ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 390 เทพธิดาไหมแดง
ตอนที่ 390 เทพธิดาไหมแดง
จะว่าไปแล้ว เฟยอวี๋เจ้าหมอนั่นก็ดวงซวยแล้วเหมือนกัน
เวลาคนอื่นเจอผี ปกติก็จะได้รับภารกิจที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เท่านั้น หรือไม่ก็กำจัดทิ้งโดยตรงได้เลย สรุปก็คือไม่ได้ยากมาก
ถึงขนาดว่าแม้แต่ภารกิจของน้องดาบ ที่จริงถ้าไม่มีเยี่ยเว่ยหมิงช่วย นางก็ทำสำเร็จได้อยู่ดี ขอเพียงหากุญแจสำคัญของภารกิจเจอ ถ้าฆ่าหลิงทุ่ยซือให้ตายก่อน ไม่ได้พาคนไปแหกคุกทันที โดยทั่วไปก็จะทำภารกิจนี้สำเร็จ
แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ยังเป็นเหมือนที่เยี่ยเว่ยหมิงบอก ถ้าทำภารกิจให้สำเร็จตามขั้นตอนอย่างเดียว สุดท้ายหลิงทุ่ยซือก็จะถูกติงเตี่ยนใช้กำลังภายใน ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ช่วยให้ฟื้นชีพขึ้นมา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น น้องดาบก็จะได้รับแค่รางวัลภารกิจระดับพื้นฐานที่สุด
แต่เนื่องจากน้องดาบเข้าใจเนื้อเรื่อง ถึงได้รู้สึกว่าเป็นภารกิจที่ไม่มีทางแก้ไขได้ และมาขอให้เยี่ยเว่ยหมิงลงมือ ทำให้หลิงทุ่ยซือตายสนิทโดยแท้จริงแล้ว
หลิงทุ่ยซือตายสนิทแล้วจริงๆ ระหว่างที่ทั้งสามกำลังเดินทางไปรวมตัวกับเฟยอวี๋ เยี่ยเว่ยหมิงก็ป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด จึงถือโอกาสเรียกเจ้าแดงออกมา ให้มันช่วยจัดพิธีศพบนฟ้าแบบเรียบง่ายให้หลิงทุ่ยซือ
ตอนนี้แม้แต่ศพก็ไม่มีแล้ว ต่อให้ติงเตี่ยนลงมือก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะสร้างวีรกรรมช่วยให้คนตายฟื้นคืนมาได้
เมื่อเทียบกับภารกิจของน้องดาบแล้ว เฟยอวี๋กลับเหมือนเดินเข้าไปในกับดักแบบเต็มตัว
ตอนที่กิจกรรมเพิ่งเริ่มขึ้นไม่นาน เจ้าหนูน้อยน่าสงสารคนนี้บังเอิญเจอผีตนหนึ่งที่ชื่อลู่จ่านหยวนระหว่างทาง
เนื่องจากตอนอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ถือว่าเป็นคนชั่วร้าย เฟยอวี๋ย่อมไม่คิดจะฆ่าทิ้งอยู่แล้ว เขาเลือกที่จะช่วยอีกฝ่ายทำความปรารถนาให้เป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับหลักเหตุผลมาก
จากนั้น เขาก็เจอโศกนาฏกรรม
เนื่องจากวิญญาณของลู่จ่านหยวนให้เฟยอวี๋บอกข่าวการตายของตัวเองให้ศัตรูของเขารู้ เป็นผู้หญิงร้ายกาจคนหนึ่งที่ชื่อหลี่มั่วโฉว และโน้มน้าวให้อีกฝ่ายละทิ้งบุญคุณความแค้น อย่าทำร้ายคนในครอบครัว
ไม่ต้องพูดอะไรมากเกี่ยวกับความสามารถในการหาคนของเฟยอวี๋ ต่อให้เขาไม่เคยเจอหลี่มั่วโฉว แต่ก็หาเบาะแสเจอจากร่องรอยบางอย่างได้ ขอเพียงมีเบาะแสแล้ว เขาก็คลำจนเจอตำแหน่งของเป้าหมายได้ทันที
แต่ตอนที่เขาใช้ประโยชน์จากทักษะของตัวเองตามหา BOSS เจอแล้ว เขากลับงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย
เพราะเลเวลของหลี่มั่วโฉวนั่นสูงถึงเก้าสิบ!
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อีกฝ่ายเป็นนางมารร้ายที่ฆ่าคนได้โดยตาไม่กะพริบ เมื่อครู่เฟยอวี๋เพิ่งพูดจาตีสนิท ยังไม่ทันรอให้เขาพูดเข้าประเด็นสำคัญ อีกฝ่ายก็ด่าเขาว่า ‘ผู้ชายหน้าเหม็น’ แล้ว จากนั้นหลี่มั่วโฉวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เผยค่าสเตตัสของ BOSS แล้วเริ่มโจมตีทันที
พอได้ลงมือ เฟยอวี๋ถึงพบว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแค่เลเวลสูงและมีความสามารถ การโจมตีต่างๆ ของนางยังมีพิษด้วย เขาแทบจะไม่มีโอกาสหนีก็ถูกพิษตายแล้ว
นี่ยังไม่ใช่โศกนาฏกรรมสุดท้าย!
ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากเฟยอวี๋ฟื้นชีพแล้วถึงได้พบว่า ภารกิจที่สมควรตายนั่นไม่มีการตัดสินว่าสำเร็จหรือล้มเหลวเลย!
อย่านึกว่านี่เป็นเรื่องดี
อิงตามกติกาของกิจกรรม ‘คนผียังไม่สิ้นวาสนา’ ของวันสารทจีน มีแต่ต้องทำภารกิจของผีตนแรกให้สำเร็จก่อนเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสเจอผีตนที่สอง
หรือกล่าวได้อีกอย่างก็คือ หากเฟยอวี๋ไม่รีบทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ กิจกรรมที่เหมือนเป็นสวัสดิการจากระบบนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกแล้ว!
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เฟยอวี๋ก็คงไม่หน้าด้านมาขอความช่วยเหลือเยี่ยเว่ยหมิงในเวลาที่ทุกคนกำลังยุ่งกับการทำภารกิจของตัวเองหรอก
หลังจากผ่านภารกิจของเหมยเนี่ยนเซิงมาแล้ว กระบวนการรับรู้ที่ทั้งสามคนมีต่อกิจกรรมวันสารทจีนก็เปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว
แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้เล่นก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จเท่านั้น ถึงจะได้รับรางวัลที่สอดคล้องกัน
แต่ตอนที่ระดับความยาก หรือระดับของภารกิจถูกดึงให้สูงขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว กลับทำลายข้อจำกัดนี้ได้ ทำให้ผู้เล่นทุกคนที่เข้าร่วมรับรางวัลภารกิจได้!
ส่วนที่เหมยเนี่ยนเซิงคุยอวดว่าตัวเองไม่ใช้วิญญาณธรรมดาอะไรนั่น ผู้เล่นทั้งสามไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังเลย
ในเมื่อมีผลตอบแทนให้หวัง ทั้งยังเป็นภารกิจที่ไม่ว่าจะมองจากความยาก หรือระดับภารกิจก็สูงมาก ย่อมทำกระตุ้นจิตใจนักล่าของพวกเขาที่เรียกตัวเองว่ายอดฝีมือในเกมอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่ทำภารกิจกับรับรางวัล ก็ยังได้ถือโอกาสผูกมิตรกับผู้เล่นระดับสูงที่มีความสามารถพิเศษอย่างเฟยอวี๋ด้วย อีกฝ่ายก็จะติดหนี้น้ำใจตนหนึ่งครั้งแล้ว เป็นเรื่องที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ!
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ แล้ว น้องดาบกับฉางซิงอวี่ก็บอกว่ายินดีช่วยเหลือ
เพราะถือคติว่า ‘น้ำปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์อย่าปล่อยให้ไหลเข้านาคนอื่น[1]’ เยี่ยเว่ยหมิงจึงส่งจดหมายหาซานเย่ว์ สะพานสวรรค์น้อย อินปู้คุย พวกเขาหกคนบวกกับเฟยอวี๋ที่เป็นผู้รับภารกิจนี้ ก็ตั้งทีมเล็กๆ ได้เจ็ดคนพอดี พวกเขากินอาหารง่ายๆ กันในห้องส่วนตัวที่ชื่อว่าหินทองฝ่าทะลวงของภัตตาคารซู่เจิน พร้อมถือโอกาสปรึกษากันว่าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จอย่างไรดี
“ประการแรก ความสามารถสูงสุดของหลี่มั่วโฉวคนนี้ไม่จำกัดแค่เลเวลเก้าสิบแน่นอน”
คนที่พูดคนแรกก็คืออินปู้คุย สปอยเลอร์
ผู้ที่รู้เนื้อเรื่องลึกที่สุด บทบาทของเขาตอนอยู่ในทีมก็แทบจะกลายเป็นผู้ให้ข้อมูลเบื้องหลังเกี่ยวกับภารกิจปัจจุบัน “หลี่มั่วโฉวมีฉายาว่าเทพธิดาไหมแดง เป็นลูกศิษย์ทรยศของสำนักสุสานโบราณ เป็นตัวร้ายที่เก่งที่สุดในช่วงแรกของเรื่อง ‘คู่รักจ้าวอินทรี’ ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือความสามารถก็พอๆ กับเหมยเชาเฟิงในเรื่อง ‘ตำนานวีรบุรุษยิงอินทรี’ ทั้งยังไม่มีจุดอ่อนอะไรชัดเจน รับมือยากกว่าเหมยเชาเฟิง…
…ตามที่ข้าวิเคราะห์ หลี่มั่วโฉวร่างแท้น่าจะมีเลเวลประมาณร้อยยี่สิบเป็นอย่างต่ำ สาเหตุที่เจ้าเจอเวอร์ชั่นเลเวลเก้าสิบ ข้ามีเพียงสองคำอธิบายที่พอจะสมเหตุสมผล”
ขณะที่พูด อินปู้คุยก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ประการแรก มีความเป็นไปได้สูงว่าหลี่มั่วโฉวที่เจ้าเจอเป็นบอสที่ถูกตอนในโหมดภารกิจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์นี้จะลดความสามารถ BOSS ลงเยอะมาก ก็เหมือนอวี๋ชางไห่เลเวลเจ็ดสิบ พออยู่โหมดภารกิจก็ถูกลดเลเวลถึงเลเวลสี่สิบ เหมือนที่พวกสหายเยี่ยเคยเจอ”
เขากล่าวพลางก็ชูนิ้วที่สองขึ้นมาอีก “ความเป็นไปได้ที่สอง ตอนนี้หลี่มั่วโฉวยังไม่เติบโตเต็มที่”
พอพูดจบ อินปู้คุยก็ส่ายสองนิ้วที่เขาชูขึ้นมาเป็นรูปตัววี พร้อมกล่าวกลั้วหัวเราะ “ภูมิหลังของหลี่มั่วโฉวก็เป็นอย่างนี้ ภารกิจของข้าจบแล้ว ต่อไปก็เหลือแค่รอฟังคำสั่งให้เข้าสถานะต่อสู้แล้ว ผู้บัญชาการต่อสู้โดยละเอียด ส่วนตัวแล้วข้าเสนอสหายเยี่ย”
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบโยนบาปมาให้ข้าสิ!” เยี่ยเว่ยหมิงมองอินปู้คุยที่เตรียมตัวเข้าสู่โหมดผู้ฟังแล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อหลี่มั่วโฉวเป็นตัวละครที่สำคัญมากของเนื้อเรื่อง เช่นนั้นเจ้าถือโอกาสเล่าภูมิหลังที่เกี่ยวข้องสักหน่อยสิ เช่นบุญคุณความแค้นระหว่างนางกับลู่จ่านหยวน พวกเราจะได้กำหนดกลยุทธ์อย่างมีเป้าหมายมากขึ้น”
“ไม่มีปัญหา” เมื่อเห็นว่ามีโอกาสให้แสดงออกต่อหน้าคนอื่นอีก อินปู้คุยก็กระปรี้กระเปร่าทันที พูดต่อว่า “ที่จริงหลี่มั่วโฉวนั่นก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง ตอนที่นางออกจากสำนักสุสานโบราณ เดิมทียังเป็นผู้หญิงไร้เดียงสาอยู่เลย น่าเสียดายที่เจอคนไม่ดี ลู่จ่านหยวนหลอกให้รักแล้วทิ้ง นางจึงถามไถ่โลกหล้า รักนั้นเป็นฉันใด บลาๆๆ…”
เพียะ!
พอได้ยินอินปู้คุยเล่าเรื่องราวระหว่างหลี่มั่วโฉวกับลู่จ่านหยวนจบ เยี่ยเว่ยหมิงยังไม่ทันแสดงความเห็นอะไร น้องดาบที่อยู่ข้างๆ กลับโมโหจนตบโต๊ะ “ข้าคิดว่าคนที่สมควรตายจริงๆ ก็คือเจ้าลู่จ่านหยวนนั่น ไอ้ผู้ชายสวะ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีหน้าฉวยโอกาสช่วงกิจกรรมมาแจกภารกิจ”
ขขณะที่พูด ดวงตาโตฉ่ำน้ำของนางก็จ้องตรงไปยังเฟยอวี๋ “ตอนนี้ข้าจะไปประหารเขาซะ เจ้าก็จะได้ไม่ต้องทำภารกิจนี้แล้วใช่ไหม”
นางทำให้เฟยอวี๋ตกใจจนตัวสั่น รีบหลบสายตากระหายการต่อสู้ของน้องสาวคนนี้
คนที่บ้าการต่อสู้อย่างนาง เขาไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ!
“ข้าเองก็คิดว่าลู่จ่านหยวนนั่นสมควรตายเหมือนกัน แม้จะตายไปแล้ว ข้าก็อยากจะทุบเขาสักยก”
แม้แต่ซานเย่ว์ที่อ่อนโยนเชื่อฟังมาตลอด ตอนนี้ก็บีบกระดูกมือเสียงดังกร๊อบแล้วเช่นกัน กล่าวด้วยความอยากรู้อยากลองว่า “แม่นางดาบ ถ้าจะลงมือก็เรียกข้าไปด้วยกันนะ ข้าอยากจะตบหน้าเจ้านั่นสักสองฉาด ฉาดหนึ่งเป็น ‘ฝ่ามือทะลวงใจ’ อีกฉาดเป็น ‘ฝ่ามือชาดแดง’ แล้วก็มี ‘ฝ่ามืออัสนีบาต’ ด้วย”
ส่วนสะพานสวรรค์น้อยก็กล่าวเสียงอ่อนว่า “ครั้งนี้ข้าเข้าข้างศิษย์พี่ร่วมสำนัก แม้อีกฝ่ายจะเป็นศิษย์ทรยศก็ตาม…”
สาวๆ สามคนในทีมต่างก็แสดงออกว่าหลี่มั่วโฉวน่าสงสารกว่า ลู่จ่านหยวนสมควรตายอีกครั้ง ส่วนพวกผู้ชายตอนนี้ก็ไม่มีใครเลือกพูดช่วยลู่จ่านหยวน ไม่ใช่ปัญหาว่าขี้ขลาดหรือไม่ขี้ขลาด แต่เป็นเพราะไม่อยากถูกเหมารวมกับผู้ชายสวะแบบนั้นโดยวิธีการแบ่งประเภทแบบ ‘กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์’ ทั้งๆ ที่ปัญหานี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเลย
เผชิญหน้ากับแรงกดดันจากการวิพากษ์วิจารณ์ด้านเดียวแบบนี้ เฟยอวี๋อยากจะร้องไห้แล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังถูกน้องดาบใช้อำนาจบารมีกดขี่ จึงยังอดทนอธิบายว่า “ตามกติกาแล้ว ระหว่างที่กำลังทำภารกิจ ถ้าผู้เล่นยังทำภารกิจไม่สำเร็จ ก็ห้ามโจมตีวิญญาณที่แจกภารกิจพวกนั้น”
สิ่งที่เฟยอวี๋พูดเป็นความจริง
ไม่อย่างนั้น คนอื่นที่ทำภารกิจสำเร็จอย่างยากลำบาก แต่กลับมาแล้วพบว่าผีที่แจกภารกิจให้ตนถูกฆ่าแล้ว แบบนี้ไม่ว่าใครก็คงยอมแพ้ ไม่ทำภารกิจต่อแล้วกระมัง แล้วกิจกรรมนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร
ต้องทราบไว้ว่าผีที่ทำภารกิจบางส่วน ไม่ใช่ว่าทั้งหมดจะมีฝีมือสูงส่งอะไรมากมาย ผีแบบเหมยเนี่ยนเซิงที่ใช้ความสามารถของตัวเองบีบยอดฝีมืออย่างน้องดาบให้ต้องเลือกทำภารกิจถือเป็นส่วนน้อย
แต่พอเห็นน้องดาบ ซานเย่ว์และสะพานสวรรค์น้อย ที่สำคัญคือสายตาเฝ้าคอยของซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อย เยี่ยเว่ยหมิงจึงลำบากใจที่จะทำให้พวกนางผิดหวัง หลังจากลูบคางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็บอกว่า “ที่จริงถ้าอยากทำให้ลู่จ่านหยวนตาย โอกาสที่ดีที่สุดก็คือตอนที่เขาเพิ่งปรากฏตัว ก่อนที่เฟยอวี๋จะเลือกทำภารกิจ ถึงตอนนั้นถ้าจะฆ่าเขาก็ไม่เป็นอะไร ข้าวิเคราะห์ว่า ฆ่าเขาแล้วไม่เพียงแค่ไม่ถูกลงโทษ ถึงขั้นได้รางวัลเป็นค่าวีรบุรุษไม่น้อยด้วย”
“อย่างไรเสีย การที่หลี่มั่วโฉวจิตใจดำมืดก็เป็นเพราะเขาทั้งนั้น ดังนั้นบาปกรรมที่หลี่มั่วโฉวก่อไว้ อย่างน้อยเขาก็มีส่วนรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง”
เมื่อถูกสายตาคับแค้นของเฟยอวี๋มองมา เยี่ยเว่ยหมิงก็ทำได้เพียงโบกมือบอกว่า “แน่นอน ตอนนี้เพิ่งมาพูดก็สายไปหน่อย แต่ถ้าอยากจะฆ่าลู่จ่านหยวน ก็ใช่ว่าไม่มีโอกาสแล้ว พวกเราลองเปลี่ยนมุมมองพิจารณาสักหน่อย เป็นเพราะผู้เล่นอย่างพวกเราถูกจำกัดด้วยกติกา ไม่มีทางลงมือกับลู่จ่านหยวนได้ แต่ NPC กลับไม่ถูกจำกัดเรื่องพวกนี้…
…หรือไม่พวกเราก็ไปปรึกษากับหลี่มั่วโฉว”
ขณะที่พูด รอยยิ้มของเยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มขาดคุณธรรม “ขอเพียงนางรับปากว่าต่อไปจะไม่หาเรื่องครอบครัวของลู่จ่านหยวน เติมเต็มเงื่อนไขภารกิจของเฟยอวี๋ พวกเราก็จะพิจารณาเรื่องขายวิญญาณลู่จ่านหยวนให้นาง ปล่อยให้นางทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ
[1] น้ำปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์อย่าปล่อยให้ไหลเข้านาคนอื่น 肥水不流外人田 หมายถึงเก็บของดีไว้ให้พวกพ้อง