสียสถานที่แบบห้องเก็บเอกสารก็ต้องเฝ้าดูแลอย่างเข้มงวด”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ ที่จริงแล้วเข้าไม่ได้เกิดความไม่พอใจใดๆ ต่อ NPC คนนี้เลย อีกฝ่ายเห็นแล้วก็บอกทันทีว่า “ใต้เท้า ข้าคือเจ้าหน้าที่สารบรรณผู้รับหน้าที่จัดการดูแลแฟ้มเอกสาร ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวอู๋ก็ได้ขอรับ ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีนามว่าอะไร”
“เยี่ยเว่ยหมิง” หลังจากบอกชื่อของตัวเองแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็บอกว่า “ข้าต้องการอ่านข้อมูลเกี่ยวกับพรรคทรายมังกร รวมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลิงทุ่ยซือ เจ้าเมืองจิงโจว แต่ไม่รู้ว่าควรจะหาข้อมูลพวกนี้อย่างไร ผู้บัญชาการโหยวบอกว่าให้เจ้าช่วยข้าหา”
“ไม่มีปัญหา!” เสี่ยวอู๋ใช้สองมือส่งป้ายอาญาสิทธิ์คืนให้เยี่ยเว่ยหมิงแล้วบอกว่า “ใต้เท้านั่งรอสักครู่ ข้าจะไปนำข้อมูลที่ท่านต้องการมาเดียวนี้”
เสี่ยวอู๋ทำงานคล่องแคล่วมาก ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็นำของที่เยี่ยเว่ยหมิงต้องการออกมาแล้ว รวมกันแล้วได้ประมาณหกเจ็ดเล่ม เขาส่งให้ตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมบอกว่า “ในเอกสารพวกนี้รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพรรคทรายมังกรไว้ รวมทั้งแฟ้มคดีร้ายแรงที่พิสูจน์ได้ หรือว่าสงสัยว่าเป็นฝีมือของพวกเขา…
…ยังมีเอกสารข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าเมืองจิงโจวหลิงทุ่ยซือด้วย ในนั้นรวมประวัติส่วนตัวและผลงานหลังจากรับตำแหน่ง หนังสือรายงาน แต่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลิงทุ่ยซือ ในสำนักมือปราบเทพมีเพียงสำเนาเท่านั้น ต้นฉบับเก็บรักษาไว้ที่กรมขุนนางหมดแล้ว”
พอพูดจบ เสี่ยวอู๋นั่นก็ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร
เวลามีคนมายืนข้างหลัง เยี่ยเว่ยหมิงมักรู้สึกอึดอัด จึงอดขมวดคิ้วพูดไม่ได้ “ข้าอ่านค้นข้อมูลเองได้ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”
“ข้าไม่มีงานอย่างอื่น ทั้งยังได้ยินมือปราบจ่านพูดถึงท่านบ่อย ในใจข้านับถือใต้เท้าเยี่ยมานานแล้วขอรับ เลยเตรียมจะดูอยู่ใกล้ๆ ว่าใต้เท้าจัดการคดีอย่างไร จะเรียนรู้สักหน่อยขอรับ” ขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็เกาหลังศีรษะอย่างเกรงใจ
“ใต้เท้าเยี่ยคงไม่ถือสาใช่ไหมขอรับ”
ตนมีวิธีไขคดีแปลกขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแฟนคลับด้วย
เยี่ยเว่ยหมิงถูกชมจนตัวลอยนิดหน่อย ตอบอย่างใจกว้างทันทีว่า “ถ้าจะดูก็นั่งดู ถือโอกาสช่วยหยิบเครื่องเขียนมาให้ข้าด้วย”
เป็นอย่างที่คาดไว้ บนเอกสารของสำนักมือปราบเทพไม่ได้บันทึกไว้ว่าที่จริงแล้วหลิงทุ่ยซือคือประมุขพรรคทรายมังกร
ถึงอย่างไร ตำแหน่งเจ้าเมืองจิงโจวก็ถือว่าไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ ถ้ารู้ความจริงเรื่องฐานะของอีกฝ่าย ราชสำนักจะต้องไม่ให้โจรสลัดมาเป็นขุนนางของท้องถิ่นแน่นอน
ขณะที่กำลังสืบค้นเอกสาร เยี่ยเว่ยหมิงก็ขยับพู่กันเขียนอย่างรวดเร็ว บันทึกข้อมูลที่มีประโยชน์ทั้งหมด
ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที เยี่ยเว่ยหมิงก็อาศัยความว่องไวที่เหนือกว่าผู้อื่นเรียบเรียงข้อมูลที่จำเป็นจนเสร็จเรียบร้อย แล้วนำมาเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องต้นฉบับเดิมที่ได้จากน้องดาบและอินปู้คุย จัดออกมาเป็นข้อมูลคดีที่มีความเป็นเหตุเป็นผลชัดเจน
ประสิทธิภาพการไขคดีที่เร็วระดับเทพของเขา ทำให้เสี่ยวอู๋ที่ดูอยู่ข้างๆ ทึ่งจนอ้าปากค้าง
แต่เยี่ยเว่ยหมิงอ่านข้อมูลที่ตัวเองเรียบเรียงออกมาแล้วยังไม่พอใจ จึงเรียบเรียงใหม่อย่างละเอียดอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ เขารู้สึกว่าหลังจากตัวเองเรียบเรียงคดีนี้แล้ว ก็เหมือนจะอ่านง่ายขึ้นเยอะ
ตัวอักษรทั้งหมดเหมือนน้ำเปล่า จืดและไร้รสชาติ เรื่องราวแบบนี้ไม่มีทางดึงดูดคนอื่นเลย!
แห้งแล้งขรุขระ ไม่กลมกล่อมเลยสักนิด!
ไม่ได้!
เอกสารแบบนี้เป็นเอกสารที่ไร้จิตวิญญาณ
แก้ไข!
ต้องแก้ไข!
คิดแล้วทำคือแนวทางในการเป็นชาวยุทธ์ของเยี่ยเว่ยหมิง เขาจึงวางเอกสารที่เรียบเรียงเสร็จแล้วไว้ข้างๆ เสียเลย แล้วนำกระดาษที่ได้จากเสี่ยวอู๋ออกมาหนึ่งแผ่น เริ่มขยับคู่กันเขียนอย่างแข็งขัน
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงต้องการให้งานสมบูรณ์แบบขึ้น ทั้งยังเขียนอย่างคล่องแคล่วในระหว่างที่ไขคดี เสี่ยวอู๋ก็ยิ่งมองจนเหม่อลอย
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงก็เป่าน้ำหมึกบนกระดาษให้แห้งอีกครั้ง ขณะมองเอกสารที่เขียนไว้ยาวกว่าก่อนหน้านี้สามเท่า บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
เรื่องราวแบบนี้ต่างหากถึงจะเป็นเนื้อเรื่องที่ดี!
“เอ่อ คือ…” พอเห็นเยี่ยเว่ยหมิงทำงานเสร็จแล้วเตรียมจะออกไป เสี่ยวอู๋ก็รู้ว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสเอ่ยปากแล้ว จึงกัดฟันบอกว่า “ใต้เท้าเยี่ย เอกสารที่ท่านเรียบเรียงข้อมูลใหม่เมื่อครู่นี้ ให้ข้าอ่านสักรอบได้ไหม ข้าอยากเรียนรู้สักหน่อย”
เมื่อเห็นแฟนคลับของตัวเองมีจิตใจรักความก้าวหน้าขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังอารมณ์ดีก็ส่งเอกสารที่เขียนยั้วเยี้ยให้อีกฝ่าย “ถ้าจะอ่านก็อ่านเร็วๆ หน่อยนะ ข้าต้องรีบนำมันไปจัดการคดี”
“จะอ่านให้เสร็จเดี๋ยวนี้ขอรับ ไม่ทำให้ใต้เท้าเยี่ยเสียเวลาจัดการคดีแน่นอน” หลังจากรับกระดาษจากมือเยี่ยเว่ยหมิงด้วยท่าทางเหมือนกำลังแสวงบุญ เสี่ยวอู๋ก็เริ่มอ่านอย่างละเอียด ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก ยิ่งอ่านยิ่งเลือดลมพลุ่งพล่าน!
แต่สำหรับสิ่งที่เยี่ยเว่ยหมิเขียนออกมา ในใจเขายังมีความสงสัยอยู่ไม่น้อย “นายท่าน ในเอกสารที่ท่านให้ข้ามา นอกจากบันทึกที่อยู่ในห้องเก็บเอกสาร ยังมีอีกเจ็ดส่วนที่เขียนเติมออกมาจากจินตนาการล้วนๆ หาหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ความจริงไม่ได้ด้วย เอกสารแบบนี้ ไม่ค่อยรอบคอบเกินไปหรือเปล่าขอรับ”
“ไม่หรอก การสะสางคดีทั่วไปต่างหากที่ต้องการความรอบคอบ สำหรับโจรสลัดประเภทนี้ ข้าไม่ต้องทำอย่างนั้น” เยี่ยเว่ยหมิงรับเอกสารมาจากมืออีกฝ่ายแล้วเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองพร้อมบอกว่า “การจัดการเรื่องในยุทธภพ ใช้แค่วิธีการของยุทธภพมาจัดการก็พอ ขอเพียงพื้นฐานยังเหมือนเดิม บทสรุปสุดท้ายมักจะดี ไม่ต้องไปสนใจขั้นตอนระหว่างนั้นมากเกินไป”
พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็นำเอกสารเดินออกจากห้องเก็บข้อมูล ทิ้งเสี่ยวอู๋ให้ยืนงงอยู่ที่เดิม เพียงแต่แววตาทั้งคู่กลับเป็นประกายมากขึ้นเรื่อยๆ
จากขั้นตอนการจัดการคดีของเยี่ยเว่ยหมิง ทำให้เขาเหมือนได้เห็นประตูสู่โลกใบใหม่ที่กำลังเปิดให้เขาอย่างช้าๆ
อีกฝั่งหนึ่งของประตูบานใหญ่นั้น คือโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแฟนตาซีและความมหัศจรรย์
นั่นต่างหากที่เป็นโลกในอุดมคติของเขา!
ดูท่าแล้ว ที่ใต้เท้าจ่านเคยบอกว่าข้าไม่เหมาะจะเป็นมือปราบ และยิ่งไม่เหมาะจะเป็นขุนนาง สงสัยจะพูดไม่ผิด!
เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลย
เสี่ยวอู๋ย้ายสายตาไปตรงจุดที่เยี่ยเว่ยหมิงเคยนั่งก่อนหน้านี้ แล้วกำหมัดแน่นอย่างเงียบๆ
พร้อมสาบานในใจว่า ข้าจะเขียนนิยาย!
……
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงคืนป้ายอาญาสิทธิ์ให้โหยวจิ้นแล้ว ก็ส่งพิราบสื่อสารหาน้องดาบทันที
[เรียกฉางซิงอวี่ ไปรวมตัวที่ประตูใหญ่จวนจิงโจวเดี๋ยวนี้ พวกยาเม็ดกับลูกธนู ถ้ามีไม่พอก็เติมให้พอ เตรียมตัวต่อสู้ครั้งใหญ่]…เยี่ยเว่ยหมิง
ขณะที่พิราบสื่อสารบินออกไป เยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้ท่าร่างวิ่งไปทางจุดพักม้าของเมืองหลวงเช่นกัน
ผ่านไปพักเดียว ทั้งสามก็มารวมตัวกันที่หน้าประตูใหญ่ของจวนจิงโจวแล้ว
ไม่ให้โอกาสทั้งสองได้ถามอะไร เยี่ยเว่ยหมิงชิงพูดก่อนว่า “ตอนนี้พวกเราจะไปฆ่าหลิงทุ่ยซือนั่นให้ตาย ทำภารกิจช่วยชีวิตติงเตี่ยนนั่นให้สำเร็จ ข้ารับหน้าที่เจรจากับพวกเขาเอง พวกเจ้าสนใจแค่ต่อสู้ก็พอ”
ขณะที่พูด เขาก็เดินนำไปที่ประตูใหญ่ของจวนแล้ว พร้อมกล่าวหนึ่งในสามคำคมของจอมยุทธ์เคอ หนึ่งในเจ็ดประหลาดเจียงหนาน “อีกประเดี๋ยวทำงานตามที่ข้าส่งสายตาให้”