ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 417 ทักษะสังเกตสีหน้าท่าทางเวอร์ชัน 2.0
ตอนที่ 417 ทักษะสังเกตสีหน้าท่าทางเวอร์ชัน 2.0
[กรรไกรปากจระเข้: ปลดล็อกการใช้งานแล้วจะเรียกเย่ว์เหล่าซาน ลูกศิษย์จอมเอาเปรียบของคุณมาช่วยต่อสู้ได้ เย่ว์เหล่าซานที่อุปกรณ์ชิ้นนี้เรียกออกมาจะอยู่ในเลเวลเจ็ดสิบ สถานะทำภารกิจ จำนวนครั้งการใช้ 3/3]
ของเล่นชิ้นนี้จัดเป็นประเภทเดียวกับประกาศิตกระบี่บุปผาโรยและประกาศิตเหล็กนิลของเยี่ยเว่ยหมิง BOSS ที่เรียกออกมาจะเป็นร่างแท้ของ BOSS โหมดต่อสู้ แม้เลเวลจะแตกต่างกันมาก แต่ก็อยู่ในโหมดเดียวกัน
ไม่ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนเจ้าแดง ค่าพลังชีวิตถูกปรับใหม่จนลดลงมากในชั่วพริบตาเดียว
สรุปก็คือ นี่คืออุปกรณ์ที่ดีมากชิ้นหนึ่ง ถ้าใช้จนเกิดประโยชน์ได้ จะดรอปอาวุธล้ำค่าสักชิ้นสองชิ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
ในสายตาของเยี่ยเว่ยหมิง เย่ว์เหล่าซานคนนี้เป็นลูกมือที่ได้มาตรฐานจริงๆ
แม้พลังของเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่ก็เขาก็ใช้ขู่ได้!
เมื่อสู้กันขึ้นมาก็เหมือนเป็นสุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์ตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะเจอศัตรูอย่างไรก็กล้าพุ่งเข้าใส่ ถ้าปล่อยออกไประหว่างต่อสู้ ก็จะเป็นสุดยอดสัตว์อสูรซัมม่อนที่ตอนบุกกลายเป็นตัวแทงก์ ตอนถอยก็สกัดหลังให้ได้แน่นอน
เมื่อเทียบกับระดับความยากตอนที่ซานเย่ว์ท้าสู้เย่ว์เหล่าซาน เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าของเล่นชิ้นนี้นับเป็นรางวัลภารกิจระดับสูงสุดที่สอดคล้องกับภารกิจนี้ได้เลย
ถ้าคิดจะรีดไถไอเทมมากกว่านี้อีก อย่าว่าแต่เย่ว์เหล่าซานจะไม่ตกลง กติกาของระบบก็ไม่อนุญาตเช่นกัน
นี่แค่เบี่ยงตัวเบาๆ ก็ถือว่าได้หลีกเส้นทางให้เย่ว์เหล่าซานแล้ว ปล่อยให้เจ้าทึ่มคนนี้ถอยไป
ขณะที่คืนของสามอย่างให้เยี่ยเว่ยหมิง ซานเย่ว์ก็อดถามอย่างประหลาดใจไม่ได้ “อาหมิง นึกไม่ถึงว่าตอนนี้วิชาตัวเบาของเจ้าจะร้ายกาจขนาดนี้แล้ว ตอนไม่มี ‘รองเท้าเจ้าลมกรด’ เสริมค่าสเตตัส ก็ยังแสดงความเร็วออกมาได้น่ากลัวมากอยู่ดี”
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ สบายตากวาดมองแถบค่าสเตตัสของตัวเองแวบหนึ่ง ความเร็วที่ซานเย่ว์พูดถึง นอกจากมาจากอุปกรณ์และทักษะของเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งผลตอบแทนมหาศาลที่ได้มาระหว่างทำภารกิจเทศกาลสารทจีน!
ตำราลับตระหนักรู้หลายเล่มที่เขาได้ตอนช่วงกิจกรรม เล่มไหนที่ควรใช้ก็ใช้ไปแล้ว เล่มไหนที่ควรจะใช้เรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวก็ใช้ไปแล้ว ค่าประสบการณ์ของทักษะต่างๆ ย่อมเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง เมื่อใช้ค่าตบะจำนวนมากที่ได้ระหว่างกิจกรรมชดเชยส่วนที่ขาดอีก ในที่สุดก็ทำให้วิชากำลังภายในระดับกลาง ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ ที่เขาค้างอยู่เลเวลเก้ามานานเพิ่มขึ้นถึงเลเวลสิบซึ่งเป็นระดับสมบูรณ์แล้ว!
[คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น (ระดับกลาง)]
เลเวล: 10
ค่าประสบการณ์: …
วิชาฝึกปราณดั้งเดิมของลัทธิเต๋า มีผลพัฒนาสติปัญญา ล้างไขกระดูก
พลังชีวิตสูงสุด +3500
กำลังภายใน +3500
ความแข็งแกร่ง +230
พละกำลัง +230
ท่าร่าง +230
ความว่องไว +230
สติปัญญา +24
ค่าตระหนักรู้ +12
เอฟเฟ็กต์พิเศษ: หลอมกระดูก
หลอมกระดูก: ตอนฝึกกำลังภายใน สติปัญญาจะเพิ่มขึ้น 50% ตอนใช้ค่าตบะหรือไอเทมเพิ่มค่าประสบการณ์กำลังภายใน จะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 20%!
……
บนตัวเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ นอกจากกำลังภายในที่ถึงระดับสมบูรณ์แล้วอย่าง ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ กับ ‘เคล็ดวิชาจักรวาล’ ก็ไม่มีกำลังภายในวิชาที่สามอีก ตอนนี้จึงยังตรวจสอบไม่ได้ว่าหลังจาก ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ ถึงระดับสมบูรณ์แล้ว เอฟเฟ็กต์พิเศษหลอมกระดูกจะยอดเยี่ยมหรือไม่ แต่หลังจากกำลังภายในวิชานี้เลเวลเต็ม ค่าสเตตัสโดยรวมของเขาก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก
เมื่อรวมกับค่าสเตตัสโดยรวมที่เพิ่มขึ้นหลังจากเพิ่มเลเวลต่อเนื่อง ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ค่าสเตตัสท่าร่างของเขาแม้จะแข็งแกร่งไม่เท่าค่าสเตตัสที่เพิ่มขึ้นจากการใส่ ‘รองเท้าเจ้าลมกรด’ แต่ก็ยังเหนือกว่าพวกซานเย่ว์อยู่มากแน่นอน
ก่อนหน้านี้เวลาเดินทางกับซานเย่ว์ เขาก็ผ่อนความเร็วให้เท่านางมาตลอด แต่พอลองปะทุความเร็วออกมาสุดกำลัง ก็ถึงกับทำให้นางตกตะลึงอีกครั้ง
ความอวดเก่งนี้ นับว่าอวดได้อย่างผ่านมาตรฐาน
หลังจากใส่ ‘รองเท้าเจ้าลมกรด’ กับ ‘กำไลสัตว์เลี้ยง’ ที่ได้คืนจากซานเย่ว์ไว้บนตัวอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ก็เดินทางต่อไปยังจุดลึกของหุบเขาว่านเจี๋ย ขณะที่เดินทางไป เยี่ยเว่ยหมิงก็อดแขวะไม่ได้ว่า “ก่อนที่จะเข้ามาที่นี่ ข้าก็นึกว่าต้องแฝงตัวเข้ามาแบบลับๆ ทั้งยังเป็นภารกิจที่ต้องใช้เทคนิคสูงอย่างการสืบข่าว…
…พอมาดูตอนนี้ นี่มันเป็นภารกิจตะลุยด่านฆ่า BOSS ต่อเนื่องเท่านั้น ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยจริงๆ!…
…ตอนแรกก็อวิ๋นจงเฮ่อ แล้วก็เย่ว์เหล่าซาน ต่อไปถ้าไม่มีอะไรผิดคาด ก็คงจะเป็นอันดับสองในสี่คนโฉด ถ้าเทียบกับเจ้าแห้งและเจ้าอ้วนก่อนหน้านี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าโฉดคนที่สองจะหน้าตาแปลกใหม่อย่างไร”
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วพยักหน้า จากนั้นถามยิ้มๆ “ที่จริง แบบนี้ก็สอดคล้องกับการรอคอยของผู้เล่นไม่ใช่เหรอ”
ซานเย่ว์พูดถูก เมื่อเทียบกับภารกิจประเภทแฝงตัวที่ทั้งซับซ้อนทั้งเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ผู้เล่นส่วนใหญ่ชอบปะทะกับ BOSS ซึ่งๆ หน้ามากกว่า
อย่างไรเสีย ถ้าฆ่า BOSS ก็ยังมีรางวัลดรอปจาก BOSS ไม่ใช่หรือ
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่ที่ข้าสะเทือนใจ ก็แค่เพราะรู้สึกว่าพวกเราก่อนหน้านี้พวกเราติดการตั้งค่า ‘แฝงตัว’ เลยต่อสู้แบบระมัดระวังเกินไป”
“ถ้าเป็นโหมดตะลุยด่านธรรมดา ขอเพียงไม่ยืดเยื้อเวลาต่อสู้ให้นานเกินไป ต่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมารบกวน…
…อีกประเดี๋ยวถ้าเจอ BOSS คนถัดไป ก็ต่อสู้ให้เต็มที่ได้เลย พยายามรีบสู้รีบจบให้เร็วที่สุด”
ซานเย่ว์พยักหน้าอีกครั้ง “เชื่อฟังเจ้า”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทางเข้าหุบเขาว่านเจี๋ยยาวขนาดไหนกันแน่ หลังจากเดินไปได้สักระยะหนึ่ง ตรงหน้าทั้งสองก็ปรากฏบริเวณที่กว้างขวางเหมือนตอนเจอกับเย่ว์เหล่าซานอีกครั้ง
ทั้งสองเพิ่งเห็นและก้าวเข้าสู่พื้นที่กว้างบริเวณนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ น้ำเสียงเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ แม้กำลังหัวเราะอยู่ แต่ในเสียงหัวเราะนั้นกลับเผยความรู้สึกทุกข์ทนออกมารางๆ
ราวกับผีสาวล่าชีพ ทำให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว
เมื่อเสียงหัวเราะใกล้เข้ามา สตรีชุดแดงคนหนึ่งก็ลอยมาเหยียบตรงพื้นที่ว่างตรงหน้าทั้งสองคน หลังจากวาดมองบนตัวทั้งสองแล้ว ยังใช้นิ้วชี้ทำท่าทางบอกใบ้ให้เงียบๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าสองคนอย่าเอะอะโวยวาย อย่าทำให้เด็กดีของข้าตกใจเด็ดขาด”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ไม่น่าเชื่อว่าสตรีชุดแดงวัยกลางคนผู้นี้จะไม่สนใจพวกเขาอีก นางหันตัวไปแล้วเริ่มหยอกทารกในอ้อมกอด พร้อมปลอบไม่หยุดว่า “เด็กดี ไม่ร้องนะจ๊ะ” ดูแล้วเหมือนแม่ที่กำลังโอ๋ลูกน้อยมาก
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับพบว่าสายตาที่ผู้หญิงคนนี้มองเด็กสื่อได้หลากหลายอารมณ์มาก เป็นสายตาที่แปลก แต่ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน เขาเองก็บอกไม่ถูก
ตอนนี้จู่ๆ ก็เห็นช่องทีมมีการเคลื่อนไหว พอกดเปิดก็เห็นข้อความของซานเย่ว์ส่งมา [ผู้หญิงคนนี้แปลกมาก ตามที่ทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ของข้าตัดสิน คำพูดของนางเดี๋ยวก็จริงเดี๋ยวก็โกหก ทั้งจริงทั้งโกหกปนกัน ไม่มีทางได้รับคำตอบที่ถูกต้องเลย]
[อีกทั้งสายตาที่นางมองเด็ก เดี๋ยวก็อ่อนโยนสุดๆ เผยเห็นความอ่อนโยนของคนเป็นแม่ อีกประเดี๋ยวก็โหดร้าย เผยเจตนาสังหารรางๆ ไม่รู้เหมือนกันว่านางรักเด็กทารกที่อยู่ในอ้อมกอด หรือคิดจะฆ่าเด็กกันแน่…ตั้งแต่ข้าใช้ทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ มา ข้าก็เพิ่งเคยเจอคนประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก]
ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะข่มทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ของซานเย่ว์ได้
สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสองท่ามกลางสี่คนโฉดจริงๆ ดูท่าแล้วเหมือนจะดูถูกไม่ได้!
แต่เมื่อเทียบกับจุดนี้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงยังจับอีกประเด็นสำคัญในคำพูดของซานเย่ว์ได้ [เมื่อครูเจ้าบอกว่าเห็นความดุร้ายและเจตนาสังหารในดวงตาผู้หญิงคนนั้นหรือ]
จะว่าไปแล้ว ทักษะสังเกตสีหน้าท่าทางของซานเย่ว์สินได้แค่คำพูดของอีกฝ่ายไม่ใช่หรือ
เพิ่มฟังก์ชันใหม่ตั้งแต่เมื่อไร
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วยิ้มบางๆ อธิบายอย่างไม่ปิดบัง [ที่จริงล้วนเป็นผลงานของผู้อาวุโสตู๋กูฉิวไป้ คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าเข้าร่วมการท้าสู้เขา ถึงจะแพ้แล้ว แต่ระบบก็ยังชี้แนะข้าตอนที่สบตากับเขา จากนั้นตอนที่เขามอบปราณกระบี่ให้พวกเราทุกคน ข้าก็พบว่าปราณกระบี่นั่นมีผลอัปเกรดวิชา ไม่น่าเชื่อว่าจะเพิ่มไปที่ทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’]
หลังจากชะงักไปครู่เดียวเพื่อให้เวลาเยี่ยเว่ยหมิงตอบสนอง นางก็เอ่ยต่อว่า [ที่จริงหลังจากทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ของข้าอัปเกรดแล้ว ด้านการสังเกตก็พัฒนาขึ้นชัดเจนมาก อย่างน้อยๆ สิ่งที่เมื่อก่อนมองไม่ออก ตอนนี้ก็มองออกแล้ว แต่ข้อมูลพวกนี้ เมื่อก่อนเปิดเผยแค่นิดหน่อย ไม่ได้บอกชัดเจน ต้องให้ข้าวิเคราะห์เอาเอง]
[หลังจากอัปเกรดทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ แล้ว จุดที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการสังเกตความเคลื่อนไหวและมองทะลุจุดอ่อน สองรายการนี้พัฒนาขึ้นนิดหน่อย คงได้ผลพอๆ กับ ‘เงาของเทพกระบี่’ เวอร์ชั่นอ่อนแอของเจ้ากระมัง]
[เป็นเพราะความสามารถนี้แหละ ที่ทำให้คนไม่ถนัดต่อสู้อย่างข้ารับมือได้ดีที่สุดตามสถานการณ์ต่อสู้จริง ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ต่อให้มีอุปกรณ์กับเจ้าแดงที่เข้าให้มาคอยช่วย ข้าก็จัดการเย่ว์เหล่าซานนั่นไม่ได้เร็วขนาดนี้อยู่ดี]
ที่จริงแล้ว ถ้านางนำปราณกระบี่มาอัปเกรดกำลังภายในหรือเคล็ดฝ่ามือ ประกอบกับใช้ค่าตบะดันให้ถึงเลเวลสิบซึ่งเป็นระดับสมบูรณ์ อาจจะเพิ่มพลังต่อสู้ได้เร็วกว่าตอนนี้มากก็ได้
แต่เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา เพราะเขารู้ว่าการตัดสินใจเลือกของซานเย่ว์ไม่มีผิดถูก
ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ก็จะอัปเกรดทักษะสำนักก่อนทักษะยุทธ์เช่นกัน
อีกทั้งถ้าวิเคราะห์ในระยะยาว หลังจากอัปเกรดทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ แล้ว ผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นก็มีศักยภาพแฝงมากกว่า
ตอนที่ทั้งสองคุยกันในช่องทีม จู่ๆ กลับได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตะคอก “เยี่ยเอ้อร์เหนียง รีบส่งเด็กคืนมาให้ข้า!”
พอพวกเขามองไปตามเสียงก็เห็นชายเครายาวถือกระบี่ล้ำค่าคนหนึ่งกระโดดเข้ามาในฉากแล้ว
เขาพูดพลางชักกระบี่ออกจากฝักเสียงดัง ชวิ้ง! คมกระบี่ชี้สตรีชุดแดงคนนั้นอยู่ไกลๆ
พอเยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้นก็เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา
การท้าสู้ของด่านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความช่วยเหลือจากภายนอก?
ทว่ายังไม่ทันรอให้ทั้งสองดีใจ ก็ได้ยินสตรีชุดแดงที่ถูกเรียกว่าเยี่ยเอ้อร์เหนียงบอกว่า “จั่วจื่อมู่ อาศัยฝีมืออย่างเจ้า คิดจะเอาเด็กไปอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
ชายเครายาวได้ยินแล้วห่อเหี่ยวทันที กล่าวด้วยสีหน้าอ้อนวอนว่า “เยี่ยเอ้อร์เหนียง ข้าขอร้องล่ะ คืนเด็กให้ข้าเถอะ ขอเพียงเจ้าส่งซานซานคืนให้ข้า ข้าจะหาเด็กสักสามคนห้าคนให้มาเล่นกับเจ้าเป็นอย่างไร”
เพื่อให้เยี่ยเอ้อร์เหนียงปล่อยเด็ก จั่วจื่อมู่คนนี้ถึงขั้นสัญญาว่าจะหาเด็กมาแลก แค่นี้ก็มองออกแล้วว่าเจ้าหมอนี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน!
เยี่ยเอ้อร์เหนียงได้ยินแล้วกลับแสยะยิ้ม “อยากได้ลูกชายของเจ้าคืนหรือ ก็ได้…” ขณะที่พูด สายตาก็ชำเลืองไปที่ซานเย่ว์ “เจ้าไปควักดวงตาของแม่นางคนนั้นมาให้ข้าก่อนสิ แล้วข้าจะคืนเด็กให้เจ้า”
พอจั่วจื่อมู่ได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนปลายกระบี่ทันที จ้องไปทางเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ด้วยสายตาเยียบเย็น
แย่แล้ว!
นี่มันความช่วยเหลือจากภายนอกอะไรกัน นี่มันแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งของศัตรูชัดๆ!