ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 428 คิดร้ายต่อกัน
ตอนที่ 428 คิดร้ายต่อกัน
ปัญหามาจากตัวซ่งปิงอี่จริงๆ ด้วย!
ตอนนี้ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็รู้แล้วว่าทำไมเจ้าหมอนั่นถึงกล้านำตำราลับสุดยอดวิชาที่สำคัญอย่าง ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ส่งให้ต้วนเจิ้งหมิงซึ่งเป็นจักรพรรดิต่างเมืองเก็บรักษา
ที่จริงแล้ว หากไม่มีเขาคอยชี้แนะด้วยตัวเอง ก็ไม่มีใครอ่านตำราเล่มนี้เข้าใจเลย!
จะให้อ่านเหมือนเป็นหนังสือการ์ตูนเหรอ
เช่นนั้นเจ้าก็วาดให้มันดีๆ หน่อยสิ!
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่า ของเล่นที่อยู่ในมือตัวเองก็คือของที่ต้องใส่รหัสลับ ต้องใช้วิธีการพิเศษเพื่อเรียงลำดับใหม่ถึงจะประกอบมันให้เป็นตำราลับ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ที่นำมาฝึกได้
ยังดีที่จักรพรรดิต้าหลี่อย่างต้วนเจิ้งหมิงยังถือว่าจัดการเรื่องราวได้ดี แจกภารกิจปลดล็อกตำราลับทันที ในเมื่อมีหนทางปลดล็อกตำราลับแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ขี้คร้านจะพัวพันกับของที่อาจจะมีจริงหรือไม่มีจริงพวกนั้นอีก แม้จะดูตามระดับภารกิจ ระบบก็ไม่น่ามอบตำราลับมังกรผยองได้สำนึกที่ฝึกได้โดยตรงให้เขาตอนนี้อยู่ดี
อิงตามประสบการณ์ที่เข้าเกมมานาน เขาพบว่า NPC ก็อาจจะหลอกคนได้ คำโกหกบางอย่างแม้แต่สกิลสังเกตสีหน้าท่าทางของซานเย่ว์ก็ยังมองไม่ออก
ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เขาเข้าเกมมาใหม่ๆ ผู้เฒ่าหลี่ทิ้งข้อความไว้ว่า ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ คือสุดยอดวิชากระบี่เล่มหนึ่ง แต่หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงเรียนแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันเป็นสุดยอดเคล็ดจิตที่เจ้าเล่ห์สุดๆ ไม่ว่าจะใช้กระบี่ ดาบ หมัด เท้า ไม้เท้าหรือกระบองก็ใช้เคล็ดจิตนี้ได้ทั้งนั้น
แต่ตอนหลังพอเยี่ยเว่ยหมิงได้เจอ NPC ระดับสูงของสำนักไท่ซานหลายครั้ง ระหว่างที่คุยกัน อีกฝ่ายก็ดึงดันคิดว่า ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ คือสุดยอดวิชาเคล็ดกระบี่ของสำนักไท่ซาน
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า ในกระบวนการรับรู้ของ NPC สำนักไท่ซาน ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คำพูดโกหกแบบนี้ แม้แต่เขาเองก็เชื่อโดยไม่สงสัย ย่อมทำให้คนที่มีความสามารถจับโกหกอย่างซานเย่ว์แยกแยะไม่ออกเช่นกัน
และในภารกิจ ‘มังกรผยองได้สำนึก 2’ นี้ เมื่อแยกแยะให้ละเอียดก็จะพบว่า ที่จริงตอนนี้เรื่องที่แน่นอนเหมือนตอกตะปูไว้ก็คือ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว
ถ้านี่ไม่ใช่ภารกิจสองทิศทาง ต่อให้เยี่ยเว่ยหมิงไม่ทำอะไรเลย แค่ปล่อยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปตามโหมดที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ ถึงขั้นปล่อยให้ภารกิจล้มเหลว ให้ต้วนอวี้กับมู่หว่านชิงมีความสัมพันธ์แบบชายหญิงกันก็ไม่เป็นอะไรอยู่ดี
อย่างน้อยเขาก็ยังรักษาโอกาสในการรับภารกิจอื่นจากซ่งปิงอี่เพื่อมาปลดล็อกตำราลับเล่มนี้ได้อยู่ดี
นอกเสียจากว่า…
ต้วนอวี้ตายในหุบเขาว่านเจี๋ย!
ในฐานะพระเอกของนิยายฟอร์มยักษ์ เขาจะตายง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่า…
ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
อย่างไรเสีย ทุกอย่างที่เขาวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ใช่ภารกิจสองทิศทาง ฝั่งตรงข้ามไม่มีผู้เล่นคนอื่นคอยช่วยเหลือ
แต่ก่อนหน้านี้พวกเขารู้มาจากปากจงหลิงแล้วว่าตอนนี้ในหุบเขาว่านเจี๋ยมีผู้เล่นเป็นสองชายหนึ่งหญิง และหากเจ้าพวกนั้นพยายามทำลายการดำเนินเรื่อง มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ว่าในเวลานี้จะทำให้ต้วนอวี้ตายก่อนเวลาอันควร
นึกถึงหยางคังก่อนหน้านี้ การทำแบบนี้แม้จะเป็นจริงได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
อย่างน้อยต้วนอวี้ที่อยู่ในหุบเขาว่านเจี๋ยก็เป็นเพียง BOSS โหมดภารกิจไม่ใช่หรอกหรือ
เช่นนั้นก็ยิ่งตายง่ายกว่าเดิมน่ะสิ!
ดังนั้น ภารกิจช่วยชีวิตนี้ต้องทำงานแข่งกับเวลาจึงจะสำเร็จ
ขืนชักช้าก็เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด!
แน่นอนว่าการทำงานแข่งกับเวลาไม่ได้หมายความว่าต้องไม่ดูตาม้าตาเรือ
เพื่อรับประกันความสำเร็จของภารกิจ ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ พวกเขายังต้องเตรียมตัวให้ครบทุกด้านด้วย!
เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์กล่าวอำลาต้วนเจิ้งหมิง หลังจากออกจากพระราชวังต้าหลี่แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งพิราบสื่อสารให้หลิวอวิ๋นก่อน หลังจากได้รับคำตอบที่แน่นอนแล้ว เขาก็บอกซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกายทันทีว่า “ภารกิจของเจ้าคือ ‘แก้ไขเรื่องยุ่งยากใจให้เตาไป๋เฟิ่ง’ แต่จนกระทั่งตอนนี้ เจ้ายังไม่เห็นเลยว่าเตาไป๋เฟิ่งนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร แม้อาจไม่ส่งผลต่อรางวัลที่ได้รับจากภารกิจ แต่ก็ถือว่าน่าเสียดายอยู่นะ”
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วกลับแลบลิ้น “ข้ารู้ว่าเจ้าจะให้ข้าไปทำอะไร ครั้งนี้ข้ารับประกันว่าจะให้ความร่วมมือกับไต้ซือหลิวอวิ๋นเพื่อวางแผนทำภารกิจของเตาไป๋เฟิ่งให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าวางใจเถอะ!”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าพูดต่อ “ครั้งนี้ให้หลิวอวิ๋นถามเป็นหลัก เจ้าคอยให้ความร่วมมืออยู่ข้างๆ ก็พอ ไม่ต้องทำอะไรมาก ให้ความร่วมมือข้าเหมือนก่อนหน้านี้ก็พอแล้ว”
ซานเย่ว์ยื่นมือออกมาลูบจอนผมและปอยผมที่ห้อยลงมา ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มว่า “เข้าใจแล้ว เจ้ารอฟังข่าวดีเถอะจากข้าเถอะ”
พอพูดจบ นางก็ใช้ท่าร่างวิ่งไปทางจวนองค์ชายฝั่งใต้อย่างรวดเร็ว กระโดดขึ้นกระโดดลงไม่กี่ทีก็หายไปจากสายตาเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
หลังจากมองส่งเงาร่างอันงดงามของซานเย่ว์หายไปจากมุมถนน เยี่ยเว่ยหมิงก็ขยับเท้า ร่างทะยานขึ้นมาทันที แฉลบข้ามหลังคาของตึกสูงข้างหน้าออกไปโดยตรง ‘บิน’ ข้ามไปทางเมืองฝั่งตะวันออกที่อยู่ไม่ไกล
เยี่ยเว่ยหมิงไปเมืองฝั่งตะวันออก ไม่ใช่ว่าไปหาซ่งปิงอี่ที่แบมือขอทาน แต่ไปซื้อวัตถุดิบยาบางอย่าง
ถึงแม้พวกเขาจะช่วยต้วนอวี้กับมู่หว่านชิงออกมาจากเงื้อมมือต้วนเหยียนชิ่งได้ในสภาพสมบูรณ์ กุญแจสำคัญคือง้างปากเตาไป๋เฟิ่ง แต่การเตรียมตัวด้านอื่นก็จะบกพร่องไม่ได้เช่นกัน
สำหรับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสุดยอดวิชาแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงไม่กล้าสะเพร่าแม้แต่น้อย
เตรียมตัวมากขึ้นก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น!
สิ่งที่ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงต้องทำตอนนี้คือ ฉวยโอกาสตอนร้านขายยาในเมืองฝั่งตะวันออกยังไม่ปิดไปซื้อวัตถุดิบยาเพื่อหลอมยาเม็ดชนิดพิเศษที่ชื่อว่า ‘ยาละลายหิน’!
ยายาละลายหินนี้จัดเป็นยาชนิดพิเศษที่พบได้น้อยในยุทธภพ สรรพคุณก็คือทำให้หินแข็งอ่อนลงได้ ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปจะไม่กลับไปแข็งเหมือนเดิม
ถึงแม้การรวมกลุ่มที่มีหลิวอวิ๋นบวกซานเย่ว์จะทำให้เยี่ยเว่ยหมิงมีความมั่นใจแล้วแปดส่วน เชื่อว่าพวกเขาจะทำภารกิจยากมอบหมายให้สำเร็จอย่างราบรื่น
แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ระมัดระวัง เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังเลือกเตรียมตัวไว้ให้มากที่สุดโดยสัญชาตญาณ ยาละลายหินก็เป็นหนึ่งในนั้น
บินข้ามหลังคาบ้านคนตลอดทาง ผ่านทิวทัศน์เพียงประเดี๋ยวเดียว เงาร่างของเยี่ยเว่ยหมิงก็มาอยู่หน้าประตูร้านค้าระบบแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงเมืองฝั่งตะวันออกแล้ว
ร้านค้าร้านนี้เยี่ยเว่ยหมิงสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนแรกที่มาถึงเมืองต้าหลี่แล้ว ดังนั้นตอนที่มาจึงไม่ได้อ้อมไปไหน หลังจากออกจากพระราชวัง เขาก็บินตรงมาจนถึงหน้าประตูร้านค้า
พอเยี่ยเว่ยหมิงสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาจากในร้าน บนใบหน้าก็เผยรอยิ้มพึงพอใจพลางก้าวเข้าไปในนั้นทันที
……
ขณะเดียวกันนี้เอง ในบ้านพักแขกของหุบเขาว่านเจี๋ย
ตอนนี้มีผู้เล่นสามคนกำลังนั่งล้อมอยู่ที่โต๊ะกลัวตัวหนึ่ง ระยะห่างระหว่างพวกเขาสามคนเท่ากัน ไม่มีใครอยู่ใกล้ใครเป็นพิเศษ ก็เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ตำแหน่งและมุมไม่ต่างกันเลยสักนิด ลักษณะเหมือนกระถางธูปสามขา
บนโต๊ะมีน้ำชาหนึ่งกาและถ้วยน้ำชาห้าถ้วย ไอน้ำที่เจือกลิ่นหอมของชาลอยขึ้นมาจากปากกา ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
แต่ผู้เล่นสามคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับไม่ชายตามองน้ำชากานั้นด้วยซ้ำ สายตาของทั้งสามกวาดมองอยู่บนตัวของอีกสองคนที่เหลือ ราวกับต้องการจะใช้สายตามองทะลุหัวใจกันและกัน
ผ่านไปครู่เดียว หนุ่มน้อยถือพัดผู้สง่างามที่สวมชุดคลุมบัณฑิต ซึ่งเป็นหนึ่งในสามคนนั้นก็เปิดปากพูดก่อนว่า “ตอนนี้ฝั่งสกุลต้วนต้าหลี่ก็มีผู้เล่นเข้าร่วมภารกิจนี้เช่นกัน ไม่ทราบว่าทั้งสองมีความคิดเห็นว่าอย่างไร”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เล่นชุดคลุมสีเทาที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันก็พูดดูถูกว่า “เจ้ากังวลว่าจะไม่มีหวังต่อ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ สินะ”
หนุ่มน้อยถือพัดเบะปาก “เมฆเคลื่อนเดียวดาย เจ้าอย่ามาแสร้งฉลาดหมาป่าอวดหางเลย ถ้าเจ้าไม่อยากได้ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ก็ให้ข้าเลือกตำราลับ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ก่อนเป็นอย่างไร”
“ทั้งสองอย่าเถียงกันเลย” ตอนนี้เอง ผู้เล่นที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน ขัดจังหวะสองคนที่กำลังเถียงกัน
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก อาจจะฟังดูครึ่งๆ กลางๆ ทำให้คนที่ได้ยินเสียงตัดสินเพศของเขาได้ยาก ประกอบกับชุดคลุมยาวสีแดงทั้งตัว ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเขาเป็นผู้เล่นผู้หญิง
แต่ถ้าลองมองให้ละเอียด กลับพบว่าเขาไม่เพียงแค่หน้าอกแบนราบ ทั้งยังมีลูกกระเดือกที่คอด้วย
ขณะที่พูดคุยกัน ผู้เล่นชุดแดงคนนี้ก็หยิบถ้วยน้ำชากลางโต๊ะที่ไม่มีใครแตะต้องนานแล้วขึ้นมา รินน้ำชาใสสองถ้วย ใช้นิ้วดีดไปตรงหน้าอีกสองคน จากนั้นรินให้ถ้วยตัวเอง หลังจากดื่มหนึ่งคำถึงได้พูดต่อว่า “ในเมื่อปัญหาปรากฏแล้ว แก้ไขเสียก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรอกหรือ”
“ไม่ต้องคิดเลย สู้ไม่ไหวแน่นอน” ผู้เล่นชุดแดงพูดขัดจังหวะการวิเคราะห์อย่างไม่เกรงใจ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มมีเลศนัยเล็กน้อย รอยยิ้มนี้เมื่ออยู่บนใบหน้าขาวหมดจดของเขา ก็ถึงขั้นทำให้อีกสองคนที่อยู่ข้างกายรู้สึกว่านุ่มนวลน่ารัก แต่พอนึกได้ว่าเขาเป็นผู้ชายก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาทันที
ตอนนี้กลับได้ยินผู้เล่นชุดแดงคนนั้นพูดต่อ “พวกเราสนใจเพียงตักตวงผลประโยชน์ของพวกเรา ส่วนเจ้าเจ็ดคนนั่น ส่งให้เจ้าสี่คนโฉดไปจัดการก็ได้”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสริมว่า “แต่ถ้าอยากให้ต้วนเหยียนชิ่งลงมือสังหารพวกเขา…” เขาเงียบไปอีก รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มสดใสขึ้น “พวกเราปรึกษากันสักหน่อยก็ได้ ว่าจะส่งอวิ๋นจงเฮ่อที่ไม่ได้อยู่ในโหมดภารกิจไปฆ่าพวกเขาอย่างไร”
ผู้เล่นชุดเทาได้ยินแล้วงง “สหายเจียงหมายความว่าจะซื้อตัวอวิ๋นจงเฮ่อ”
ผู้เล่นชุดแดงที่ใบหน้าคล้ายทั้งชายทั้งหญิงขยิบตา กล่าวด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เดิมทีพวกเราก็เตรียมจะทำอย่างนี้กันอยู่แล้ว ไม่ใช่หรอกหรือ…
…ขอเพียงอวิ๋นจงเฮ่อตาย ระหว่างอีกฝ่ายกับสี่คนโฉดก็ถือว่าผูกความแค้นกันโดยสมบูรณ์แล้ว เกรงว่าที่เหลือพวกเราก็ไม่ต้องสนใจแล้ว…
…มีแต่ต้องให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนเดิม พวกเราถึงจะรับประกันได้ว่าจะได้รับตำราลับ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ สามเล่มนั้น ระหว่างพวกเราจะได้ไม่ต้องฉีกหน้ากันเองเพื่อแย่งกัน…
…ถ้าต้องการรับประกันจุดนี้ ก็ต้องใช้ประโยชน์จากสี่คนโฉด กำจัดฝ่ายตรงข้ามออกจากภารกิจนี้ให้หมดถึงจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ที่สุด”