ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 409 เมืองต้าหลี่
ตอนที่ 409 เมืองต้าหลี่
ตามกฎการใช้งานอ่างชุมนุมมหาสมบัติ หากจะเปลี่ยนอุปกรณ์คุณภาพสีฟ้าชิ้นหนึ่งให้กลายเป็นอุปกรณ์คุณภาพทองคำ ก็ต้องจ่ายหนึ่งพันเหรียญทอง หากจะเปลี่ยนจากอุปกรณ์คุณภาพทองคำให้เป็นอุปกรณ์ล้ำค่า ก็ต้องจ่ายมากถึงหนึ่งหมื่นเหรียญทอง มูลค่าเทียบเท่าโลงแก้วหลิวหลี!
แต่การใช้อ่างชุมนุมมหาสมบัติมาเพิ่มคุณภาพอุปกรณ์ก็ไม่ใช่การเพิ่มทีละขั้นเสมอไป แต่เป็นการเพิ่มแบบครั้งเดียวเสร็จ
ถ้าอยากเปลี่ยนอุปกรณ์สีฟ้าให้กลายเป็นอาวุธล้ำค่าภายในครั้งเดียว ก็ต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเหรียญทอง
ถึงอย่างไรเสิ่นวั่นซานก็เป็นคนจ่ายเงิน เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่เกรงใจเขาอยู่แล้ว นำอุปกรณ์ที่มีคุณภาพต่ำสุดบนตัวออกมาเพิ่มคุณภาพให้เป็นระดับอุปกรณ์ล้ำค่าเสียเลย
[กำไลสัตว์เลี้ยง (อุปกรณ์ล้ำค่า): อุปกรณ์พิเศษ ใช้จับมอนสเตอร์ที่ไม่ใช่มนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงได้ สัตว์เลี้ยงสามารถช่วยเจ้าของต่อสู้ ทั้งยังฟื้นฟูพลังชีวิต กำลังภายในและกำจัดสถานะผิดปกติได้เร็วโดยการกินยา
ค่าสเตตัสรวมของสัตว์เลี้ยง 10% ความเร็วในการเติบโตเพิ่มขึ้น 10% (รวมทั้งรับโอกาสแปลงค่าประสบกาณ์และค่าตบะ) สัตว์เลี้ยงที่มีค่าความจงรักภักดีเกิน 90% จะจิตใจเชื่อมโยงกับเจ้าของ
จำนวนสัตว์เลี้ยงปัจจุบัน 1/9]
……
นอกประตูใหญ่ร้านประมูลวั่นซาน ตอนที่ซานเย่ว์เห็นค่าสเตตัสของกำไลสัตว์เลี้ยง ทั้งตัวนางก็ตกอยู่ในความตื่นตะลึง “อาหมิง เจ้าทุ่มเทกำลังความคิดเพื่อให้ได้โอกาสใช้งานอ่างชุมนุมมหาสมบัติ ก็เพื่อเพิ่มคุณภาพกำไลที่ใช้เก็บสัตว์เลี้ยงนี่หรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วยิ้มบางๆ แล้วอธิบายเหมือนเป็นเรื่องสมเหตุสมผล “แน่นอน! ในเมื่อข้าใช้ความคิดไปมากขนาดนั้น เวลาจะเพิ่มคุณภาพอุปกรณ์ก็ต้องเพิ่มให้เป็นอุปกรณ์ที่หายากที่สุดสิ…
…บนตัวข้านอกจากกำไลเงินสัตว์เลี้ยงที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ชิ้นที่แย่ที่สุดก็คืออุปกรณ์ทองคำ วันนี้ข้านำโอกาสใช้งานอ่างชุมนุมมหาสมบัติอันล้ำค่าไปใช้เพิ่มคุณภาพให้มันแล้ว ไม่แน่ว่าวันไหนอาจจะเจอชิ้นที่ดีกว่าก็ได้ ถึงตอนนั้นค่อยคิดอีกทีว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน…
…มีเพียงกำไลที่ใช้พกสัตว์เลี้ยงวงนี้ที่จนกระทั่งปัจจุบันข้าก็ยังหาของที่ดีกว่าทดแทนไม่ได้…
…ทว่าการมีอยู่ของเจ้าแดง บางเวลาก็สำคัญกับข้ามาก อุปกรณ์ทองคำธรรมดาชิ้นหนึ่งไม่อาจเทียบได้”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่แล้วพูดต่อว่า “ดังนั้น เพื่อให้เจ้าแดงได้แสดงความสามารถมากขึ้น รวมทั้งสะสมสัตว์เลี้ยงตัวอื่นอีกในภายหลัง ผิดตรงไหนที่ข้าเพิ่มคุณภาพกำไลเงินสัตว์เลี้ยงให้เป็นอุปกรณ์ล้ำค่า”
ที่จริงแล้ว อุปกรณ์ล้ำค่าแม้จะแพงมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์หรือเครื่องประดับ ก็มีโอกาสค่อนข้างสูงที่มันจะปรากฏออกมา
อย่างน้อยเยี่ยเว่ยหมิงที่เคยชินกับการฆ่า BOSS ที่เลเวลสูงกว่าตัวเองก็คิดแบบนี้
ไม่ว่าจะขาดของอะไร แค่ฆ่า BOSS เลเวลสูงเยอะๆ หน่อยเดี๋ยวก็ได้แล้ว
และโอกาสใช้งานอ่างชุมนุมมหาสมบัติ ในเมื่อเลือกเพิ่มคุณภาพอุปกรณ์ได้ แน่นอนว่าต้องเพิ่มให้เป็นอุปกรณ์ที่หายากที่สุด
หลังจากฟังเยี่ยเว่ยหมิงวิเคราะห์แล้ว ซานเย่ว์ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าที่เยี่ยเว่ยหมิงพูดมีเหตุผล
“ตอนนี้จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาออกเดินทางของพวกเราแล้วเช่นกัน ไปหาซ่งปิงอี่ในตำนานที่ต้าหลี่” พอพูดถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยกมุมปากเผยรอยยิ้มแห่งการเฝ้าคอย “มังกรผยองได้สำนึกเป็นทักษะที่ข้ารอมานานมากแล้วจริงๆ ในฐานะที่เป็นหัวใจสำคัญของสุดยอดวิชาอันโด่งดังในยุทธภพ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ไม่รู้เหมือนกันว่ากระบวนท่านี้จะปลิ้นปล้อนกว่าท่าอื่นตรงไหนกันแน่…แค่กๆ จะยอดเยี่ยมตรงไหนกันแน่”
“เหอะๆ…” พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพึมพำคนเดียว ซานเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ ก็หลุดขำจนร่างงามสั่นเล็กน้อย แล้วกล่าวพร้อมใบหน้ายิ้มเหมือนดอกไม้บาน “เจ้านี่นะ นำ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ที่สง่าผ่าเผยมาใช้ได้ปลิ้นปล้อนสุดๆ ถ้าให้ผู้อาวุโสหงได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ จะไม่ขำจนหนวดเบี้ยวเลยหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงพูดตาปริบๆ เหมือนไร้เดียงสา “ข้าก็แค่ใช้วิธีการของตัวเองแสดงประสิทธิภาพของวิชาฝ่ามือให้เหนือกว่าทฤษฎีก็เท่านั้นเอง มีปัญหาตรงไหนหรือ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ทุกคนจะเรียกเขาว่าประมุขพรรคหง แต่ตอนนี้เขาก็อายุประมาณสี่สิบห้าสิบแล้ว ไม่มีหนวด เหมือนจะไม่มีเคราด้วยมั้ง”
“ไม่มี ไม่มี! เจ้าเก่งที่สุด พอใจแล้วใช่ไหม”
ขณะที่พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะ ชายหญิงคู่นี้ก็เดินไปทางจุดพักม้าของหังโจวอย่างไม่รีบร้อย แม้ระหว่างทางจะมีผู้เล่นมากมายทำสายตารำคาญคิดว่าพวกเขากำลังจีบกัน แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็สู้ไม่ชนะข้า!
สาเหตุที่เยี่ยเว่ยหมิงพาซานเย่ว์ไปต้าหลี่ด้วย สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น
เป็นเพราะในกิจกรรมวันสารทจีนครั้งนี้ ในสำนักมือปราบเทพมีขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ทั้งหมดสองคน!
นอกจากผู้ยอดเยี่ยมในแนวทางกระบี่ที่มีจิตใจงดงามไร้ความเห็นแก่ตัวอย่างเยี่ยเว่ยหมิง น้องซานเย่ว์ที่น่ารักเชื่อฟังและคลั่งไคล้การทำภารกิจก็อยู่ในกิจกรรมนี้แล้วเช่นกัน นางดันค่าประสบการณ์ที่เดิมทีก็สูงอยู่แล้วให้ถึงห้าพัน ถึงขั้นได้รับฉายาขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ก่อนก่อนเยี่ยเว่ยหมิง
ผู้อาวุโสเผิงที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับซ่งปิงอี่บอกไว้ว่าถ้าอยากรับภารกิจจากซ่งปิงอี่ เงื่อนไขในการปลดล็อคภารกิจก็คือต้องกลายเป็นปราชญ์จอมยุทธ์ก่อน
ไม่ต้องพูดถึงว่าเยี่ยเว่ยหมิงมีหงชีกงคอยชี้แนะ แม้แต่ฉางซิงอวี่ก็รู้เช่นกันว่าที่ซ่งปิงอี่มีวิชาทวนที่เหมาะสมกับเขามาก
ความหมายที่จะสื่อให้รู้ก็คือ เขามีโอกาสเรียนรู้วิทยายุทธ์แน่นอน!
เช่นนั้นหากวิเคราะห์ตามหลักเหตุผล คนอื่นได้รับฉายาปราชญ์จอมยุทธ์แล้ว ก็จะมีโอกาสเรียนรู้วิทยายุทธ์ที่ดีจากซ่งปิงอี่เหมือนกันใช่หรือเปล่า
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย
……
ต้าหลี่ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของภาคกลาง สภาพแวดล้อมและประเพณีแตกต่างกับภาคกลางมาก แต่ในเกมที่มีฉากหลังเป็นยุทธภพอย่าง ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ นอกจากฉากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมหรือการแต่งกาย กลับไม่มีอะไรแตกต่างจากภาคกลาง
ถึงอย่างไรก็เป็นเกมออนไลน์ที่มีฉากหลังเป็นยุทธภพ
ในเมื่อเป็นเกม เช่นนั้นจุดประสงค์ก็เพื่อบริการผู้เล่น การสร้างสถานการณ์ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงแม้จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าขัดแย้งกับประสบการณ์การเล่นเกมของผู้เล่น เช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่า ‘สมจริง’ ก็จะต้องหลีกทางให้ประสบการณ์การเล่นเกม
ถ้าสร้างโลกนี้ขึ้นมาโดยอิงตามสภาพแวดล้อมในประวัติศาสตร์จริงๆ NPC ทุกพื้นที่ก็จะพูดภาษาถิ่น เป็นฉากที่แปลกขนาดไหน เจ้าก็ลองคิดดูเอาเองแล้วกัน…
ก่อนขึ้นรถม้า “ลมแฮงแท้น้อ (ภาษาถิ่นมณฑลซานตง)!”
หลังจากลงม้า “ว่าพรือ (ถาษาถิ่นมณฑลส่านซี)”
เมื่อย้ายไปที่อีกแห่งหนึ่ง “ยะหยังอยู่ (ภาษาถิ่นมณฑลเหอหนาน)”
เมื่อย้ายที่อีกรอบ เอ่ยถามขณะมองหิมะปลิวว่อนเต็มฟ้า “ที่นี่คงจะเป็นภาคเหนือใช่ไหม”
“บ่แม่น! (ภาษาถิ่นตงเป่ย)”
….
แบบนี้ใครจะไปรับไหว
ความรับผิดชอบอย่างสูงที่ทางเกมออฟฟิเชียลมีต่อผู้เล่น (หลักๆ คือขี้เกียจ) นอกจากสถานที่เฉพาะกับ NPC เฉพาะแล้ว NPC ในเกมก็กลายเป็นคนงานทั่วไปที่พูดภาษาทางการโดยสมบูรณ์
เหมือนสำนักชิงเฉิงที่อยู่ในแคว้นสู่ คนที่พูดภาษาถิ่นของมณฑลเสฉวนจริงๆ มีเพียงเจ้าสำนักอวี๋ชางไห่เท่านั้น นอกจากเขาแล้ว แม้แต่สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงก็พูดภาษาทางการ
สถานการณ์ทางฝั่งต้าหลี่ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ซานเย่ว์กับเยี่ยเว่ยหมิงแยกกันมาถึงตลาดฝั่งตะวันตก ตลอดทางถามคนต่อเนื่องสิบกว่าคน ทุกคนตอบนางด้วยสำเนียงทางการชัดแจ๋วมากว่าตัวเองไม่ใช่ซ่งปิงอี่ และไม่รู้ด้วยว่าซ่งปิงอี่เป็นใคร
อีกฝ่ายพูดชัดเจนแล้ว ซานเย่ว์ก็มองออกเช่นกันว่าพวกเขาไม่ได้โกหก แต่จนใจที่ทำได้เพียงหาเป้าหมายเพื่อถามต่อไป
“เจ้าถามแบบนี้ไม่สำเร็จหรอก” ตอนนี้เอง เสียงอ่อนโยนก็ดังมาจากข้างหลังนางไม่ไกล ตอนที่เสียงพูดเงียบลง หนุ่มน้อยหน้าตางดงามในชุดคลุมยาวดูมีการศึกษาคนหนึ่งก็ปรากฏตัวข้างกายซานเย่ว์
พอนางหันกลับไปมอง ก็พบว่าผู้ที่มาคือเยี่ยเว่ยหมิงที่สวมชุดคลุมป่านหลาน
สาเหตุที่วันนี้เยี่ยเว่ยหมิงเผยชุดนี้ให้คนนอกเห็น แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อโอ้อวด แต่เป็นเพราะเมื่อใส่ชุดขุนนางอยู่นอกภาคกลาง นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังอาจจะสร้างความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นอีกด้วย
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงโผล่มากะทันหัน ซานเย่ว์ก็ตาเป็นประกายทันที รีบถามว่า “เจ้าเจอตัวซ่งปิงอี่แล้วหรือ”