ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 387 หลอกลวงต่อไป
ตอนที่ 387 หลอกลวงต่อไป
ฉางซิงอวี่ถูกถามจนตอบไม่ทัน แต่พอลองคิดให้ดี ก็เหมือนว่าประกาศระบบของวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ
ก่อนหน้านี้หลังจากฆ่า BOSS โหมดปกติตาย ระบบก็จะเตือนว่าหลังจากนี้ในเกมจะไม่มี BOSS คนนี้อีกแล้ว แต่กลับไม่มีแจ้งเตือนสำหรับหลิงทุ่ยซือคนนี้
อย่าบอกนะว่าเพราะสาเหตุนี้ ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงนึกอะไรบางอย่างได้
แต่ตอนนี้เขากลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดต่อว่า “หลังจาก BOSS โหมดปกติตายแล้วจะไม่มีทางฟื้นชีพได้ นี่แทบจะกลายเป็นความรู้ทั่วไปในเกม เหมือนกับคนตายแล้วฟื้นไม่ได้ แม้แต่ตัวละครสำคัญของเนื้อเรื่องอย่างหยางคังก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นโลกของจอมยุทธ์ บางครั้งความรู้ทั่วไปอาจใช้ไม่ได้ผลกับที่นี่”
ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็หันไปมองติงเตี่ยน แล้วกล่าวพร้อมทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “หลังจาก BOSS โหมดปกติตายก็พื้นชีพไม่ได้แน่นอน คนตายก็ไม่มีทางฟื้นชีพได้เช่นกัน…
…แต่ถ้าให้ศพของหลิงทุ่ยซือในสภาพสมบูรณ์ตกอยู่ในมือของสหายผู้นี้ น้องดาบ เจ้าเดาสิว่าเขาจะสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือเปล่า”
หลังจากได้ยินคำเตือนของเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว น้องดาบเดิมทีก็นึกอะไรบางอย่างออกแล้ว ตอนนี้พอได้ยินคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง ในที่สุดนางก็เผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน จากนั้นชี้ไปที่ติงเตี่ยน พร้อมกล่าวชื่อของสุดยอดวิชาออกมา “คัมภีร์เทพสาดส่อง!”
เมื่อพูดถึงอานุภาพของ ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ตอนที่น้องดาบพูดแนะนำภูมิหลังของเรื่องนี้ ก็ยังไม่ได้อธิบายละเอียดมากนัก เพียงแต่รับประกันได้ว่าวิชานั้นคือสุดยอดวิชา
ที่จริงแล้วเนื่องจากฐานะของนาง นางจึงไม่ได้คิดถึงสุดยอดวิชานี้มากนัก สาเหตุที่ติดอยู่ตรง ‘จุดเปลี่ยนของเนื้อเรื่องที่สำคัญ’ หลักๆ เป็นพระนางมีการวางแผนของตัวเอง
เมื่อน้องดาบไม่พูด ฉางซิงอวี่ก็ย่อมไม่รู้ แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากกว่าจากอินปู้คุย ถึงได้รู้ล่วงหน้าว่า ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ มีผลทำให้คนตายฟื้นกลับมาได้
ส่วนติงเตี่ยนก็คือยอดฝีมือที่ฝึก ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ประสบความสำเร็จในระดับที่ยิ่งใหญ่!
เมื่อได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเว่ยหมิงกับน้องดาบ ติงเตี่ยนก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วบอกว่า “ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นบิดาของซวงหวา ข้าปล่อยให้นางทุกข์ใจไม่ได้ ดังนั้น…”
ไม่รอให้ติงเตี่ยนพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็ชิงพูดก่อน “ดังนั้น เจ้าก็เลยจะช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ใช้ประโยชน์จาก ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ที่ตัวเองฝึกหนักมาหลายปีไปช่วยสังหารคนที่ฆ่าบิดาของหลิงซวงหวา ผู้หญิงที่เจ้ารักสุดหัวใจอย่างนั้นหรือ”
ติงเตี่ยนได้ยินแล้วตัวสั่นทันที เขามองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “เจ้ากำลังพูดอะไร”
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงนำเอกสารที่ใช้คุมเชิงกับหลิงทุ่ยซือก่อนหน้านี้ออกมาอีก แล้วโยนให้ติงเตี่ยน “ก่อนเข้ามาที่นี่ ข้าตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลิงทุ่ยซือและหลิวหงเรียบร้อยแล้ว จุดหักมุมในนั้นพิลึกพิลั่นยิ่งกว่าเรื่องที่นักเล่านิทานเล่าให้ฟังเสียอีก รายละเอียดเขียนอยู่ในนั้นแล้ว หากเจ้าอ่านหนังสือออกก็ดูเอาเองเถอะ”
ติงเตี่ยนได้ยินแล้วมองเอกสารในมือ ตอนนี้เจ้าสองคนที่คุยกันอยู่ในช่องทีมกลับครึกครื้นแล้ว
น้องดาบ [ดูสิ ข้าว่าเจ้ามือปราบหน้าเหม็นคนนี้มีหนทางพิสูจน์ว่าหลิงทุ่ยซือไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของหลิงซวงหวา เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง]
ฉางซิงอวี่ [ได้เปิดโลกทัศน์มาก!]
เยี่ยเว่ยหมิงไม่สนใจคนที่กำลังกระซิบกระซาบกัน สนใจแค่บอกว่า “ยี่สิบหกปีก่อน…(ก่อนหน้านี้เล่าไปแล้ว ข้ามตรงนี้ไป) หลิวหงนั่นใจกล้าคับฟ้า ไม่เพียงแค่สังหารหลิงทุ่ยซือตัวจริง ทั้งยังสวมรอยไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองอีก ทั้งยังครอบครองฮูหยินของหลิงทุ่ยซือที่กำลังเสียสติเพราะสูญเสียคนรักด้วย”
พอเล่าถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งอย่างเศร้าโศกระคนเจ็บแค้น ทั้งยังพูดต่อว่า “น่าเสียดายที่หลิงฮูหยินเดิมทีคิดจะใช้ความตายแสดงปณิธานของตัวเอง แต่เพื่อเด็กที่อยู่ในท้อง หรือแม่นางหลิงซวงหวานั่นแหละ กลับยอมลำบากกลายเป็นฮูหยินของหลิงทุ่ยซือตัวปลอม หรือพูดให้ถูกก็คือเป็นฮูหยินของหลิวหงนั่นเอง…
…เนื่องจากนางรู้ว่าหลิวหงนั่นโหดเหี้ยม หากเรื่องราวถูกเปิดโปงเมื่อไร พวกนางสองแม่ลูกจะต้องถูกสังหารระบายความแค้นแน่นอน เพื่อความปลอดภัยของลูกสาว นางจึงไม่กล้าพูดอะไรมาตลอด ได้แต่ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเงียบๆ คนเดียว”
เยี่ยเว่ยหมิงแอบกดไลก์ให้ทักษะการแสดงของตัวเองเงียบๆ แล้วพูดต่อว่า “หลิงฮูหยินนั่นเดิมทียอมลำบากเพื่อรับประกันความสงบสุขปลอดภัยให้ลูกสาวตัวเอง แต่นางคิดอะไรง่ายๆ เกินไป…
“สาเหตุที่หลิวหงครอบครองนาง ประการแรกเป็นเพราะชอบในความสาวความสวยของนาง ประการที่สองเพราะต้องการใช้นางเป็นเครื่องมือพิสูจน์ตัวตนของเขา ทำให้คนอื่นไม่สงสัยว่าเจ้าเมืองอย่างเขาคือโจรปลอมตัวมา!…
…แต่หลายปีหลังจากนั้น หลิงฮูหยินใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกผิดต่อสามีและหวาดกลัวหลิวหงมาตลอด นางจิตใจว้าวุ่นอยู่ภายใต้แรงกดดันทางจิตใจสองชั้นเช่นนี้ ร่างกายจึงซีดเซียวกว่าคนปกติ สตรีวัยกลางคนที่งดงามมีเสน่ห์จึงกลายเป็นหญิงแก่หน้าเหลืองอย่างรวดเร็ว…
…ประกอบกับนางและหลิวหงใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปี ภารกิจปิดบังตัวตนสำเร็จนานแล้วเช่นกัน สำหรับหลิวหงแล้ว คนที่สิ้นไร้ความงามอย่างนางจึงหมดคุณค่าโดยสิ้นเชิง หากเก็บไว้ข้างกายต่อไปก็เป็นได้เพียงภัยพิบัติแอบแฝงเท่านั้น!”
ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็มองติงเตี่ยน “ดังนั้น ตอนที่แม่นางหลิงอายุเจ็ดแปดขวบ มารดาของนางจึงจากโลกนี้ไปเพราะป่วย ส่วนสาเหตุโดยละเอียดนั้น เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ความจริงได้ ข้าจึงไม่สะดวกจะคาดเดาไปเอง…
…อย่างไรเสีย สำนักมือปราบเทพของพวกเราก็สืบคดีโดยอาศัยหลักฐานพิสูจน์ความจริง ขอให้เป็นการคาดเดา แต่ก็ต้องใช้เหตุผลพิจารณาอย่างระมัดระวังโดยอิงตามหลักฐานเท่านั้น ไม่ปั้นน้ำเป็นตัวอยู่แล้ว”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเช่นนี้ เพื่อนร่วมทีมสองคนก็ทำสีหน้าแปลกๆ
จะว่าไปแล้ว นี่มันอาศัยหลักฐานตดสุนัขอะไรกัน
ถ้าจัดการเรื่องนี้โดยอาศัยหลักฐานจริง แล้วทำไมตอนที่เจ้ายังไม่ได้อ่านข้อมูลหรือหลักฐานใดๆ เจ้าถึงพูดออกมาได้ว่าหลิงทุ่ยซือไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของหลิงซวงหวาล่ะ
ส่วนที่บอกว่าไม่คาดเดาเรื่องนี้ เกรงว่าคงเป็นเพราะการปล่อยให้ติงเตี่ยนจินตนาการไปเอง ได้ผลดีกว่าการที่เจ้าคาดเดาให้ล่ะสิ
ไม่เหมือนน้องดาบกับฉางซิงอวี่ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง หลังจากติงเตี่ยนอ่านข้อมูลที่เรียบเรียงโดยเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว กลับอ่านประโยคสุดท้ายออกมาอย่างสะเทือนใจ “ในที่สุดก่อนตายหลิงฮูหยินก็ได้เห็นจิตใจที่ชั่วร้ายของหลิวหงแล้ว เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ลูกสาว นางทิ้งจดหมายเลือดไว้ฉบับหนึ่ง ฉวยโอกาสตอนที่ออกไปข้างนอกนำจดหมายนี้ใส่ไว้ในขวดสุราแล้วโยนลงแม่น้ำ ปล่อยให้มันลอยไปตามแม่น้ำ…
…กระทั่งเมื่อครึ่งเดือนก่อน ไต้ซือเสวียนเปยที่ออกมาท่องยุทธภพถึงได้บังเอิญเจอและเก็บขวดนั้นขึ้นมา แล้วไต้ซือเสวียนเปยก็ส่งขวดนั้นต่อให้มือปราบยศขั้นห้าที่ชื่อว่าเยี่ยเว่ยหมิงที่จัดการคดีนี้และบังเอิญผ่านมาพอดี…
…นั่นเป็นเพราะเยี่ยเว่ยหมิงจิตใจงดงาม ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว นอบน้อมถ่อมตน มีการศึกษา เข้าใจความไม่เที่ยงของโลก ความคิดละเอียดลึกซึ้งเหมือนฝุ่น…เป็นชายหนุ่มมหัศจรรย์แห่งใต้หล้าจริงๆ!…
…หลังจากรู้ความจริงแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็กลับไปตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่สำนักมือปราบเทพทันที หลังจากตั้งสมมติฐานอย่างกล้าหาญ ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็สืบเจอต้นตอความจริงของเรื่องนี้แล้ว!”
หลังจากอ่านข้อมูลครึ่งหลังจบ ติงเตี่ยนก็เงยหน้ามองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างซาบซึ้งใจ พร้อมถามเสียงสั่น “เจ้าก็คือเยี่ยเว่ยหมิง มือปราบขั้นห้าของสำนักมือปราบเทพที่กล่าวไว้บนนี้?”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าอย่างถ่อมตัวมาก ถือว่ายอมรับแล้ว
ติงเตี่ยนยังไม่มีกะจิตกะใจมาแขวะการคุยโอ้อวดตัวเองที่เขาเขียนในในเอกสาร แต่ซักไซ้ทันทีว่า “สิ่งที่เขียนไว้บนนี้เป็นความจริงหมดเลยหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าอีกครั้ง พร้อมบอกว่า “หลิวหงเดิมมีรอยสักที่แขนขวา ที่จริงข้าสงสัยว่ามือปราบและเจ้าหน้าที่หลายคนที่อยู่ข้างกายเขาล้วนมาจากพรรคทรายมังกร เนื้อหาที่อยู่ในนั้นจะจริงหรือเท็จ จอมยุทธ์ติงแค่อ่านก็รู้แล้ว”
ติงเตี่ยนได้ยินแล้วนั่งยองๆ แหวกเสื้อของหลิงทุ่ยซือออกทันที เห็นรอยสักบนแขนเหมือนที่เยี่ยเว่ยหมิงบอกจริงๆ ด้วย จากนั้นเขาก็ตรวจดูบนศพของผู้ช่วยและเจ้าหน้าที่มือปราบที่อยู่ใกล้ๆ อีก ในจำนวนนั้นเกินครึ่งมีลายสักที่เหมือนกัน ตอนนี้เขาจึงเชื่อคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงไปแล้วแปดส่วน
เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของหลิงซวงหวา ติงเตี่ยนยังหันกลับมาอีก แล้วถามเยี่ยเว่ยหมิงว่า “ใต้เท้าเยี่ย จดหมายเลือดที่พูดถึงในเอกสารฉบับนั้น ไม่ทราบว่ายังอยู่หรือไม่ ถ้ายังอยู่ ให้ผู้น้อยดูสักหน่อยได้หรือไม่”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง อธิบายอย่างจนใจว่า “ของนั่นอยู่ในขวดสุราเกือบยี่สิบปีแล้ว ทั้งยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชื้นในแม่น้ำ มันพังไปนานแล้ว บวกกับไต้ซือเสวียนเปยไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเก็บรักษาหลักฐานพิเศษแบบนี้ ตอนที่เขาส่งมาให้ข้า ก็มันเสียหายไปหมดแล้ว อีกทั้งตอนที่ข้าออกมาข้างนอก ก็ไม่ได้พกเครื่องมือเก็บรักษาหลักฐาน ได้แต่อ่านเนื้อหาที่เลือนรางแบบลวกๆ แล้วของก็เสียหายไปหมดสิ้น”
เยี่ยเว่ยหมิงนับว่าอธิบายได้สมเหตุสมผลเช่นกัน แม้ติงเตี่ยนจะผิดหวัง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาเพียงพยักหน้าพลางพึมพำกับตัวเองว่า “ขอบคุณใต้เท้าเยี่ยที่ยื่นมือเข้ามาทวงความยุติธรรมให้คนตาย ข้าจะไปรับซวงหวาเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็จะไปพบกับวิญญาณของอาวุโสเหมยด้วยกัน”
พอพูดจบ เขาก็ถลันตัวหายไปที่โถงด้านหลัง
ส่วนศพของหลิงทุ่ยซือ เขาไม่อยากสนใจอีกแล้ว
ในมุมของหลิงซวงหวา หลังจากหลิงทุ่ยซือกลายเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อของนาง นางก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับคนคนนี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม
ดังนั้น ไม่สู้ส่งให้เยี่ยเว่ยหมิงจัดการดีกว่า
ตาไม่เห็น ใจก็ไม่รำคาญ
ตอนนี้เอง ในช่องทีมกลับมีคำถามที่ตื่นเต้นของน้องดาบส่งมา [จะว่าไปแล้ว เรื่องที่เจ้าเล่ามา ทำไมข้าฟังดูคุ้นๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ดูจากท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยมของเจ้า อย่าบอกนะว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง]
เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้คิดจะหลอกสหายร่วมทีมของตัวเอง บอกทันทีว่า [ครึ่งแรกล้วนเป็นความจริง หลิงทุ่ยซือตัวปลอมชื่อหลิวหงจริงๆ เขากับหลี่เปียวไปฆ่าขุนนางสองคนที่กำลังจะไปรับตำแหน่งด้วยกันแล้วก็สวมรอยจริง แต่เริ่มตั้งแต่ตอนที่หลิวหงครอบครองหลิงฮูหยิน ข้าเป็นคนแต่งเติมไปทั้งนั้น จุดประสงค์ก็คือทำให้ภารกิจสำเร็จง่ายขึ้น สิ่งเดี่ยวที่พิสูจน์ได้บนนั้น ก็คือแม่ของหลิงซวงหวาตายตอนนางอายุเจ็ดขวบจริงๆ]
ฉางซิงอวี่ส่งข้อความถามอยู่ข้างๆ [ดังนั้น เจ้าก็เลยกุเรื่องจดหมายเลือดที่หาไม่เจอขึ้นมา?]
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า น้องดาบที่อยู่ข้างกันได้ยินแล้วส่งข้อความถาม [นี่สินะ คนตายให้การไม่ได้ เจ้าไม่ได้กังวลว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดโปงตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเดิมทีหลิงทุ่ยซือก็ทำความผิดที่ต้องชดใช้ด้วยโทษตาย ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะให้จับแต่โดยดี ขอเพียงขัดขืนก็จะกลายเป็นการลอบโจมตีขุนนางที่จักรพรรดิส่งตัวมาทำงานทันที เรื่องราวที่จริงครึ่งเท็จครึ่ง โดยส่วนใหญ่จะพิสูจน์ความจริงไม่ได้ เรื่องนี้ก็เตรียมไว้ให้ติงเตี่ยนโดยเฉพาะ]
[แต่ถ้าก่อนหน้านี้หลิงทุ่ยซือไม่ตาย แล้วยันกันต่อหน้า…]
[ตอนที่เผชิญหน้ากัน คำพูดของข้าก็ต้องน่าเชื่อถือว่าเจ้าไข่เน่าที่ชั่วร้ายเลวทรามนั่นอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะให้โอกาสหลิงทุ่ยซือลอบโจมตีในช่วงเวลาสำคัญได้พอดี จากนั้น…สถานการณ์ก็เป็นอย่างตอนนี้แล้ว]
[สำหรับเรื่องนี้ ที่จริงไม่ต้องกังวลอะไรเลย อาศัยแค่สติปัญญาของติงเตี่ยนนั่น ถ้าอยาจกะหลอกเขามันยากตรงไหน]
จู่ๆ ตอนนี้ฉางซิงอวี่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงบอกว่า [แต่ในเนื้อเรื่องของสหายเยี่ยยังมีช่องโหวหนึ่งจุด ถ้าตอนหลังติงเตี่ยนไปพิสูจน์ความจริงกับไต้ซือเสวียนเปยที่เจ้าพูดถึง จะไม่ถูกเปิดโปงหรอกหรือ]
[ไม่หรอก] เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างใจเย็น [อิงตามข่าวล่าสุดที่ได้มาจากสำนักมือปราบเทพ เมื่อสามวันก่อน ไต้ซือเสวียนเปยมรณภาพที่วัดในต้าหลี่แล้ว]