ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 399 เตียงหินของตู๋กูมีควันดำลอยขึ้นมา
ตอนที่ 399 เตียงหินของตู๋กูมีควันดำลอยขึ้นมา
[กระบี่ทองปัวสวิน: กระบี่สั้นธรรมดาเล่มหนึ่ง ซึมซับพลังชั่วร้าย กลายเป็นอาวุธโหดที่แท้จริง โจมตี +600 ความรู้สึกเจ็บรุนแรงขึ้น 100% (เมื่อปิดโหมดความรู้สึกเจ็บ ตัดสินจากท่าทางที่เปลี่ยนไปหลังจากถูกโจมตี 100%) เอฟเฟ็กต์พิเศษ: กระบี่สองคม!]
[กระบี่สองคม: ผลเพิ่มความรู้สึกเจ็บของกระบี่ทองปัวสวิน มีผลต่อตัวผู้ใช้เอง เมื่อผู้ถือกระบี่ได้รับบาดเจ็บ ความรู้สึกเจ็บรุนแรงขึ้น 50% (เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ปิดโหมดความรู้สึกเจ็บ ตัดสินจากท่าทางที่เปลี่ยนไปหลังจากถูกโจมตี 50%)]
เดิมทีเป็นกระบี่สั้น แต่ซึมซับพลังชั่วร้ายจนงอกกลายเป็นกระบี่ยาวแล้ว ขนาดและความยาวเหมาะกับความเคยชินของผู้เล่นที่ใช้กระบี่ส่วนใหญ่พอดี
แต่ค่าสเตตัสพิเศษของกระบี่เล่มนี้ แม่งเป็นกระบี่สองคมน่ะสิ!
สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกเจ็บรุนแรงขึ้น ความหมายก็ตามนั้นเลย ก็คือทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บสองเท่า แบกรับความเจ็บปวดไปเถอะ จุดนี้ไม่ต้องพูดมากแล้ว
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ปิดโหมดความรู้สึกเจ็บ หากผู้เล่นได้รับบาดเจ็บ ก็จะตอบสนองด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เจ็บแขน ก็จะชักแขนกลับมาโดยอัตโนมัติ
แต่เอฟเฟ็กต์พิเศษแบบนี้ ช่วงแรกของเกมจะแสดงออกชัดเจนที่สุด เมื่อเลเวลทักษะยุทธ์ของผู้เล่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะเกิดท่าทางเปลี่ยนแปลงแบบนี้ก็ต่ำลงตามไปด้วย
โดยทั่วไปตราบใดที่ไม่ถูกดาเมจรุนแรงเกินไป หรือกำลังเปิดใช้โหมดความรู้สึกเจ็บแล้วทำให้รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว ก็ล้วนอาศัยค่าสเตตัสความแม่นยำของกระบวนท่านั้นเพื่อเปลี่ยนท่าทางได้
และสิ่งที่เรียกว่าค่าสเตตัสความแม่นยำ ก็ใช่ว่าจะต้องโจมตีถูกเป้าหมายร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป แต่เป็นการใช้กระบวนท่าที่ผู้เล่นจินตนาการไว้ได้สำเร็จ
จุดนี้ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แต่ความจริงกลับมีบทบาทสำคัญมาก
ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ตอนที่ใครคนหนึ่งกำลังฝึกคัดอักษรอยู่ในช่องคัดตัวอักษร ตัวอักษรของผู้เขียนที่อยู่บนกระดาษเป็นอย่างไร ในใจก็ย่อมมีผลลัพธ์แล้ว แต่ตอนที่ให้ลงมือเขียนจริง ทุกคนที่เคยผ่านขั้นตอนการฝึกอันยาวนานกลับเขียนไม่ได้ตามประสิทธิภาพที่คิดไว้เลย
ประโยชน์ของความแม่นยำ ก็คือทำให้ร่างกายของผู้เล่นแสดงท่าทางตามที่ใจคิดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ!
ส่วนระดับความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนเพิ่มความแม่นยำถึง 100% แล้วจะแสดงท่าทางออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะความแม่นยำ 100% ที่เพิ่มขึ้นจะอิงตามค่าสเตตัสพื้นฐานหลายๆ รายการ
ส่วนค่าสเตตัสพื้นฐานนั้นได้มาได้อย่างไร เยี่ยเว่ยหมิงเดาได้เพียงว่าคงเกี่ยวข้องกับค่าสเตตัสรวมของผู้เล่นเอง เนื่องจากไม่เหมือนพลังโจมตีที่ตัดสินได้โดยตรงจากดาเมจที่โจมตีออกมา ดังนั้นจึงอธิบายรายละเอียดได้ไม่ชัดเจน
ถึงอย่างไร ยิ่งค่าสเตตัสรวมยิ่งสูง การตัดสินค่าสเตตัสพื้นฐานก็ยิ่งสูง ระดับการเพิ่มขึ้นของความแม่นยำก็จะสูงตามไปด้วย
ดูจากค่าสเตตัสรวมของกระบี่ทองปัวสวินเล่มนี้ ก็สมแล้วที่เป็น ‘กระบี่สองคม’
ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบกับศัตรู ต่อให้เป็นผู้ถือกระบี่เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้จะสร้างผลกระทบกับศัตรูแค่ครึ่งเดียว แต่หลายครั้งก็ต้องดูว่าผลนี้จะเกิดกับตัวใครกันแน่ ต้องดูว่าระหว่างฝ่ายเรากับฝ่ายศัตรู ใครที่เป็นผู้ถูกโจมตี
ถ้าไม่ระวัง ผู้ที่ถือกระบี่เองก็อาจตกหลุมพรางค่าสเตตัสนี้เองก็ได้ จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ!
หลังจากเห็นค่าสเตตัสของกระบี่ล้ำค่าที่เยี่ยเว่ยหมิงส่งให้ดูในช่องทีม หนิวจื้อชุนที่เพิ่งได้รับรางวัลเป็นค่าประสบการณ์และค่าตบะก็ขอตัวออกจากทีมอย่างไม่ลังเล
เขารู้ตัวเองว่าสร้างผลงานได้ไม่มากเมื่ออยู่ในการต่อสู้นี้ จึงไม่หวังจะได้ส่วนแบ่งการประมูลขายกระบี่ล้ำค่า ถ้ามีเวลามาลับฝีปากกับสหายพวกนี้ ไม่สู้รีบเปลี่ยนสถานที่ไปจับผีดีกว่า ฉวยโอกาสตอนช่วงเวลากิจกรรมสะสมค่าวีรบุรุษให้ได้มากๆ หน่อย นี่ต่างหากคือหนทางที่ถูกต้อง
ส่วนคนอื่นๆ ในทีม ทันทีที่ได้เห็นค่าสเตตัสของกระบี่ทองปัวสวิน สายตาก็ย้ายไปที่ตัวเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมกัน
ในสายตาของพวกเขา ค่าสเตตัสกระบี่สองคมถือเป็นกับดักที่ใหญ่มาก และถ้าอยากจะใช้กระบี่เล่มนี้วางกับดักศัตรู ไม่ใช่วางกับดักตัวเอง เจ้าของกระบี่ก็ต้องเป็นคนที่เก่งเรื่องวางกับดักคนอื่นเท่านั้น
ในสายตาของเพื่อนร่วมทีมเหล่านี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็คือชายหนุ่มอัศจรรย์ที่มีพรสวรรค์ประหลาดแบบนี้!
สำหรับสายตาเฝ้าคอยของเพื่อนในทีม เยี่ยเว่ยหมิงปลื้มปิติมา
เป็นเพราะทันทีที่เห็นค่าสเตตัสของกระบี่เล่มนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตกหลุมรักค่าสเตตัสของมันแล้ว ถ้าจะให้เขาส่งกระบี่ล้ำค่าที่มีค่าสเตตัสแปลกใหม่ขนาดนี้ไปให้คนอื่นใช้ เขาก็ทำใจไม่ลงจริงๆ และไม่วางใจด้วย
ยกตัวอย่างเช่นอินปู้คุยกับสะพานสวรรค์น้อย ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือที่ใช้กระบี่ ถ้ากระบี่เล่มนี้ตกอยู่ในมือของพวกเขา รับรองว่าจำนวนครั้งที่พวกเขาจะตกหลุมพรางตายจะบ่อยกว่าจำนวนครั้งที่มันแสดงประสิทธิภาพอันน่าอัศจรรย์ออกมาเสียอีก
นี่ไม่ใช่การใส่ร้าย
ที่จริงแล้ว หลังจากผู้เล่นได้อาวุธระดับสูง ส่วนใหญ่ก็นำมาใช้กับสามเรื่องเท่านั้น อัปเลเวล PK ฆ่า BOSS
ถ้าอัปเลเวล ที่จริงหลักๆ แล้วต้องดูพลังโจมตีของอาวุธ ค่าสเตตัสเสริมของกระบี่ทองปัวสวิน จะมีหรือไม่มีก็ไม่ได้ต่างกันมาก แต่ถ้าได้รับบาดเจ็บเมื่อไร ก็จะถูกวางกับดักแรงมาก
ถ้า PK กัน ผู้เล่นที่ถือกระบี่จะต้องได้เปรียบกว่าผู้เล่นที่เผชิญหน้ากับกระบี่เล่มนี้แน่นอน แต่ปัญหาก็คือสะพานสวรรค์น้อยกับอินปู้คุยล้วนไม่ใช่คนที่ชอบการ PK ดังนั้นโอกาสใช้งานก็น้อยมากเช่นกัน
ส่วนการฆ่า BOSS…
ด้วยขีดจำกัดพลังชีวิตของ BOSS จึงอนุญาตให้พวกเขาทำผิดพลาดได้นิดหน่อย แต่ผู้เล่นกลับทำไม่ได้ นี่ก็คือหลุมพรางที่ใหญ่ที่สุด!
หลังจากเก็บกระบี่ทองปัวสวินเงียบๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็เพียงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “หลังจากจบภารกิจแล้วไปแบ่งของกัน” แล้วก็ชี้ไปที่น้องดาบกับอินปู้คุย ให้ก้าวขึ้นไปท้าสู้ BOSS เฝ้าด่านของสำนักสุสานโบราณแล้ว
ส่วนรายละเอียดขั้นตอนการท้าสู้ก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว
น้องดาบให้ดาบฟันห่าวต้าทง อินปู้คุยก็ทำเหมือนเยี่ยเว่ยหมิงก่อนหน้านี้ โจมตีสองคนทรามแห่งฉวนเจินเวอร์ชั่นถูกตอนจนแพ้ไป
หลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าสู่ขอบเขตพื้นที่ของสำนักสุสานโบราณอีกครั้ง แล้วเริ่มฆ่าผีอย่างบ้าคลั่ง
ระหว่างนั้นมีเพื่อนในทีมบางคนที่ขอแยกตัวไปทำภารกิจเดี่ยวตามที่สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ได้ออกจากขอบเขตพื้นที่ของสำนักสุสานโบราณเลย
ตั้งแต่เข้ามาในเกม เยี่ยเว่ยหมิงฆ่า BOSS ไปทั้งหมดสองร้อยสามสิบเอ็ดคน แต่ทุกคนล้วนมีแนวทางการฆ่าให้ตายเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็มีความผิดที่สมควรตายที่แต่ละคนเคยทำไว้ตอนยังมีชีวิต
ดังนั้นผีที่เขาเจอส่วนมากจะเป็นประเภทตัวร้ายที่ไม่ขออะไรที่สมเหตุสมผล เอาแต่พาลก่อเรื่องอย่างเดียว
เขาจึงลงมือกำจัดอย่างสบายๆ อีกครั้ง ทั้งยังไม่มีภาระกดดันทางด้านจิตใจใดๆ ด้วย
พวกเขาต่อสู้อยู่ที่สำนักสุสานโบราณตั้งแต่กลางวันยันกลางคืน แล้วก็สู้ตั้งแต่กลางคืนยันกลางวัน อย่างน้อยก็ได้เห็น BOSS ทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่พวกเขาเคยเจอในครึ่งปีแรกอีกครั้งประมาณหนึ่งในสามส่วน
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่เจอสัตว์มารที่ดรอปอาวุธล้ำค่าอีกเลย ทำให้เขาบ่นในใจว่าน่าเสียดาย
หลังจากต่อสู้ไปสักพัก เลเวลของเยี่ยเว่ยหมิงที่เดิมทีเป็นช่วงเริ่มต้นของสี่สิบห้า ตอนนี้ขาดค่าประสบการณ์อีกประมาณครึ่งเดียวก็จะถึงเลเวลสี่สิบหกแล้ว สถานการณ์ของเพื่อนในทีมคนอื่นๆ ก็ประมาณนี้เหมือนกัน ถือว่าได้ค่าประสบการณ์เป็นกอบเป็นกำ
เมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มสว่าง ทุกคนก็เริ่มเดินไปทางถนนสายเล็กระหว่างป่าซึ่งเป็นทางออกสุสานโบราณโดยอัตโนมัติ
จนกระทั่งได้ยินเสียงไก่ขัน น้องดาบก็เป็นคนแรกที่เก็บดาบเข้าฝักแล้วบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว! ใช้เวลาฆ่าผีไปนานขนาดนั้น ข้ารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะกลายเป็นผีแล้ว แล้วยิ่งตอนหลัง ผีที่โผล่มาก็คุณภาพแย่ลงเรื่อยๆ ถึงขั้นเริ่มเจอ BOSS เลเวลสิบสมัยที่ข้าเจอตอนหมู่บ้านมือใหม่ล้ว ถ้าให้ใช้เวลาฆ่าผีพวกนี้ต่อไป ไม่สู้เข้าดันเจี้ยนต่อไปดีกว่า”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ” พอเห็นน้องดาบพูดนำ อินปู้คุยก็บอกเหมือนกันว่า “มอนสเตอร์ผีพวกนั้นที่ข้าเจอ ยิ่งนานไปก็ยิ่งแจกภารกิจปลิ้นปล้อน ยิ่งทำภารกิจก็ยิ่งได้รางวัลน้อย แต่กลับยุ่งยากมาก ข้าไม่อยากเล่นแบบนี้ต่อแล้ว”
เมื่อเห็นพวกเขาสองคนพูดเปิดแล้ว คนที่เหลือก็ย่อมทยอยกันให้ความร่วมมือ
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าเหมือนระบบไม่อยากให้ทีมของพวกเขาได้รับรางวัลมากเกินไป เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เจอผีเหมือนกัน แต่ผีที่พวกเขาเจอกลับคุณภาพต่ำกว่าผีที่สาวๆ คนอื่นของสุสานโบราณเจออย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็จะว่าระบบลำเอียงไม่ได้เหมือนกัน คงเป็นเพราะภารกิจนี้จำกัดไว้ ว่าเมื่อผู้เล่นได้รับผลตอบแทนมากถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะเจอผีเลเวลสูงหรือภารกิจที่รางวัลเยอะได้ยากมาก
ระบบทำแบบนี้เพื่อรักษาสมดุลรางวัลที่ผู้เล่นจะได้รับในกิจกรรมครั้งนี้หรือ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สู้รีบจบเกมที่กำหนดไว้แล้วว่ารางวัลห้ามเยอะเกินไปดีกว่าหรอกหรือ ทุกคนหาสถานที่แบ่งของกันดีกว่า จากนั้นก็ต่างคนต่างไปทำธุระของตัวเอง
ในระหว่างที่ต่อสู้อย่างรีบร้อนและดุเดือดมาหนึ่งวัน ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็ได้เป็นปราชญ์จอมยุทธ์แล้ว ไปหาซ่งปิงอี่ที่ต้าหลี่ได้แล้ว!
เมื่อได้ยินว่าซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อยซื้อบ้านในเกม ทุกคนก็รู้สึกสนใจมาก แต่พอได้ยินว่าเยี่ยเว่ยหมิงก็ร่วมหุ้นด้วยเหมือนกัน สหายร่วมทีมที่เป็นคนใสๆ พวกนี้ก็ไม่มีความคิดไม่ซื่ออีกแล้ว มีเพียงน้องดาบที่มองเยี่ยเว่ยหมิงแวบหนึ่งอย่างสนใจแล้วพูดกึ่งล้อเล่นว่า “เตียงล้ำค่าที่เจ้าเจอตอนค้นหาสมบัติในห้องหินของตู๋กู ได้ย้ายไปไว้ที่บ้านใหม่หรือยัง”
พอได้ยินว่าเยี่ยเว่ยหมิงยังมีของดีซ่อนเอาไว้ พวกเพื่อนในทีมที่เดิมทีเริ่มเซ็งกับผีที่เจอก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที แต่ละคนเริ่มสืบเรื่องเตียงหินจากน้องดาบด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เยี่ยเว่ยหมิงกลับยักไหล่แบมือ “ที่จริงแล้ว ตอนนี้ข้าเพิ่งตอบรับซานเย่ว์เรื่องร่วมหุ้นก็ได้ยินประกาศระบบว่ามีการเริ่มกิจกรรมทันที ตอนนี้แม้แต่ประตูบ้านใหม่เปิดฝั่งไหนข้าก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่คำแนะนำของเจ้าก็ไม่เลว อีกประเดี๋ยวข้าจะย้ายเตียงหินนั้นไป พอถึงตอนนั้นทุกคนก็ไปดูได้ ข้าจะได้ไม่ต้องคอยอธิบายหลายรอบ”
พวกเขาพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะกันตลอดทางจนถึงจุดพักม้าตรงตีนเขาจงหนาน จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปเมืองเปี้ยนจิง เยี่ยเว่ยหมิงกลับมาย้ายของที่สำนักมือปราบเทพโดยมีซานเย่ว์มาเป็นเพื่อน ส่วนสะพานสวรรค์น้อยก็พาเพื่อนๆ ไปเยี่ยมชมบ้านใหม่
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงนำเตียงหินของตู๋กูออกจากห้องพักของสำนักมือปราบเทพ แล้ววางในห้องนอนของบ้านใหม่ พวกเพื่อนๆ ต่างก็มองค่าสเตตัสของเตียงหินของตู๋กู แล้วเริ่มชมว่าความสามารถในการหาสมบัติของเยี่ยเว่ยหมิงมาแล้ว
สำหรับคำชมที่มาจากเพื่อนๆ เยี่ยเว่ยหมิงรับไว้ทั้งหมดอย่างไม่เกรงใจ
อย่างไรเสีย มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ นี่คือแนวทางชาวยุทธ์ของเยี่ยเว่ยหมิง!
ตอนที่พวกเขากำลังดูค่าสเตตัสของเตียงหินและเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง อินปู้คุยกลับเอ่ยขึ้นว่าเมื่อถึงจุดวิกฤตของการฝึกกำลังภายใน หวังว่าจะได้ยืมใช้เตียงสักครั้ง
สำหรับคำขอเล็กน้อยแค่นี้ เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่คัดค้านอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันรอให้เขาแสดงท่าทีอะไร จู่ๆ กลับมีควันดำกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมาจากเตียง ทั้งยังพุ่งมาหาทุกคนอย่างรวดเร็วด้วย
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นเตียงแล้วขมวดคิ้วก่อน จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ รีบตะโกนเสียงดังว่า “แย่แล้ว ทุกคนรีบหนี!”