ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 395 หลงตัวเอง ไม่นับว่ามีความรัก
ตอนที่ 395 หลงตัวเอง ไม่นับว่ามีความรัก
หลิวอวิ๋นนั่นแม้ตัวเองจะกินเจ แต่กลับไม่ถือสาที่คนอื่นกินดื่มมื้อใหญ่ต่อหน้าตัวเอง เขานำผักดองและหมั่นโถวสองชิ้นที่ตัวเองเตรียมไว้ออกมาแล้วร่วมโต๊ะกินอาหารกับทุกคน ไม่นานก็เข้าประเด็นคุยกันอย่างเต็มที่แล้ว
ระหว่างที่รับประทานอาหาร อินปู้คุยส่งข้อความส่วนตัวบอกเยี่ยเว่ยหมิงว่ามีความเป็นไปได้มากที่อาจารย์ของหลิวอวิ๋นจะเป็น BOSS แฝงตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลิน ยอดฝีมือเลเวลสองร้อยที่แม้แต่เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินก็ยังไม่รู้จัก ฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับจางซานเฟิงผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ปู่ของเขา
ส่วนหลิวอวิ๋นก็ได้รู้ความเป็นมาของภารกิจก่อนหน้านี้จากปากของพวกเขาแล้ว
แต่หลังจากได้ยินทุกขั้นตอนของภารกิจ หลิวอวิ๋นก็เริ่มมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นยังถามคำถามที่ทำให้ทุกคนเก้อเขินขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ขออภัยที่อาตมาถามตรงๆ หลังจากได้ฟังพวกเจ้าวิเคราะห์แล้ว สิ่งเดียวที่อาตมาอยากถามก็คือ พวกเจ้าไม่เคยมีความรักเลยหรือ”
“ข้าเคยมีความรัก!”
เฟยอวี๋ได้ยินแล้วยกมือทันที แสดงออกว่าตัวเองไม่ใช่มือใหม่
หลิวอวิ๋นได้ยินแล้วย้ายสายตาไปบนตัวเฟยอวี๋อย่างสงบ พอเฟยอวี๋ถูกมองก็รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายมองทะลุใจตัวเองทันที รีบอธิบายว่า “ที่จริงการมีความรักครั้งนั้นของข้า จะว่าไปแล้วก็เพื่อความบันเทิงมากกว่า ข้าเห็นสหายรอบกายพากันมีความรัก ข้าก็เลยลองมีคนรักสักคนเหมือนกัน กล่าวได้ว่ามีความรักเพื่อความรักล้วนๆ พอเลิกกันวันต่อมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว แบบนี้นับว่ามีความรักหรือเปล่า”
หลิวอวิ๋นส่ายหน้าเบาๆ “นับว่ากับไม่นับว่า สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”
ซานเย่ว์ก็ตอบเหมือนกัน สถานการณ์ของนางต่างกับเฟยอวี๋ไม่มาก
หลิวอวิ๋นพยักหน้า แต่กลับเห็นน้องดาบที่อยู่ข้างๆ ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ฝึกยุทธ์ไม่สำเร็จ จะสร้างครอบครัวได้อย่างไร แม้แต่ขอบเขตของวิชาดาบที่แท้จริงข้ายังเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำ จะไปมีอารมณ์พลอดรักกับใครได้อย่างไร”
สำหรับความตรงไปตรงมาของน้องดาบ หลิวอวิ๋นแสดงออกว่าเกิดความนับถือ แล้วสายตาของเขาก็ย้ายไปยังฉางซิงอวี่ที่อยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ
ฉางซิงอวี่เก้อเขินเล็กน้อย ถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “รักออนไลน์นับไหม”
เนื่องจากค่อนข้างสนิทกับฉางซิงอวี่ หลิวอวิ๋นถึงขั้นขี้คร้านจะตอบคำถามที่ไร้ประโยชน์แบบนี้ คิดเสียว่าตัวเองได้คำตอบแล้ว จึงมองไปที่อินปู้คุยต่อ จากนั้นก็กระแอมหนึ่งทีแล้วบอกว่า “วันนี้อากาศดีจริงๆ”
ถึงคราวของสะพานสวรรค์น้อยแล้ว
สะพานสวรรค์น้อยก้มหน้าทันที แล้วถามเสียงเบาๆ ว่า “แอบรักนับไหม”
หลิวอวิ๋นยิ้มให้อย่างมีมารยาท แล้วสุดท้ายก็ย้ายสายตาไปที่เยี่ยเว่ยหมิง
ตอนที่คนอื่นๆ กำลังตอบคำถาม เยี่ยเว่ยหมิงก็คิดคำพูดปฏิเสธไว้เรียบร้อยแล้ว เขาตอบว่า “มีความรักหรือ เรื่องประเภทนี้ต้องอาศัยพรหมลิขิต แม้ข้าจะเป็นคนจิตใจงดงาม รักความยุติธรรม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ได้รับความรักจากสาวๆ มามากมาย แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าพรหมลิขิตของข้าอาจจะยังมาไม่ถึงมั้ง”
สำหรับคำแก้ตัวของเยี่ยเว่ยหมิง หลิวอวิ๋นเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนมาก จากนั้นให้คำตอบที่ถูกต้องอย่างตรงประเด็น “หลงตัวเอง ไม่นับ”
หลังจากหลิวอวิ๋นถามอ้อมไปไกล จนทำให้บรรยากาศชื่นมื่นกลมเกลียวเปลี่ยนเป็นอึดอัดแล้ว ก็อธิบายทันทีว่า “ที่จริงสาเหตุที่อาตมาถามเช่นนี้ หนึ่งไม่ใช่เพื่อทำให้ทุกคนลำบากใจ สองไม่ใช่เพราะอยากสืบเรื่องส่วนตัว แต่คำถามนี้เกี่ยวข้องกับภารกิจที่สหายเฟยอวี๋ได้รับ”
เกี่ยวข้องกับภารกิจ?
ทุกคนแสดงความสงสัยพร้อมกัน แต่กลับได้ยินหลิวอวิ๋นอธิบายต่อ “ในชีวิตจริงตอนนี้ อาตมาอาจจะอายุมากกว่าพวกเจ้าไม่กี่ปี ตอนนี้อายุยี่สิบสามแล้ว ประสบการณ์จึงมากกว่าพวกเจ้านิดหน่อย ยกตัวอย่างเช่นด้านความรัก”
หลิวอวิ๋นนำอายุมาเป็นเหตุผลเพื่อบอกว่าเขาเข้าใจเรื่องความรัก แต่พวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่เข้าใจ เท่านี้ก็ถือว่าไว้หน้าพวกเขามากแล้ว แสดงออกถึงด้านความกะล่อนที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่มี
จนกระทั่งทุกคนสีหน้าผ่อนคลายลงเต็มที่แล้ว เขาถึงได้พูดต่อว่า “หลังจากได้ฟังสิ่งที่พวกเจ้าบรรยายก่อนหน้านี้ อาตมาก็พอจะเดาความคิดลึกๆ ภายในจิตใจของหลี่มั่วโฉวได้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่รู้อะไรเลย อาตมาก็เลยจะยืนยันให้แน่ใจสักหน่อยว่าทุกคนเคยเข้าใจ หรือผ่านความรักที่ลึกซึ้งฝังใจมาก่อนหรือเปล่า ตอนนั้นจะส่งผลต่อการตัดสินของอาตมาโดยตรง”
ทุกคนพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ ฉางซิงอวี่ที่สนิทกับเขาที่สุดถามว่า “ตอนนี้สหายหลิวอวิ๋นแน่ใจสถานการณ์ของพวกเราแล้ว ตอนนี้พูดสิ่งที่ตัวเองตัดสินได้แล้วใช่ไหม”
หลิวอวิ๋นพยักหน้า “ถ้าอาตมาเดาไม่ผิด สาเหตุที่นั่นหลี่มั่วโฉวนั่นปฏิเสธข้อเสนอของพวกเจ้า นอกจากคำสัญญาสิบปีนั่นแล้ว ก็มีสาเหตุที่สำคัญกว่านั้น เป็นเพราะนางยังมีเยื่อใยต่อลู่จ่านหยวน หากพวกเจ้ามีความสามารถทำให้ลู่จ่านหยวนฟื้นชีพขึ้นมาได้ แล้วให้เขาตบแต่งนางเป็นภรรยา เกรงว่าต่อให้นางต้องทำลายวรยุทธ์ของตัวเอง นางก็จะตอบรับอยู่ดี”
เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของหลิวอวิ๋น ทุกคนก็รู้สึกอึ้งพร้อมกัน ยังเป็นหัวหน้าทีมอย่างเยี่ยเว่ยหมิงที่กล่าวสรุปให้ “สหายหลิวอวิ๋นหมายความว่า นางเป็นหญิงชั่ว?”
หลิวอวิ๋นเงียบไปสองวินาที จากนั้นอธิบายว่า “ที่จริงการที่พวกเจ้าไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องปกติมาก ถึงอย่างไรความรักก็เป็นนามธรรม ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาวัดได้ ถามไถ่โลกหล้า รักนั้นเป็นฉันใด ไยจึงมอบให้กันด้วยชีวิต…บลาๆๆ”
สำหรับการพร่ำพรรณาของหลิวอวิ๋น พวกเพื่อนๆ ในทีมฟังแล้วงง ยังต้องให้เยี่ยเว่ยหมิงแปลให้ทุกคนเข้าใจ “สหายหลิวอวิ๋นกำลังหมายความว่า ใช่แล้ว นางเป็นหญิงชั่ว!”
หลิวอวิ๋น “…”
เขารู้สึกว่าตัวเองกับเจ้าเด็กเปรตที่ไม่เข้าใจความรักคนนี้พูดจาคนละภาษากัน จึงทำได้เพียงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว วันนี้ในเมื่ออาตมามาแล้ว ก็จะช่วยให้ถึงที่สุดแล้วกัน ขอเชิญสหายเฟยอวี๋แสดงฝีมือการสะกดรอยตามเพื่อหาตำแหน่งของหลี่มั่วโฉว ครั้งนี้ให้ข้าเจรจากับนางเอง”
“เช่นนั้นก็รบกวนสหายหลิวอวิ๋นแล้ว”
……
เริ่มใช้งานระบบนำทาง GPS ยี่ห้อเฟยอวี๋
หลังจากนั้นยี่สิบนาที ทุกคนก็ตามเจอหลี่มั่วโฉวอีกครั้งนอกป่าหลิวผืนหนึ่ง
“เป็นพวกเจ้าอีกแล้วหรือ” ตอนนี้หลี่มั่วโฉวรักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้ว กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง แม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพวกเยอะกว่าตัวเอง แต่ก็ยังถามอย่างไม่หวาดกลัว “อย่าบอกนะว่าตอนนี้พวกเจ้ามีหนทางรั้งข้าไว้ได้แล้ว”
หลี่มั่วโฉวผู้นี้ไม่ได้โง่จริงๆ มองออกตั้งแต่แรกว่าเยี่ยเว่ยหมิงมีเจตนาสังหารนาง เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้นเอง
“อามิตตาพุทธ!” หลังจากเสียงแห่งธรรมะดังขึ้น นางกลับเห็นหลิวอวิ๋นก้าวมาตรงหน้า ประนมมือทักทายอีกฝ่ายก่อน จากนั้นถามหลี่มั่วโฉวด้วยใบหน้ายิ้ม “นักพรตหลี่ เจ้ายินดีจะเจอหน้าลู่จ่านหยวนอีกสักครั้งหรือไม่”
ประโยคนี้ของหลิวอวิ๋น สำหรับหลี่มั่วโฉวแล้ว รับมือยากกว่า ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ กับ ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ ของเยี่ยเว่ยหมิงอีก เห็นร่างงามของนางสั่นเล็กน้อย ยืนเหม่ออยู่กับที่หลายวินาที สับสนในความรู้สึกจนยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ท่าทางน่าสงสารน่าเอ็นดูแบบนั้น ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ เกือบฉวยโอกาสใช้ท่าปลุกปั่นกระบี่ตัดเส้นเอ็นขาของนางแล้ว
แต่ในเมื่อก่อนหน้านี้บอกไว้แล้วว่าจะส่งเรื่องนี้ให้หลิวอวิ๋นจัดการต่อ เขาก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดที่จะสังหาร BOSS โหมดปกติเลเวลเก้าสิบ พยายามข่มความยั่วยวนนี้เอาไว้
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ๆ หลี่มั่วโฉวก็กลับมาทำสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม แล้วกล่าวอย่างอวดดีว่า “ก็อย่างที่บอกไว้ตอนแรก มีเพียงผู้ที่ข้ายอมรับในความสามารถเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์คุยกับข้า หากเจ้าอยากเจรจาเงื่อนไขก็ย่อมทำได้ แต่เจ้าต้องทำให้ข้าบาดเจ็บให้ได้ก่อน”
แม้หลิวอวิ๋นจะเสนอเงื่อนไขที่ทำให้หลี่มั่วโฉวไม่อาจปฏิเสธได้ทันทีที่คุยกัน แต่สำหรับ NPC แล้ว ไม่ว่าท้องฟ้าหรือแผ่นดินจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่กฎกติกาสำคัญที่สุด ต่อให้ในใจนางจะไม่เต็มใจอย่างไร แต่ก็ต้องต่อสู้กับอีกฝ่ายก่อน
ก็เหมือนตอนแรกที่เยี่ยเว่ยหมิงรับสามฝ่ามือของหยางกั้ว