ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 420 ลงนามเอกสาร
ตอนที่ 420 ลงนามเอกสาร
มารดาเจ้าเถอะ ใครเป็นห่วงพวกเจ้ากัน!
จั่วจื่อมู่สีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ “แล้วถ้าไม่ลงนามล่ะ”
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างใจเย็นมาก “ข้าก็จะนำเอกสารฉบับนี้กับลูกชายของเจ้าส่งให้จักรพรรดิแคว้นต้าหลี่พร้อมกันเลย ให้เขาเปิดโปงเนื้อหาในเอกสาร แล้วถือโอกาสส่งเจ้าหน้าที่ให้นำตัวลูกชายกลับมาให้เจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์”
พอพูดถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ก็หันไปบอกซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกัน “ใช่แล้วซานเย่ว์ อีกประเดี๋ยวอย่าลืมเติมอีกรายการหนึ่งที่ด้านหลังเอกสารนะ เขียนว่า ‘แม้ตัวตายขอให้ชื่อยังอยู่ ดีกว่าตัวอยู่แต่ชื่อเสียงเสื่อมเสีย! เจ้าสำนักกระบี่อู๋เลี่ยงสาขาซ้ายจั่วจื่อมู่ แม้เป็นฝ่ายเสนอเงื่อนไขว่าจะทำร้ายเด็กบริสุทธิ์และหญิงสาวเพื่อแลกกับลูกชายตัวเอง แต่กลับไม่ยอมเสียชื่อเสียงเพื่อลูกชาย ยืนกรานปฏิเสธที่จะลงนามบนเอกสารฉบับนี้ และ…’”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!”
จนกระทั่งตอนนี้ จั่วจื่อมู่เพิ่งจะรู้ว่าขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลระดับไหน หลังจากกำหมัดแน่นสองข้างแล้วปล่อยหมัดตกลงอีกอย่างไร้เรี่ยวแรง สุดท้ายเขาก็เลิกต่อต้านแล้ว ทำท่าเหมือนปล่อยให้ฆ่าแกงได้ามอำเภอใจ กล่าวอย่างไร้ความสามารถว่า “ข้าลงนามก็ได้ พอใจหรือยัง”
ในที่สุดจั่วจื่อมู่ที่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนแล้วก็ไม่ลังเลอีก หลังจากแสดงท่าทีแล้ว ก็ใช้นิ้วมือขวาลูบบนคมกระบี่ เลือดสดหยดลงมาจากง่ามนิ้วทันที จากนั้นเขาก็ใช้เลือดสดของตัวเองลงชื่อของตัวเองที่ท้ายเอกสาร พร้อมถือโอกาสประทับรอยมือ
จากนั้น เจ้าสำนักจั่วท่านนี้ก็ส่งเอกสารที่ลงนามแล้วคืนให้ซานเย่ว์อีกครั้งด้วยสีหน้าปวดร้าวและจนใจ
ในฐานะที่เป็นคนต่ำทรามคนหนึ่ง จั่วจื่อมู่ย่อมจินตนาการออกอยู่แล้วว่าเมื่อเอกสารฉบับนี้อยู่ในมือเยี่ยเว่ยหมิงแล้วอีกฝ่ายจะใช้งานมันอย่างน่าทึ่งและเหนือความคาดหมายอย่างไร
หลังจากเขาส่งเอกสารที่ลงนามแล้วคืนไป ก็เท่ากับว่าเขาได้นำชื่อเสียงและฐานะในยุทธภพรวมทั้งชีวิตของคนในครอบครัวส่งไปให้เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ ปล่อยให้พวกเขาหยิบฉวยตามอำเภอใจแล้ว!
ส่วนเรื่องเบี้ยวสัญญาอะไรนั่น เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด ตอนนี้เขาหวังว่าจะป้อนให้หมาป่าหิวโหยสองตัวตรงหน้านี้อิ่มก่อน พวกเขาจะได้ไม่ถึงขั้นนำเอกสารที่ทำลายฐานะและชื่อเสียงของเขาไปประกาศให้ทุกคนรู้
เมื่อเทียบกับจั่วซานซานที่มาพร้อมความยุ่งยากต่างๆ นานา ถึงขั้นว่าถ้าจัดการไม่ดีก็จะส่งผลกระทบด้านลบต่อชื่อเสียงในยุทธภพของเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ เอกสารฉบับนี้ต่างหากที่เป็นหลักประกันอันสมบูรณ์แบบที่จะบีบให้จั่วจื่อมู่เสียทรัพย์แต่โดยดี!
อย่างไรเสีย การนำลูกของอีกฝ่ายมาข่มขู่ ไม่ว่าจะนำเรื่องนี้ไปพูดที่ไหนก็ฟังดูไม่ดีทั้งนั้น ต่อให้ก่อนหน้านี้จั่วจื่อมู่จะทำตัวแย่อย่างไร แต่ถ้าพวกเขาทำอย่างนั้นแล้ว ในสายตาของคนอื่นในยุทธภพ พวกเขาก็เหมือนคนที่วิ่งได้ห้าสิบก้าวแต่หัวเราะเยาะคนวิ่งได้ร้อยก้าวอยู่ดี ไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไร
แต่ตอนนี้ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนแคว้นต้าหลี่ พวกเยี่ยเว่ยหมิงจึงเก็บหลักฐานไว้ฉบับหนึ่งเป็นสิ่งที่วีรบุรุษและปราชญ์จอมยุทธ์พึงกระทำ!
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ จั่วจื่อมู่ไม่กล้าโวยวายเรื่องนี้แน่นอน ถึงขั้นว่าตอนที่นำของดีมาแลกเอกสารคืนไป ก็ต้องทำอย่างระมัดระวังด้วย
เพราะหากเรื่องนี้แดงขึ้นมาเมื่อไร คนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงก็จะมีเพียงจั่วจื่อมู่คนเดียว ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์กลับวางตัวเองไว้บนจุดสูงสุดของคุณธรรม คอยรับคำชื่นชมของชาวยุทธ์ได้เลย
หลังจากแน่ใจว่าซานเย่ว์เก็บเอกสารเข้ากระเป๋าแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้คืนจั่วซานซานให้จั่วจื่อมู่อย่างไม่รีบร้อน พร้อมไม่ลืมเตือนว่า “พวกเราสองคนจะอยู่ที่ต้าหลี่สักระยะ ประมาณสามวัน หากเจ้าสำนักจั่วมีธุระอะไรต้องการจะติดต่อพวกเรา ก็ไปหาจักรพรรดิต้วนเจิ้งหมิงที่พระราชวังต้าหลี่ได้…
…ส่วนเอกสารในมือพวกเราฉบับนี้ เจ้าสำนักจั่วก็ไม่ต้องกังวลเช่นกัน ช่วงที่พวกเราสองคนอยู่ต้าหลี่ จะเก็บรักษาให้เหมาะสม ต่อให้พวกเราออกจากที่นี่ไปแล้ว ก็จะหาผู้ที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งสักคนมาเก็บรักษาแทน ไม่ปล่อยให้แพร่งพรายออกไปง่ายๆ เด็ดขาด”
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเช่นนี้ ตอนที่จั่วจื่อมู่สงบใจลงเล็กน้อย หัวสมองก็เริ่มคิดอะไรได้ว่องไวขึ้นแล้ว
‘คนมีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง’ ที่เยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึง หมายถึงจักรพรรดิแคว้นต้าหลี่ต้วนเจิ้งหมิงหรือไม่
หากเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเขาก็พอจะพิจารณาได้ว่าจะไม่รีบนำเอกสารกลับมา รอให้หมาป่าหิวโหยสองตัวนี้ออกจากต้าหลี่ก่อน แล้วค่อยไปเจรจาเงื่อนไขกับต้วนเจิ้งหมิง ต่อให้สำนักกระบี่อู๋เลี่ยงต้องไปขอพึ่งพาราชวงศ์ แต่ก็ยังดีกว่าให้ตัวเองนำของล้ำค่าออกมาเพื่อจบเรื่องนี้
อย่างไรเสีย ถ้าให้ทั้งสำนักชำระหนี้ด้วยกัน ก็ทำให้จั่วจื่อมู่ควักเนื้อตัวเองน้อยลง
จั่วจื่อมู่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีการนี้เป็นทางออกที่ดี
ทว่าเขายังไม่ทันคิดให้สมบูรณ์แบบขึ้นไปอีกขั้น ก็ได้ยินเสียงเยี่ยเว่ยหมิงพึมพำกับตัวเองต่อไปว่า “ข้าจำได้ว่าในเมืองต้าหลี่มีนักเล่านิทานอยู่สิบกว่าคน นิสัยพวกเขาเหมือนจะไม่เลวเลย จะเลือกใครดีนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ จั่วจื่อมู่ก็รู้สึกเหมือนมีเลือดออกในสมอง อยู่พักหนึ่ง เท้ายืนทรงตัวไม่ได้ แทบจะล้มลงตรงนั้น ถึงขั้นว่าแขนที่อุ้มลูกชายอยู่กอดรัดแน่นขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว ทำเอาจั่วซานซานเจ็บจนเริ่มร้องไห้
จั่วจื่อมู่ที่ตกใจเสียงเด็กร้องรีบคลายมืออีกครั้งแล้วกล่าวรับประกันกับเยี่ยเว่ยหมิงว่า “วันนี้ขอบคุณปราชญ์จอมยุทธ์ทั้งสองที่ยื่นมือช่วย จั่วจื่อมู่จะรีบนำของขวัญมาตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงภายในสามวันแน่นอน!…
…ดูท่าแล้วทั้งสองท่านคงจะมีธุระสำคัญ ผู้แซ่จั่วไม่รบกวนธุระของท่านทั้งสองแล้ว ขอตัวขอรับ!”
พอพูดจบ จั่วจื่อมู่ก็พาลูกชายกึ่งเดินกึ่งหนีออกไปจากลานกว้างของป่าผืนนั้น
เวลาสามวันจะว่าสั้นก็ไม่สั้น จะว่ายาวก็ไม่ยาว เพียงพอที่จะทำให้เขารวบรวมทรัพยากรที่ใช้งานได้ขึ้นมา แล้วเลือกของที่ราคาแพงที่สุดมาแทนคำขอบคุณ แต่เรื่องนี้ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด
ตอนนี้จั่วจื่อมู่นับว่าได้เห็นจุดที่น่ากลัวของขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์อย่างเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
คิดจะรังแกวิญญูชน ก็ต้องใช้วิธีการที่สมเหตุสมผลหน่อยสิ
อีกฝ่ายยืนอยู่บนจุดสูงสุดของศีลธรรม ยามสะสางปัญหาขึ้นมาก็ทำได้อย่างไร้ช่องโหว่
มาเล่นแง่กับเขาแบบนี้ เป็นการบีบให้ตัวเองรนหาที่ตายชัดๆ!
หน้าเนื้อใจเสือ! นี่ต่างหากหน้าเนื้อใจเสือของจริง!
ตอนนี้จั่วจื่อมู่ถึงขั้นสงสัยแล้วว่า สี่คนโฉดที่ชาวยุทธ์ได้ยินชื่อแล้วสีหน้าเปลี่ยน เมื่อเทียบกับขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์อย่างพวกเขาสองคน ก็เป็นเพียงพวกเด็กเปรตที่ไร้ประสบการณ์ เป็นตัวตลกที่รู้จักแต่หาเรื่องทะเลาะวิวาทเท่านั้น!
วิธีการของคนสองกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเลย!
……
ขณะมองจั่วจื่อมู่หายไปจากสายตาตัวเอง ซานเย่ว์ก็อดยกนิ้วหัวแม้มือให้เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ “อาศัยแค่เอกสารแผ่นเดียวก็ทำให้จั่วจื่อมู่เศร้าเหมือนเสียบุพการีได้แล้ว เห็นแล้วสะใจจริงๆ!”
“ไม่ใช่แค่สะใจหรอก” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มสงบนิ่ง “ถ้าจะให้ข้าพูดนะ สามวันต่อจากนี้ จั่วจื่อมู่จะต้องรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดเพื่อหาของที่ดีมากพอมาให้พวกเรา เจ้าเชื่อไหมล่ะ”
“ข้าก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว!” ซานเย่ว์ตอบกลั้วหัวเราะ “สิ่งที่เจ้าพูดไม่เคยทำให้คนผิดหวัง”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วแอบละอายใจ ก่อนหน้านี้เขาอุตส่าห์แน่ใจว่าทักษะสังเกตสีหน้าท่าทางของซานเย่ว์เอาชนะตู๋กูฉิวไป้ได้ แต่ผลปรากฏว่า…ต้องอาศัยให้เขาออกหน้า ถึงดันทุรังชนะเดิมพันได้
ระหว่างที่เดินทาง ถ้าตัดตัวซวยที่เป็นดารารับเชิญอย่างจั่วจื่อมู่ออก ตอนหลังเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์เจออวิ๋นจงเฮ่อ เย่ว์เหล่าซานและเยี่ยเอ้อร์เหนียงสามในสี่คนโฉดแล้ว ถ้าเดินต่อไปอีกแล้วไม่มีอะไรผิดคาด ก็คงจะได้เจอคนที่โหดที่สุดในบรรดาสี่คนโฉด
และดูจากการแสดงออกของสามคนโฉดก่อนหน้านี้ ถ้าจะบอกว่าพวกเขาทำให้คนอย่างต้วนเจิ้งหมิงเกรงกลัวได้ นั่นก็เป็นคำพูดที่ไร้สาระแน่นอน!
หัวโจกแห่งสี่คนโฉดที่พวกเขากำลังจะเจอ เกรงว่าคงรับมือยากกว่าสามคนก่อนหน้านี้แน่นอน
“อามิตตาพุทธ!” ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังเริ่มวางแผนว่าจะรับมือกับคนที่โหดที่สุดตรงหน้านี้อย่างไร ข้างหน้าก็มีเสียงนามพระพุทธเจ้าที่คุ้นเคยดังมา “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย แม่นางซานเย่ว์ นึกว่าถึงว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกเร็วขนาดนี้”