ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 44 จะกินมะหมาได้อย่างไรกัน!
ตอนที่ 44 จะกินมะหมาได้อย่างไรกัน?!
แจกภารกิจลับให้ฉันสองภารกิจในรวดเดียว แถมยังเป็นประเภทที่ยังไม่ทราบระดับภารกิจกับรางวัลภารกิจเลยด้วย
อาจ่งคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!
เพียงแต่ว่า ถ้านายอยากจะให้ฉันช่วย จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนสักหน่อยไม่ได้หรือไง
ขอเพียงนายพูดออกมา ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเราสนิทกันมาก ต่อให้เราจะไม่รู้จักกัน แต่อาศัยแค่คำว่า ‘ภารกิจลับ’ ก็ไม่รู้ว่ามีผู้เล่นตั้งมากมายเท่าไรอยากแย่งกันช่วยนายแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงจะไปรู้ได้อย่างไรว่าในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ NPC เลเวลสูงทุกตัวจะมีเรื่องราวและจุดเด่นของตัวเอง และหนึ่งในจุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดของอาจ่งก็คือ ต่อให้โดนตีตายก็ไม่ขอร้องใคร!
ภารกิจของเขาต้องอาศัยให้ผู้เล่นเป็นฝ่ายขุดคุ้ยเอาเอง ไม่อย่างนั้นต่อให้ผู้เล่นได้ค่าความรู้สึกดีจนถึงพันเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่มีทางที่จะได้รับภารกิจจากเขาอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าใช้เวลาไม่กี่อึดใจอาจ่งก็วิ่งหายไปจนไม่เห็นเงา เยี่ยเว่ยหมิงก็นวดหน้าตัวเองครู่หนึ่ง ทำตัวให้ฮึกเหิม แล้วใช้ท่าร่างวิ่งปรื๋อไปทางเมืองลั่วหยางอีกครั้ง
เขาไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงร้านอุปกรณ์หลานพ่างจื่อที่เมืองลั่วหยาง
พ่อค้าเจ้าเล่ห์ของร้านนี้แม้จะน่ารังเกียจ แต่ตอนที่เขาไปถึงร้านค้า อีกฝ่ายก็อำนวยความสะดวกให้ผู้เล่นแล้วไม่น้อย
อีกทั้งพ่อค้าเจ้าเล่ห์ที่ชื่อเจียวไท่หลางนั่นก็ไม่ได้โกหก ราคารับซื้ออุปกรณ์ที่ร้านเขานับว่ามีมโนธรรม แม้ราคารับซื้อกับราคาจำหน่ายจะยังแตกต่างกัน แต่กลับประหยัดเวลาในการไปตั้งร้านแผงลอยขายริมทางเองได้เยอะมาก เยี่ยเว่ยหมิงนำอุปกรณ์ที่ได้รับจากภารกิจก่อนหน้านี้แต่ไม่ได้ใช้งานมาขายทิ้งหมดในอึดใจเดียว ในที่สุดจำนวนเงินทั้งหมดของเขาก็เปลี่ยนเป็นหนึ่งร้อยสองเหรียญทอง ห้าสิบหกเหรียญเงิน ยี่สิบเหรียญทองแดงแล้ว
พอเป็นแบบนี้ ก็ถือว่ารวบรวมเงินหนึ่งร้อยเหรียญทองสำหรับเรียนตำรา ‘ร้อยสกุล’ ได้ครบแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงนับว่าเบาใจไปเปลาะหนึ่ง ตอนนี้ก็ขาดแค่ค่าสติปัญญาห้าแต้มกับเลเวล ‘เคล็ดชำระปราณ’ แล้ว
ขณะเดินไปทางจุดพักม้า เยี่ยเว่ยหมิงก็คำนวณในใจเงียบๆ ว่าหากอาศัยความเร็วในการทำภารกิจของตัวเอง ต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะสะสมเลเวล ‘เคล็ดชำระปราณ’ ให้ถึงกำหนดได้
ยังเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร จู่ๆ กลับถูกเสียงตะโกนเรียกลูกค้าดึงดูดความสนใจแล้ว
“พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ข้าโก่วเหยียนหวังวันนี้มีของมาวางขายอีกแล้ว! เนื้อสุนัขสดใหม่ชั้นดีแค่ชามละห้าสิบเหรียญเงินเท่านั้น หากผ่านหมู่บ้านนี้ไป ก็จะไม่มีร้านค้าแล้วนะ!” เมื่อมองไปตามเสียง ก็เห็นตรงมุมถนนตั้งร้านแผงลอยชั่วคราว ตรงข้างกำแพงตั้งหม้อใหญ่ไว้สองใบ ในหม้อใบหนึ่งน้ำเดือดจนไอน้ำลอยพลุ่งเหนือเตาที่ก่อขึ้นชั่วคราว
ส่วนอีกหม้อหนึ่งก็ใช้ไฟอ่อนตุ๋นช้าๆ แม้ไอน้ำจะไม่มาก แต่กลิ่นหอมของเนื้อก็โชยมาเป็นพักๆ ทำให้คนรู้สึกเปรี้ยวปากอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยนั่งลงบนโต๊ะหลายตัวตรงหน้าร้านแล้ว กำลังลิ้มรสชาติเนื้อสุนัขติดมันชามใหญ่ ดูจากสีหน้าเปี่ยมสุขของพวกเขาก็รู้เลยว่า รสชาติของเนื้อสุนัขชามนี้จะต้องเลิศกว่าโดเนอร์เคบับของนิวยอร์กแน่นอน
ด้วยการกระตุ้นจากกลิ่นหอมของเนื้ออันเข้มข้น เยี่ยเว่ยหมิงแทบจะเดินไปถึงหน้าร้านโดยจิตใต้สำนึก และด้วยการทักทายอันอบอุ่นจากเถ้าแก่ที่เรียกตัวเองว่า ‘โก่วเหยียนหวัง’ เขาก็นั่งลงบนโต๊ะว่างแล้ว
ชาวบ้านเมืองลั่วหยางล้วนเป็นคนที่เคยผ่านเหตุการณ์สำคัญมาก่อน เมื่อ ‘โก่วเหยียนหวัง’ เห็นเยี่ยเว่ยหมิงใส่ชุดเจ้าหน้าที่ทางการทั้งตัว ก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิด กลับเอ่ยปากถามอย่างเป็นมิตรด้วยซ้ำว่า “ท่านขุนนางอยากจะรับประทานเนื้อสุนัขที่ตุ๋นแล้ว หรือจะรออีกหม้อที่สดใหม่ดีขอรับ”
“อ้อ?” เมื่อได้ยินที่เถ้าแก่แนะนำ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดถามอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “สองอย่างนี้แตกต่างกันมากหรือเปล่า”
เมื่อ ‘โก่วเหยียนหวัง’ ได้ยินคำถามก็เบิกตากว้าง อธิบายอย่างตื่นเต้นว่า “แน่นอนว่าแตกต่างกันมาก สิ่งที่ข้าถนัดก็คือที่สุดก็คือปรุงเนื้อสุนัขที่สดใหม่! เนื้อสุนัขที่ตุ๋นเสร็จเมื่อเช้า เมื่อเทียบกับเนื้อสุนัขที่เพิ่งออกจากหม้อก็แตกต่างกันมากแล้ว ดังนั้นแต่ละชามจึงราคาแค่ยี่สิบเหรียญเงิน ส่วนเนื้อสุนัขที่สดใหม่นั้นไม่เพียงแค่รสชาติสุดยอด เมื่อผู้เล่นกินแล้วยังเพิ่มค่าสเตตัสได้ชั่วคราวด้วย แต่ราคาก็จะแพงกว่าหน่อย คือชามละห้าสิบเหรียญเงิน”
นี่คืออาหารที่เพิ่มค่าสเตตัสเหรอ
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วดีใจมาก ตอนนี้กลับเห็นโก่วเหยียนหวังนั่นชี้ไปยังสุนัขเหลือง[1]ตัวหนึ่งที่ถูกมัดไว้ตรงมุมกำแพง “อีกประเดี๋ยวข้าจะเชือดสุนัขเหลืองนั่นแล้วรีดเลือดถอนขนตรงนี้เลย จากนั้นรีบนำลงหม้อตอนร้อนๆ มีแต่ต้องทำอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะรักษารสชาติที่สดใหม่ที่สุดของเนื้อสุนัขไว้ได้ กฎของข้าก็คือ ขอเพียงมียอดสั่งสิบชามขึ้นไปก็จะเชือด ตอนนี้มีลูกค้าเก้าคนแล้ว ท่านขุนนางจะมามีส่วนร่วมด้วยไหม”
ตามทิศทางที่โก่วเหยียนหวังชี้ไป เยี่ยเว่ยหมิงกวาดสายตามองบนตัวสุนัขเหลืองตรงมุมกำแพงอย่างไม่ได้ตั้งใจแวบหนึ่ง พอเก็บสายตากลับมาก็คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ข้างหูกลับมีเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้น
[ติ๊ง! ใช้พาสซีฟสกิล ‘เวทชันสูตรศพ’ คุณพบว่าสุนัขเหลืองที่ถูกมัดไว้ตรงมุมกำแพงเหมือนจะไม่ค่อยปกติ]
ระบบแจ้งเตือนกะทันหัน ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงหันหน้ากลับไปโดยจิตใต้สำนึก ตอนที่สายตาของเขาไปหยุดอยู่บนตัวสุนัขเหลืองตัวนั้นอีกครั้ง กลับค้นพบอย่างประหลาดใจว่าสุนัขเหลืองตัวนี้ก็มีชื่อด้วยเหมือนกัน
[อาหวง: นี่คืออาหวงเพียงหนึ่งเดียวของโลกนี้]
ไม่น่าเชื่อว่าสุนัขเหลืองตัวนี้จะชื่อว่าอาหวง ทั้งยังเป็นอาหวงเพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้ด้วย!
หากคำพูดที่ว่า ‘เพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้’ ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลของระบบ นั่นก็หมายความว่า ภารกิจลับที่เขาได้รับจากอาจ่งก่อนหน้านี้ ก็คือต้องหาตามหาสุนัขเหลืองตัวที่อยู่ตรงหน้านี้หรือ!
หลังจากนึกถึงความเป็นไปได้นี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็รีบส่ายหน้า แล้วก็กล่าววาทะที่เต็มไปด้วยสัจธรรมกับโก่วเหยียนหวัง “มะหมาน่ารักขนาดนั้น จะกินมะหมาได้อย่างไรกัน!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเยี่ยเว่ยหมิง ใบหน้าของ ‘โก่วเหยียนหวัง’ ที่เดิมทีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้อึมครึมลงทันที “นี่ ท่านขุนนาง ข้าทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว สุนัขเหลืองตัวนี้ข้าก็จ่ายเงินซื้อมาจากนายพรานตั้งแต่เช้า หากท่านคิดจะอาศัยอำนาจแย่งชิงไป แม้ข้าจะฐานะต่ำต้อยคำพูดไร้น้ำหนัก แต่ก็จะต้องไปตัดสินถูกผิดกับท่านขุนนางที่จวนว่าการให้ได้!”
เมื่อเห็น ‘โก่วเหยียนหวัง’ ทำตัวดื้อด้านหน้าไม่อาย เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ่งรู้สึกจนใจมากขึ้น
เพียงแต่เยี่ยเว่ยหมิงสนใจภารกิจลับนั่นของอาจ่งมาก ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตำราลับทักษะยุทธ์จากเด็กน้อยที่ไร้ทักษะยุทธ์ แต่แค่ฝีมือทำครัวอันยอดเยี่ยมของเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยเว่ยหมิงใจเต้นแล้ว
ดังนั้น สำหรับพฤติกรรมพาลหาเรื่องของ ‘โก่วเหยียนหวัง’ เยี่ยเว่ยหมิงโบกมือกล่าวอย่างสบายอารมณ์มากว่า “สุนัขตัวนี้ราคาเท่าไร ข้าจะซื้อ”
โก่วเหยียนหวังได้ยินแล้วเผยรอยยิ้มประจบสอพลออีกครั้ง “ราคาจริงใจ หนึ่งร้อยเหรียญทอง!”
“อะไรนะ!” พอเยี่ยเว่ยหมิงได้ยินราคาที่อีกฝ่ายเสนอ ก็แทบจะลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ “นี่เป็นสุนัขเหลืองที่ผอมแห้งตัวหนึ่ง ต่อให้เจ้านำมันไปตุ๋น นำเนื้อที่มีมารวมกันก็ทำได้ไม่ถึงยี่สิบชามหรอกกระมัง? เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นของที่ราคาไม่ถึงสิบเหรียญทอง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะคิดราคาข้าหนึ่งร้อยเหรียญทอง หรือว่าคิดจะหลอกลวงกัน”
โก่วเหยียนหวังได้ยินแล้วรีบส่ายหน้า สื่อว่าตัวเองจะไม่ยอมรับกรรมเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็ยังคงรอยยิ้มของพ่อค้าหน้าเลือดเอาไว้ต่อไป “ท่านขุนนาง บัญชีนี้เราจะคิดกันอย่างนี้ไม่ได้หรอก ที่จริงตอนข้าตั้งแผงเปิดร้านวันนี้ ข้าเตรียมสุนัขไว้แค่ตัวเดียว หากข้าขายมันให้ท่าน ข้าก็ทำได้เพียงต้องเก็บร้านก่อนเวลา ถึงขนาดว่าลูกค้าหลายคนที่สั่งอาหารไว้ล่วงหน้าก็จะไม่ได้กินเนื้อสุนัขที่พวกเขารอมานานแล้วด้วย นี่เป็นเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของตัวเองนะ จะเอาเงินทองมาวัดไม่ได้หรอก”
“ดังนั้น…” บนใบหน้าโก่วเหยียนหวังเผยรอยยิ้มลำพองใจมากขึ้นเรื่อยๆ “ที่จริงเมื่อเทียบกับราคาหนึ่งร้อยเหรียญทอง ข้ายังหวังจะเชือดมันมากกว่า จะได้ค้าขายต่อ”
แม่งเอ๊ย…
เยี่ยเว่ยหมิงมองเงินเก็บอันน่าสงสารจำนวนหนึ่งร้อยเหรียญทองในกระเป๋าตัวเองแวบหนึ่ง ทำให้ความเศร้าพรั่งพรูออกมาทันที ได้แต่ร้องโวยวายว่า “อาหวง! ทำไมเจ้าตกอยู่ในสภาพนี้ได้นะ โธ่ อาหวง!”
เสียงโวยวายตกใจของเยี่ยเว่ยหมิงดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน และยิ่งสะเทือนไปถึงทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ทำเอา ‘โก่วเหยียนหวัง’ ตกใจจนน่าเจื่อน รีบต่อรองว่า “เอ่อ คือ…ท่านขุนนาง ที่จริงเรื่องราคาเราเจรจากันได้นะ”
“อาหวง!” ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงโน้มตัวลงมาแล้ว ดึงเจ้าสุนัขเหลืองที่เชื่อว่าอาหวงมาไว้ในอ้อมกอด “ตั้งแต่ปีนั้นที่ข้าเข้าสำนักมือปราบเทพ หวงโส่วจุนมอบเจ้าให้ข้า เจ้ากับข้าก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเสมอมา แล้วเจ้ายังติดตามข้าไปไขคดีอีกหลายครั้ง…”
เมื่อได้ยินว่าสุนัขเหลืองบ้านๆ ตัวนี้มีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่เพียงแค่ ‘โก่วเหยียนหวัง’ ที่งงเป็นไก่ตาแตก แม้แต่ลูกค้าที่กำลังล้อมวงกินอาหารก็พากันวางชามกับตะเกียบ เริ่มซุบซิบนินทาแล้ว
พอ ‘โก่วเหยียนหวัง’ เห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็รีบถามว่า “หรือจะให้ข้าลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง เหลือห้าสิบเหรียญทองเป็นอย่างไร”
“อาหวงเอ๊ย! หลายปีมานี้เจ้าตามข้าไปล่าเสือ สู้กับหมาป่า ขนาดองครักษ์เสื้อแพรอย่างโหยวจิ้นก็ยังเคยชมว่าเจ้าปราดเปรียว…” เยี่ยเว่ยหมิงพูดพร่ำต่อไป
“สิบเหรียญทอง!” โก่วเหยียนหวังกล่าว
เยี่ยเว่ยหมิงยังไม่หยุด “อาหวงเอ๊ย อาหวง ในปีนั้นแม้แต่โจรภูเขาค่ายดอกบัวก็ยังทำอะไรเจ้าไม่ได้ โจรลุ่มน้ำซีหูก็เล่นงานเจ้าไม่สำเร็จเหมือนกัน แต่ตอนนี้เจ้ากลับจะมาตายในเมืองลั่วหยางที่เจ้าเคยเอาชีวิตปกป้อง เจ้ากำลังจะถูกคนเชือดกิน!”
“ห้าเหรียญทอง! ตอนนั้นที่ข้าซื้อมันมาก็ราคาเท่านี้ ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว” โก่วเหยียนหวังกล่าว
“โธ่สวรรค์! โธ่ฟ้าดิน!…” เยี่ยเว่ยหมิงร่ำร้อง
“ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าถ้าข้าข้ามเส้นตายนี้ไป ข้าอาจจะโดนฟ้าผ่าตายเมื่อไรก็ได้!” โก่วเหยียนหวังกล่าว
นี่คงเป็นเส้นตายของระบบสินะ?
เยี่ยเว่ยหมิงไม่ละโมบ สีหน้ารันทดสิ้นหวังกลับมาเป็นสงบนิ่งทันที แล้วควักเงินห้าเหรียญทองวางตบบนโต๊ะ พร้อมกล่าวอย่างสุขุมใจเย็นว่า “นี่คือห้าเหรียญทอง เจ้าเก็บไว้ให้ดีเถอะ”
โก่วเหยียนหวัง “??”
เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่มีอารมณ์มาสนใจสีหน้าเหม่อมึนของ ‘โก่วเหยียนหวัง’ เขาลุกขึ้นเดินไปตรงมุมกำแพง แกะเชือกอาหวงออกแล้ว
“โฮ่ง! โฮ่ง!…”
อาหวงดูเหมือนไหวพริบดีมาก หลังจากถูกแก้มัดแล้ว มันก็พุ่งไปเห่าทักทายเยี่ยเว่ยหมิงก่อน จากนั้นก็เลี้ยววิ่งออกไปเลย
จะว่าไปแล้ว อาหวงตัวนี้กำลังจะไปหาอาจ่งที่เป็นเจ้าของของมันหรือเปล่า
เยี่ยเว่ยหมิงเผยยิ้มมุมปาก ขณะเตรียมจะตามไป กลับพบว่าอาหวงเลี้ยวกลับมาแล้ว มันกัดดึงชายขากางเกงของเขาก่อน แล้วก็วิ่งออกไปอีกครั้ง
นี่มันจะให้ฉันตามไปเหรอ
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามมันไป
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ตามอาหวงมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างอยู่ข้างวัดม้าขาว
ตอนนี้กลับเห็นอาหวงมุดเข้าไปใต้เตียงที่เต็มไปด้วยฝุ่น จากนั้นก็คาบตำราเก่าชำรุดเล่มหนึ่งออกมา นำมาวางข้างเท้าเยี่ยเว่ยหมิง
[1] สุนัขเหลือง เป็นสุนัขสายพันธุ์สปิตซ์สีเหลือง สัตว์ประจำถิ่นของคาบสมุทรเกาหลี เลี้ยงเพื่อกินเนื้อโดยเฉพาะ