ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 391 ทุกคนมาเพื่อหาเรื่อง
ตอนที่ 391 ทุกคนมาเพื่อหาเรื่อง
ตะวันใกล้ลับฟ้า ฝูงนกกาบินกลับรังบนต้นไม้ใหญ่กิ่งแห้ง ลำธารใต้สะพานเล็กไหลผ่านบ้านเรือน ลาผอมโซเดินต้านลมตะวันตกอย่างยากลำบากอยู่บนถนนเก่าแก่ บนหลังลามีนักพรตหญิงผู้หนึ่งนั่งอยู่
นักพรตหญิงผู้นั้นหน้าตางดงาม กล่าวได้ว่าเป็นความงามที่หายากในยุทธภพ ต่อให้เป็นบุตรสาวจากตระกูลชั้นสูงก็เกรงว่าคงมีน้อยคนที่จะเทียบความงามของนางได้ ตอนนี้นางนั่งหันข้างอยู่บนหลังลา สองขาแนบชิดกันโดยธรรมชาติ สนิทแนบแน่นอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง ในมือกำลังถือแส้ปัดอันหนึ่ง เอวของนางขยับไหวเล็กน้อยตามจังหวะการเดินของลา คล้ายดอกพลับพลึงที่สั่นไหวอยู่ท่ามกลางสายลม
ขณะที่ลาเดินไปเรื่อยๆ นักพรตหญิงผู้นั้นก็พลันเงยหน้ามองท้องฟ้า บังเอิญเห็นห่านคู่หนึ่งบินผ่านเหนือศีรษะนางไปพอดี เมื่อได้เห็นภาพที่กระตุ้นความรู้สึก สีหน้านางก็เปลี่ยนเป็นขมขื่นขึ้นมาทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “ถามไถ่โลกหล้า รักนั้นเป็นฉันใด ไยจึงมอบให้กันด้วยชีวิต…”
เสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน สีหน้าออดอ้อน ประกอบกับตาใสฟันขาว ผิวกายขาวหมดจด ทำให้ผู้ที่พบเห็นยากจะไม่เกิดความเห็นใจ
ทว่าสีหน้าอ่อนโยนปนขมขื่นปรากฏอยู่บนใบหน้านางชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น วินาทีต่อมาก็ถูกแทนที่ด้วยเจตนาสังหารอันดุร้าย พอนางพลิกฝ่ามือ เข็มเงินสองเล่มก็ปรากฏอยู่ในนิ้วมือเรียวสวยของนางแล้ว พอนางโบกแขน เข็มเงินก็กลายเป็นแสงสีขาวสองสายพุ่งที่ไปห่านคู่นั้นทันที
ฟิ้ว! ตอนที่ห่านสองตัวกำลังจะถูกทำร้าย จู่ๆ ก็มีเงาร่างอาภรณ์ขาวลอยออกมาจากป่าด้านข้าง พอสายรัดแพรสีเขียวมรกตในมือทะยานขึ้นมาม้วนกลางอากาศ ก็ปัดให้เข็มเงินสองเล่มที่ยิงมาจากนักพรตหญิงตกลงอย่างง่ายดาย ช่วยห่านสองตัวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยให้รอดตายอย่างหวุดหวิด
“หึ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!”
เมื่อการโจมตีของตัวเองถูกขัดขวาง นักพรตหญิงคนนั้นก็เริ่มไม่สบอารมณ์ นางพลิกข้อมือซ้ายอีกครั้ง เข็มเงินอีกสามเล่มปรากฏอยู่ในมมือแล้ว นางเตรียมจะฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันเก็บสายรัดแพร ระบายความโกรธใส่สักสามครั้ง
ทว่าไม่ทันรอให้นักพรตหญิงปล่อยเข็มเงิน ในใจนางกลับเกิดลางสังหรณ์ขึ้นฉับพลัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงแกร๊งดังแหลมทะลุฟ้า แสงสีเงินสายหนึ่งยิงออกมาจากป่าลึก ยิงตรงมาที่หว่างคิ้วของนาง
เมื่อรู้สึกได้ว่าภัยคุกคามกำลังมาเยือนจุดสำคัญของตัวเอง นักพรตหญิงก็ไม่สนใจโจมตีผู้ที่มาก่อกวนแล้ว นางชูแส้ปัดในมือขวา ใช้ขนอ่อนเล็กนุ่มนวลบนแส้ปัดรับกับลูกดีดเหล็กที่มีพลังทำลายล้างสูงแล้ว
ปั้ก!
แส้ที่อ่อนนุ่มรับกับลูกดีดเหล็กที่ความเร็วไม่ด้อยกว่าลูกกระสุนปืน ผลที่ได้กลับเหนือความคาดหมายของทุกคน
ตามด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน ไม่น่าเชื่อว่าลูกดีดเหล็กลูกนั้นถูกแส้ปัดในมือนักพรตหญิงดีดออกไปอย่างง่ายดาย เหมือนปัดเศษฝุ่นออกจากร่างกาย
แต่เนื่องจากฝุ่นก้อนนี้ใหญ่ไปหน่อย ร่างกายของนักพรตหญิงผู้นั้นผอมบางเกินไป ดังนั้นตอนที่ปัดฝุ่นก้อนนั้นออก ร่างอ้อนแอ้นของนางที่นั่งอยู่บนหลังลาก็สั่นไหวเช่นกัน เอวเล็กบางของนางแทบจะเคล็ด
เมื่อเห็นอีกฝ่ายปะทะกับการลอบโจมตีจากคนในป่า สาวน้อยชุดขาวที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เก็บสายรัดเอวสีเขียวกลับมา บนตัวไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีอีก
เมื่อเห็นว่าหมดหวังกับเรื่องตรงหน้า นักพรตหญิงก็ทำได้เพียงล้มเลิกการโจมตีสาวน้อยชุดขาวคนนั้น นางยื่นมือตบบนหัวลาหนึ่งที ลาที่อยู่ใต้สะโพกนางหยุดฝีเท้าทันที
จากนั้นนักพรตหญิงถึงได้ย้ายสายตาไปยังป่าทึบด้านหลังอย่างไม่ช้าไม่เร็วพร้อมถามเสียงเบาว่า “ในเมื่อทุกคนมาแล้ว เหตุใดไม่ปรากฏตัวสักหน่อย โผล่มาแค่แม่นางน้อยคนเดียว ไม่กลัวข้าบดขี้ดอกไม้งามหรอกหรือ”
นักพรตหญิงคนนี้ก็คือเทพธิดาไหมแดงหลี่มั่วโฉวที่ร่ำลือกัน ส่วนสาวน้อยชุดขาวที่ช่วยชีวิตห่านสองตัวนั้นไว้ แน่นอนว่าเป็นสะพานสวรรค์น้อย หนึ่งเดียวในทีมของเยี่ยเว่ยหมิงที่ใช้อาวุธเป็นสายรัดเอว
เมื่อสิ้นเสียงหลี่มั่วโฉว เงาร่างทั้งหกก็พุ่งออกมาจากป่าด้านหลัง หลังจากพวกเขาปรากฏตัว ก็ยืนเรียงหน้ากระดานตรงหน้าหลี่มั่วโฉว ยืนเคียงข้างกับสะพานสวรรค์น้อย เป็นสหายร่วมทีมอีกหกคนนั่นเอง
หลังจากทั้งเจ็ดปรากฏตัว น้องดาบที่นิสัยเปิดเผยที่สุดก็พูดก่อน “เอ่อ…สิ่งที่เจ้าเจอมา พวกเราเข้าใจและเห็นใจมาก แต่เจ้าระบายความโกรธกับห่านสองตัวที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ ถือเป็นความผิดของเจ้านะ” ขณะที่พูด นางก็ยังไม่ลืมขยิบตาอย่างทะเล้น เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สนใจความเป็นความตายของห่านสองตัวนั้นเท่าไรนัก แค่หาข้ออ้างตีสนิทกับหลี่มั่วโฉวเท่านั้นเอง
ถ้าจะถามว่าทำไมวิธีตีสนิทของนางถึงฟังดูเหมือนหาเรื่องใส่ตัวมากกว่า
ก็ไม่ใช่เพราะน้องดาบปากสุนัข แต่เป็นเพราะนางทำตามคำแนะนำของเยี่ยเว่ยหมิงที่เพิ่งนึกข้ออ้างนี้ได้พอดี
ก่อนที่จะปฏิบัติการ เยี่ยเว่ยหมิงเคยบอกไว้ชัดเจนแล้วว่า ดูจากที่นางลงมือกับเฟยอวี๋ทันทีที่พูดจาไม่เข้าหู ก็รู้แล้วว่าหลี่มั่วโฉวนั่นไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายๆ แน่นอน สำหรับผู้หญิงที่แข็งกร้าวแบบนี้ ถ้าอยากจะคุมจังหวะไว้ในมือพวกเรา ก็ต้องอี๋หลี่ฝูเหริน (โน้มน้าวด้วยเหตุผล) หลี่ที่แปลว่าทางกายภาพ!
ในด้านท่าทีก็ต้องแข็งก่อนอ่อนทีหลัง แสดงด้านที่แข็งกร้าวให้นางรู้สึกเกรงกลัวก่อน ถ้าใช้ไม้แข็งแล้วนางยอมแพ้ก็ย่อมดีที่สุด แสดงฝีมือการทำดาเมจกับความอึดของพวกเราระหว่างที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดให้นางเห็น จากนั้นค่อยใช้ไม้อ่อน ทำให้นางรู้ว่าพวกเราเป็นคนมีเหตุผล เช่นนั้นทุกอย่างก็เจรจากันดีๆ ได้
ดังนั้น ถ้าอิงตามจิตวิญญาณแห่งการชี้แนะของเยี่ยเว่ยหมิง ที่จริงก็บอกว่าอารัมภบทของน้องดาบเป็นเหมือนการหาเรื่องไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่เหมือน แต่นางกำลังหาเรื่องจริงๆ!
ทว่า คนที่มาหาเรื่องวันนี้ ไม่ใช่แค่น้องดาบคนเดียวอยู่แล้ว
เมื่อสิ้นเสียงนาง สหายที่เหลือในทีมก็เริ่มหาเรื่องด้วยวิธีการต่างๆ นานาแล้วเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงบอกไว้ว่าอย่านำเรื่องของลู่จ่านหยวนมาล้อเลียน ก่อนหน้านี้พวกเขาก็หาข้ออ้างอย่างอื่นไม่ได้เช่นกัน ถึงได้พากันอ้างเรื่องห่านสองตัวที่ค่อยๆ บินจากไปไกลแล้ว
ประมาณว่า ‘ห่านสองตัวรักกันขนาดนั้น จะฆ่าห่านได้อย่างไร’
‘คู่บุพเพสันนิวาสจากฟ้าใต้แผ่นดินเหนือ บินเคียงคู่กันมากี่เหมันต์และคิมหันต์ฤดู’
คนที่ไม่ถนัดใช้คำพูดเหมือนฉางซิงอวี่กับสะพานสวรรค์น้อย ก็กล่าวเสริมเหมือนเป็นอย่างนั้นจริงๆ ว่า ‘ถูกต้อง’ กับ ‘เห็นด้วย’ บางทีความหมายอาจจะซ้ำ แต่กลับสื่อความหมายชัดเจนมากว่าจะหาเรื่อง
เนื่องจากเคยได้ยินคำพูดหาเรื่องที่ฟังดูไม่ใส่ใจจากฝูงชนมาก่อน หลี่มั่วโฉวได้ยินพวกเขาพูดแล้วอดรู้สึกขำไม่ได้ จากนั้นสายตาก็หยุดอยู่บนตัวเยี่ยเว่ยหมิง นางอยากจะเห็นว่า เจ้าเด็กหนุ่มขุนนางที่ดูเหมือนเป็นพี่ใหญ่นำทีมจะเหมือนคนอื่นที่หาประเด็นอื่นไม่เจอ จึงทำได้เพียงนำเรื่องห่านมาเป็นข้ออ้างหรือไม่
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ที่จริงเมื่อครู่ที่เจ้ายิงเข็มพิษใส่ห่านสองตัวนั้น ถือว่าทำผิดมาก อย่างไรเสีย หลังจากพวกมันถูกเข็มพิษของเจ้ายิงแล้ว เนื้อก็จะกลายเป็นพิษ กินไม่ได้แล้ว!…
…ถ้าเจ้าใช้เพียงเข็มเหล็กธรรมดายิง ข้าก็ยังห่อด้วยดินเหนียวกับใบบัว แล้วอบในกองถ่านได้…”
“หุบปาก!”
เมื่อเทียบกับการพูดจาหาเรื่องของเพื่อนคนอื่นก่อนหน้านี้ พฤติกรรมที่เยี่ยเว่ยหมิงมองข้ามความหมายแฝงของห่าน คิดถึงแต่ทฤษฎีนักกินว่าจะปรุงมันอย่างไร ทำให้หลี่มั่วโฉวทนไม่ไหวยิ่งกว่า
พอนางตวาดอย่างเดือดดาล นางก็พุ่งเข้ามาทางเยี่ยเว่ยหมิง เสียบแส้ปัดในมือไว้ตรงเอว แล้วนิ้วชี้กับนิ้วกลางของสองมือกลายเป็นเงาเต็มท้องฟ้า ปกคลุมจุดลมปราณใหญ่ๆ บนตัเยี่ยเว่ยหมิงไว้หมดแล้ว!
พอหลี่มั่วโฉวลงมือ ก็ใช้สุดยอดวิชา ‘มือสามไร้สามไม่’ ที่นางสร้างขึ้นเองโดยเฉพาะ และกระบวนท่าที่นางใช้ก็มีชื่อว่า…ไร้รูที่ไม่เข้า!
เมื่อเห็นหลี่มั่วโฉวอดทนไม่ไหวจนเป็นฝ่ายลงมือก่อน เยี่ยเว่ยหมิงกลับถลันตัวไปบนพื้นราบที่ค่อนข้างกว้างทางด้านซ้าย พร้อมบอกในช่องทีมว่า [พวกเจ้ายังไม่ต้องรีบลงมือ ให้ข้าทดสอบคุณภาพของนางก่อน]
แม้สถานะบนศีรษะหลี่มั่วโฉวปรากฏขึ้นมาแล้ว เป็น BOSS ใหญ่เลเวลเก้าสิบ ตามหลักแล้วสู้คนเดียวไม่ไหวแน่นอน
แต่หากวิเคราะห์ตามทฤษฎีการตัดสินในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ เลเวลเก้าสิบเป็นเพียงการประเมินที่มีต่อคุณสมบัติโดยรวมของนางเท่านั้น ถ้าวิเคราะห์ตามที่อินปู้คุยบอก ความสามารถของหลี่มั่วโฉวคนนี้ถือว่าเก่งรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นวิชาตัวเบา วิชาหมัดเท้า อาวุธมีคม อาวุธลับ การใช้พิษ ก็กล่าวได้ว่านางเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นให้คะแนนแยกทีละหน้า ความสามารถแต่ละรายการจะต้องต่ำลงหนึ่งระดับแน่นอน
ก็เหมือนตอนสอบ คะแนนรวมสามวิชาคือสามร้อยคะแนน กับคะแนนรวมหกร้อยวิชาคือสามร้อยคะแนน ความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว
ดังนั้นเยี่ยเว่ยหมิงตัดสินได้ว่า ถ้าพูดถึงฝีมือของหลี่มั่วโฉวอย่างเดียว บางทีนางอาจเก่งกว่าเขามาก แต่อย่างมากก็พอๆ กับอวิ๋นจงเฮ่อเลเวลแปดสิบห้าอยู่ดี ใช่ว่าจะไม่มีหนทางอาศัยกำลังของคนคนเดียวสู้กับนาง
อย่างไรเสีย การต่อสู้ครั้งนี้ก็ต่างจากเมื่อก่อน เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีความมั่นใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็ใช่ว่าดึงดันจะฆ่าเสมอไป เขาจะใช้วิธีการสู้ตัวต่อเพื่อหยั่งเชิงอีกฝ่ายก่อน แล้วค่อยกำหนดกลยุทธ์อีกที
หลังจากเพื่อนในทีมได้ยินคำสั่งของเยี่ยเว่ยหมิง ก็พากันใช้ท่าร่างถอยไปด้านข้าง เพียงแต่ตอนที่พวกเขาหยุดยืน ก็ยังคงรักษาตำแหน่งการล้อมโจมตีหลี่มั่วโฉวเอาไว้กลายๆ
หลังจากหลี่มั่วโฉวเห็นการกระทำของเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว ก็เข้าใจความคิดของเขาทันที ขณะเดียวกันก็ตกใจที่ท่าร่างของเจ้าเด็กนี่รวดเร็วมาก ไม่น่าเชื่อว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์เมื่อครู่นี้ เขาอาศัยแค่ความว่องไวก็หลบพ้นขอบเขตการโจมตีจาก ‘ไร้รูที่ไม่เข้า’ ของนางได้แล้ว
เมื่อประเมินความสามารถของเยี่ยเว่ยหมิงสูงขึ้นอีกหลายส่วน ท่าทีของหลี่มั่วโฉวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอขยับเท้าก็เพิ่มความเร็วของท่าร่างให้สูงขึ้นหนึ่งระดับอย่างฉับพลัน ออกตัวทีหลังแต่ตามทันเยี่ยเว่ยหมิง เงานิ้วที่ปล่อยออกมาก็ยิ่งเริ่มแปลกประหลาด
สิ่งที่แตกต่างกับก่อนหน้านี้ ก็คือกระบวนท่านี้โจมตีตรงจุดเลือดลมที่ไม่ปกติบนร่างกาย แตกต่างกับวิทยายุทธ์กระแสหลักในยุทธภพ ยิ่งโจมตียิ่งป้องกันยาก การโจมตีแบบนี้ประกอบกับท่าร่างที่ไม่ธรรมดาของนาง แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะอยากอาศัยท่าร่างหลบเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี เป็นท่าที่ทำให้สู้ไม่ไหว แต่ก็หลบไม่พ้น
นี่คือกระบวนท่าที่มีเส้นทางการโจมตีแปลกประหลาดยากต่อการคาดเดา เข้าสู่ท่าไม้ตายที่สองของ ‘มือสามไร้สามไม่’ อย่างเป็นทางการ…ไร้จุดที่ไม่ถึง!
เมื่อถูกหลี่มั่วโฉวไล่ตามโจมตีไม่หยุด เยี่ยเว่ยหมิงกลับเห็นแสงสว่างตรงหน้าอย่างฉับพลัน ในใจเริ่มบังเกิดเจตนาสังหาร
วิธีการตีสกัดจุดสองกระบวนที่หลี่มั่วโฉวเพิ่งใช้ก่อนหน้านี้ เยี่ยเว่ยหมิงคิดว่าแม้ประสิทธิภาพอาจด้อยกว่า ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ แต่ในด้านความแยบยลต้องทำให้คนเกิดความคิดบางอย่างแน่นอน
กระบวนท่าที่แยบยลขนาดนี้ เหมาะจะใช้วางกับดักคนขนาดไหนกัน!
แต่หลี่มั่วโฉวคนนี้ แม้สร้างกระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ขึ้นมาเอง แต่กลับใช้มันอย่างหยาบคายและตรงไปตรงมา ถึงขั้นใช้เป็นวิธีการโจมตีแบบซึ่งๆ หน้าด้วยซ้ำ
ในสายตาเยี่ยเว่ยหมิง การทำแบบนี้ถือว่าเสียของจริงๆ!
เขารู้สึกว่า เมื่อเทียบกับคนล้างผลาญอย่างหลี่มั่วโฉวที่ไม่รู้จักใช้ทรัพยากรล้ำค่าให้สมเหตุสมผล ต้องให้ ‘มือสามไร้สามไม่’ มาอยู่ในมือตัวเอง ถึงจะมีโอกาสได้ฉายแสงโดดเด่น
ข้ากับวิชานี้มีวาสนาต่อกัน!
หลังจากใช้สายตายืนยันแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ล้มเลิกความคิดที่จะโน้มน้าวด้วยเหตุผลอย่างไม่ลังเล
จิตสำนึกแห่งความถูกต้องอันเข้มข้นกำลังบอกเขาว่าต่อให้ถูกผู้ชายหลอกให้รักแล้วทิ้ง แต่หลี่มั่วโฉวก็ใช้เป็นข้ออ้างในการฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้อยู่ดี!
อีกทั้งภารกิจของเฟยอวี๋ก็มีเงื่อนไขว่าต้องรับประกันได้ว่าหลังจากนี้หลี่มั่วโฉวจะไม่ลงมือกับคนในครอบครัวของลู่จ่านหยวน เมื่อเทียบกับคำสัญญาปากเปล่า เขายอมเชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วปฏิบัติตนได้เหมาะสมมากกว่า
ไม่ว่าจะมองจากมุมจะทำความดีและความชั่ว หรือวิเคราะห์จากจุดยืนของศิษย์ร่วมสำนัก เขาก็มีเหตุผลที่จะฆ่าหลี่มั่วโฉวให้ตายแน่นอน
ไม่ใช่เพราะอยากได้วิชาของนางแน่นอน
ไม่ใช่แน่นอน!