ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 397 หลี่มั่วโฉวกลับมาเป็นฆราวาส
ตอนที่ 397 หลี่มั่วโฉวกลับมาเป็นฆราวาส
เสียงคลื่นทะเลยังคงเดิมไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม
อย่างไรเสีย ภารกิจของกิจกรรมของระบบก็ชื่อว่า ‘คนผียังไม่สิ้นวาสนา’ ไม่ใช่ ‘คนผียังไม่สิ้นรัก’
หลิวอวิ๋นเน้นไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ได้ขอให้หลี่มั่วโฉวให้อภัยลู่จ่านหยวน เมื่อเทียบกับผู้หญิงแล้ว ชายชั่วเป็นศัตรูของสาธารณะของผู้ชายทุกคน
มิหนำซ้ำลู่จ่านหยวนก็ตายไปแล้ว ถึงขั้นศพเน่าไปแล้วด้วยซ้ำ แม้แต่เจ้าแดงก็ไม่ได้กินศพ ถ้ารอให้กิจกรรมจบลง หลี่มั่วโฉวคืนดีกับเขาแล้วเล่นบทยอมตายเพื่อบูชารัก เช่นนั้นสำหรับหลิวอวิ๋นก็ถือว่าสร้างบาปกรรมหนักหนา
สำหรับเยี่ยเว่ยหมิง นี่ก็ไม่ใช่จุดจบที่เขายอมรับได้เช่นกัน
โดยเฉพาะถ้าปล่อยให้หลี่มั่วโฉวยอมตายเพื่อความรัก เขาช่วยลงมือส่งอีกฝ่ายไปตายเองดีกว่า
ถึงอย่างไร หากหลี่มั่วโฉวตายเพราะปลิดชีพตัวเอง เขาก็จะไม่ได้ดรอปค่าประสบการณ์ ค่าตบะ อุปกรณ์และวิชา ‘มือสามไร้สามไม่’ แล้ว
น่าเสียดายมาก!
ดังนั้น เมื่ออยู่ภายใต้ผลเยียวยาจิตใจของพุทธธรรมที่หลิวอวิ๋นใช้ก่อนหน้านี้ หลี่มั่วโฉวได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อโลก ทัศนคติที่มีต่อคุณค่าและทัศนคติที่มีต่อชีวิตที่เคยทำให้นางเป็นคนขัดแย้งในตัวเองก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงแล้ว
แม้ลู่จ่านหยวนได้กล่าวขอโทษอย่างจริงใจแล้ว แต่หลี่มั่วโฉวก็ไม่ได้เลือกที่จะให้อภัยเขาอย่างมีเมตตา
แต่สุดท้ายนางก็ยังรับปากว่าจะปล่อยคนในครอบครัวของลู่จ่านหยวนไป ถือเสียว่าบุญคุณความแค้นในอดีตไม่เคยมีอยู่
และความจริงก็ได้พิสูจน์สิ่งที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน เมื่อระดับของภารกิจสูงขึ้นในระดับหนึ่ง การทำภารกิจโหมดคนเดียวก็จะถูกเปลี่ยนเป็นโหมดทีม หลังจากภารกิจสำเร็จแล้ว ไม่ได้มีเพียงเฟยอวี๋ที่ได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ คนอื่นๆ ในทีมแปดคนนี้ก็ได้รับรางวัลเป็นค่าวีรบุรุษหนึ่งพันแต้ม ค่าประสบการณ์กับค่าตบะเป็นจำนวนที่แตกต่างกันไปเช่นเดียวกัน
ก็อย่างที่หลิวอวิ๋นเคยบอกไว้ หากล้างความขุ่นมัวให้นางมารร้ายที่ทั้งน่าสงสารและน่าแค้นอย่างหลี่มั่วโฉวได้ ก็จะได้บุญกุศลไร้ขีดจำกัด!
ส่วนหลี่มั่วโฉว หลังจากไล่วิญญาณของลู่จ่านหยวนไปแล้ว ก็ประกาศข่าวที่ทำให้ทุกคนตกใจ
นางต้องการหวนกลับคืนสู่การเป็นฆราวาส!
นางไม่เพียงแค่ต้องการกลับมาเป็นฆราวาสเท่านั้น ทั้งยังจะสร้างอาชีพของตัวเองด้วย
ภายใต้การโน้มน้าวของหลิวอวิ๋น เมื่อหลี่มั่วโฉวที่ละทิ้งสัมภาระทางอารมณ์แล้ว นางก็ตัดสินใจจะเปลี่ยนความเศร้าให้เป็นแรงผลักดัน ตั้งปณิธานไว้ว่าจะกลายเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่งให้ได้!
ดังนั้น หลังจากนักพรตหลี่ชำระล้างความขุ่นมัวในใจแล้ว ก็ตัดสินใจรับคำเชิญของซานเย่ว์อย่างเป็นทางการ มารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการ ‘ร้านค้าอุปกรณ์เครื่องประดับ’ ส่วนเรื่องค่าตอบแทน พวกซานเย่ว์ก็สัญญาไว้ว่าจะให้ส่วนแบ่งเป็นหุ้นสิบเปอร์เซนต์กับนาง
หุ้นเหล่านี้ย่อมเป็นหุ้นที่ผู้เล่นทุกคนลงกับร้านอุปกรณ์ร้านนี้อยู่แล้ว แบ่งผลกำไรกันตามสัดส่วนการถือหุ้น
สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงและบรรดาผู้ถือหุ้นล้วนยินดีต้อนรับ
แม้ภายยอกจะดูเหมือนหลี่มั่วโฉวจับเสือมือเปล่า ได้รับผลตอบแทนของทุกคนไป
แต่มูลค่าที่นางจะสร้างให้ร้านนี้ ก็เหนือกว่าความเสียหายเล็กน้อยไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงพวกนี้ตั้งเยอะ!
อย่างไรเสียก็เริ่มเปิดร้านแล้ว ต้องมีคนมาคอยบริหาร
อีกทั้งผู้เล่นก็ต้องฆ่ามอนสเตอร์อัปเลเวลและทำภารกิจ นอกเสียจากจะเป็นผู้เล่นส่วนน้อยทิ้งวิทยายุทธ์ของตัวเองแล้วฝึกทักษะการบริหารธุรกิจโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครเจียดเวลามากขนาดนั้นเพื่อมาบริหารร้านค้าได้
แต่หลี่มั่วโฉวที่เป็น NPC กลับทำได้
ด้วยความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาของนาง ยังนับเป็นระดับสุดยอดในหมู่ NPC
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ถ้าอยากทำธุรกิจให้ใหญ่และมั่นคงยิ่งขึ้นก็มีอยู่สองสิ่งที่ขาดไม่ได้ หนึ่งคือความสามารถในการประชาสัมพันธ์ สองคือกำลังที่เพียงพอจะข่มขวัญพวกหัวขโมยได้ สองสิ่งนี้หลี่มั่วโฉวล้วนมีความได้เปรียบมากโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
นางมีหน้าตางดงามล้ำเลิศ ทั้งยังมีเข็มเงินวิญญาณน้ำแข็งด้วย นางคนเดียวรับหน้าที่พร้อมกันหลายตำแหน่งได้เลย รับหน้าที่สำคัญของงานได้ด้วยตัวคนเดียว
วิธีการเชิญให้นางมาเป็นหุ้นส่วนแทนที่จะจ้างนาง ก็เป็นการขยายขีดจำกัดจิตสำนึกต่อหน้าที่ของนางให้มากที่สุด เรื่องดีๆ แบบนี้ทุกคนย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธอยู่แล้ว
ความยุ่งยากเพียงอย่างเดียวก็คือ ในเมื่อรับหลี่มั่วโฉวเข้ามาแล้ว เช่นนั้นบุญคุณความแค้นระหว่างนางกับสุสานโบราณก็ต้องให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงแบกรับไว้เอง
ถึงอย่างไรตอนแรกหลี่มั่วโฉวก็ถือเป็นลูกศิษย์ที่ทรยศสำนัก อาจารย์ของหลี่มั่วโฉวกับเสี่ยวหลงหนี่ว์กำชับไว้ว่าหลังจากเสี่ยวหลงหนี่ว์ฝึกทักษะยุทธ์สำเร็จแล้ว ก็ต้องลงมือเก็บกวาดขยะในสำนัก
แต่สำหรับเยี่ยเว่ยหมิง นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
อย่างที่อินปู้คุยเคยบอกไว้ ว่าในเนื้อเรื่องต้นฉบับเดิม แค่หลี่มั่วโฉวไม่ไปหาเรื่องพวกเสี่ยวหลงหนี่ว์ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หยางกั้วและเสี่ยวหลงหนี่ว์เหมือนจะไม่เคยเป็นฝ่ายไปหาเรื่องหลี่มั่วโฉวก่อน ส่วนเรื่องเก็บกวาดขยะในสำนัก พวกเขาก็ยิ่งลืมมันไปตั้งนานแล้ว
ถึงอย่างไรอาจารย์ของนางก็สั่งเสียไว้เพียงว่า ให้เสี่ยวหลงหนี่ว์เก็บกวาดขยะในสำนักเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าให้เก็บกวาดเมื่อไร
ด้วยนิสัยที่ชอบอยู่ติดบ้านของเสี่ยวหลงหนี่ว์ แน่นอนว่าถ้าเลื่อนเวลาออกไปได้ก็เลื่อนไปก่อน อย่างไรเสียก็ไม่มีใครเร่ง เลื่อนเวลาจนหลี่มั่วโฉวแก่ตาย นางก็ไม่ต้องลงมือเก็บกวาดเองแล้ว
และเยี่ยเว่ยหมิงก็บอกไปว่า เรื่องราวทางฝั่งหลานชายและหลานสะใภ้ เขารับหน้าที่จัดการเองได้!
เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คำสั่งเสียอะไรนั่น คิดหาทางผ่อนผันสักหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว
แล้วเรื่องราวก็ผ่านไปอย่างนี้ หลี่มั่วโฉวกลับตัวกลายเป็นคนของพวกเยี่ยเว่ยหมิงอย่างเป็นทางการ ส่วนผู้เล่นอย่างพวกเขาก็ทำภารกิจจับผีของตัวเองต่อไป
เนื่องจากหลิวอวิ๋นต้อง ‘ถือศีลห้ามฆ่าสัตว์’ จึงไม่สะดวกรวมกลุ่มกับพวกเขาไปฆ่าผีด้วยกัน หลังจาก ‘โปรด’ หลี่มั่วโฉวสำเร็จแล้วก็กล่าวอำลาทุกคน เตรียมจะอาศัยโอกาสของกิจกรรมระบบครั้งนี้ ใช้พุทธธรรมของเขาโปรดผีเพื่อสั่งสมบุญกุศลต่อไป
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือในทีมก็ปฏิบัติภารกิจด้วยแนวคิดที่ว่า ‘หากต้องการจับผี ก็ต้องไปที่สุสานโบราณ’ ทั้งแปดคนภายใต้การนำของเยี่ยเว่ยหมิงนั่งรถม้าไปลงที่จุดพัดมาตรงตีนเขาจงหนาน
ตอนที่เพิ่งลงรถม้า ก็เห็นผู้เล่นหน้าอ้วนหูใหญ่คนหนึ่งปรากฏอยู่ในสายตาแล้ว เจ้าหมอนี่สวมกวานบนศีรษะ สวมใส่ชุดนักบวชเต๋า แต่คลุมด้วยจีวรพระผืนหนึ่ง ดูแล้วเหมือนเป็นกึ่งหลวงจีนกึ่งนักพรต ดูไม่เข้าพวกเท่าไร ตอนที่ยิงฟันยิ้มโดยคิดไปเองว่าเป็นรอยยิ้มที่เมตตาอ่อนโยน แต่กลับทำให้คนที่เห็นรู้สึกเหมือนกำลังถูกถามว่า ‘มองอะไรของเจ้า’ แค่ดูการแต่งตัวอย่างเดียวก็ทำให้คนเกิดความระแวดระวังเขาอยู่ในใจแล้ว
ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ แม้จะมีผู้เล่นหลักล้าน แต่ผู้ที่มีลักษณะและรูปลักษณ์ภายนอกพิเศษแบบนี้ นอกจาก ‘พระมาร’ หนิวจื้อชุนก็ไม่มีใครอีกแล้ว
“สหายเยี่ย ในที่สุดพวกเจ้าก็มาแล้ว ปล่อยให้ข้าลำบากรอตั้งนาน!” เพิ่งจะเจอหน้ากัน หนิวจื้อชุนก็เริ่มบ่นกลั้วเสียงหัวเราะแล้ว ความหมายที่เขาจะสื่อก็คือ เขารอมานานแล้ว ถ้าเอาเวลาพวกนี้ไปจับผี ไม่แน่ว่าอาจทำภารกิจดีๆ สำเร็จไปแล้วก็ได้
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าจุดประสงค์ของเขาก็คือจะกดราคา ‘กระบองอสูรทองคำ’ อันนั้น
เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ ขณะที่เตรียมจะต่อปากต่อคำกับเขาสักหน่อย กลับได้ยินซานเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ ชิงพูดว่า “เจ้าไม่ได้รอนานขนาดนั้นแน่นอน เจ้ากำลังโกหกนี่นา!”
หนิวจื้อชุนได้ยินแล้วอึ้ง แม้จะไม่รู้ชัดว่าซานเย่ว์มองออกได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้พูดความจริง แต่ก็ยังหน้าด้านแก้ตัวว่า “ครึ่งชั่วโมงถือว่านานมากสำหรับข้า พวกเจ้าก็รู้นี่ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาภารกิจกิจกรรม ไม่แน่ว่าครึ่งชั่วโมงนี้อาจจะ…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ซานเย่ว์ก็พูดตัดบทเขาอีก “ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วย เจ้าโกหกอีกแล้ว” พูดจบก็ถลึงตาใส่เขา มองประเมินด้วยความสงสัยพร้อมบอกว่า “ว่ากันว่าคนที่ออกบวชไม่พูดโกหกไม่ใช่หรือ เจ้าเป็นนักพรต ทำไมชอบโกหกนักล่ะ”
หนิวจื้อชุนยังคิดจะแก้ตัว แต่ตอนนี้จู่ๆ น้องดาบก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วกล่าวพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้บาน “อาหนิวเอ๊ย ก่อนหน้านี้เหมือนข้าได้ยินมาว่ามีใครบางคนเรียกข้าลับหลังว่าปีศาจน้อยของสำนักดาบโลหิตนะ?”