ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 458 เยี่ยเว่ยหมิงใจร้อนอยากทำความดี
ตอนที่ 458 เยี่ยเว่ยหมิงใจร้อนอยากทำความดี
[ติ๊ง! คุณทำภารกิจ ‘มังกรผยองได้สำนึก 2’ สำเร็จแล้ว
รางวัลภารกิจ:
ค่าประสบการณ์ 1200000 แต้ม
ค่าตบะ 150000 แต้ม
ไปหาซ่งปิงอี่เพื่อปลดล็อกวิธีการอ่านศึกษา ‘มังกรผยองได้สำนึก’ อย่างถูกต้องได้แล้ว]
[ติ๊ง! คุณทำภารกิจ ‘แก้ไขสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ’ สำเร็จแล้ว
รางวัลภารกิจ:
ค่าประสบการณ์ 5000000 แต้ม
ค่าตบะ 600000 แต้ม
รางวัลภารกิจพิเศษ NPC ที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้แจกรางวัล กรุณาอดใจรอ]
[ติ๊ง! เลเวลของคุณเพิ่มถึง…]
……
ทีมของเยี่ยเว่ยหมิงที่นำโดยเขา ในที่สุดก็ทำภารกิจเนื้อเรื่องสำเร็จแล้ว
ในบรรดาพวกเขา เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ทำสองภารกิจได้แก่ ‘มังกรผยองได้สำนึก 2’ กับ ‘วิชานางฟ้ามังกรเทพ’ สำเร็จแล้ว เมื่อกลับไปหาซ่งปิงอี่ก็จะได้รับรางวัลภารกิจที่พวกเขารอมานาน ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ก็ได้รับภารกิจเนื้อเรื่องที่สอดคล้องแล้วเช่นกัน ผลตอบแทนย่อมไม่ต้องพูดถึง
แต่นอกเหนือจากนั้น ยังมีรางวัลภารกิจ ‘แก้ไขสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ’ อีก ถือเป็นลาภลอยที่เหนือความคาดหมาย
แน่นอนว่ารางวัลของภารกิจนี้นับตามผลงานของผู้เล่น สำหรับเยี่ยเว่ยหมิงที่มีบทบาทสำคัญต่อสถานการณ์การต่อสู้ ย่อมได้ผลตอบแทนเหนือความคาดหมายแน่นอน แต่สำหรับผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ไม่ได้สร้างผลงานมากขนาดนั้น ยกตัวอย่างเช่นเจ้าอ้วนชนะฟ้า บางทีอาจจะได้ผลตอบแทนพิเศษแค่พอประมาณ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ
เมื่อเห็นต้วนอวี้กับมู่หว่านชิงได้สติกลับมาโดยสมบูรณ์หลังจากกินยาถอนพิษ ซานเย่ว์ก็อดมายืนอยู่ข้างๆ เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ นางถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “อาหมิง ถ้าข้าเดาไม่ผิด สาเหตุแท้จริงที่ทำให้จิวหมัวจื้อเป็นฝ่ายถอยไปก่อนเมื่อครู่นี้เป็นฝีมือเจ้าใช่ไหม แต่ข้ามองไม่ออกจริงๆ เจ้าทำได้อย่างไรกันแน่”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย “พลังฝีมือของจิวหมัวจื้อนั่น เกรงว่าคงอยู่ระหว่างเลเวลร้อยเจ็ดสิบถึงร้อยเก้าสิบ ข้าจะเอาความสามารถจากไหนไปสู้กับเขาซึ่งๆ หน้า ดังนั้นสาเหตุที่บีบให้เขาถอยไปได้ ก็เพราะในช่วงเวลาสำคัญ ข้าคำนวณเจอว่าในร่างกายเขามีโรคแอบแฝง จากนั้นผนึกทักษะการแพทย์เลเวลแปดกับทักษะการยิงจุดของ ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ โจมตีให้โรคลับของเขากำเริบล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง…
…ดังนั้น ที่จิวหมัวจื้อบอกว่าแพ้ให้กับพวกเรา ไม่สู้บอกว่าแพ้ให้ตัวเองดีกว่า”
เหมือนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรค่าที่จะโอ้อวด เยี่ยเว่ยหมิงจึงเปลี่ยนประเด็นเสียเลย “ตอนนี้ภารกิจทางหุบเขาว่านเจี๋ยเสร็จสิ้นแล้ว อีกประเดี๋ยวพวกเรากับคนของสกุลต้วนต้าหลี่ก็กลับต้าหลี่ด้วยกัน ไปหาซ่งปิงอี่เพื่อรับรางวัลภารกิจของพวกเราก่อน จากนั้นค่อยไปเดินเล่นที่พระราชวังต้าหลี่สักรอบ…
…หลังจากผ่านศึกใหญ่ครั้งนี้ ข้าคิดว่างานเลี้ยงฉลองคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ และถ้าข้าเดาไม่ผิด รางวัล ‘แก้ไขสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติ’ นั่น ก็อาจจะแจกในงานเลี้ยงฉลองทีเดียวเลย อ้อ ใช่แล้ว…”
พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตบต้นขาตัวเอง “จะว่าไปแล้ว ศพของหัวเฮ่อเกิ้น ซือถู[1]แห่งต้าหลี่ที่ถูกพวกเชิญร่ำสุราลอบฆ่าก่อนหน้านี้ น่าจะยังอยู่บริเวณหุบเขาว่านเจี๋ย…
…ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นสามขุนนางใหญ่ของต้าหลี่ ต่อให้เคยสมคบกันทำเรื่องชั่วอย่างขุดสุสาน คนตายแล้วก็ถือว่าหายกัน มีอย่างที่ไหนกันที่จะปล่อยให้ศพถูกประจาน…
…บนตัวข้ามีโลงไม้หนานมู่ลวดทองอยู่โล่งหนึ่งพอดี อีกประเดี๋ยวข้าจะไปถามปาเทียนสือว่าศพของเขาอยู่ตรงไหน รีบเก็บศพเขาไวๆ ดีกว่า…”
พอได้ยินดังนั้น ซานเย่ว์ก็ทำสีหน้าเหมือนกำลังพูดว่า ‘ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว’ พร้อมบอกว่า “อาหมิง เจ้านี่ใจร้อนที่จะทำความดีจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนข้าคุ้มกันส่งเขากลับต้าหลี่ ข้ากับปาซือคงค่อนข้างสนิทกันแล้ว ข้าจะไปถามให้เจ้าแล้วกัน”
……
พวกเยี่ยเว่ยหมิงเก็บศพหัวเฮ่อเกิ้นกลับต้าหลี่ก็ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว
พวกเชิญร่ำสุราที่ถอยไปอย่างไม่ลังเลเพราะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีหวัง แม้ปฏิบัติการครั้งนี้ของพวกเขาจะไม่บรรลุจุดประสงค์ แต่กลับไม่ได้ท้อใจแต่อย่างใด
เพราะพวกเขามีภารกิจที่สำคัญกว่านั้นต้องไปทำ ถ้าแผนการทางฝั่งนั้นสำเร็จ การเสียผลประโยชน์เล็กน้อยที่หุบเขาว่านเจี๋ยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับพวกเขา
เพียงแต่เมื่อผ่านเรื่องที่กระทบจิตใจครั้งนี้ ความมั่นใจของทั้งสามไม่ได้เต็มเปี่ยมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ขณะที่กำลังเดินทาง ข้ากำลังหาของก็อดกล่าวอย่างกลุ้มใจไม่ได้ “สหายร่ำสุรา เรื่องที่หุบเขาว่านเจี๋ย ทางฝั่งพวกเราถือว่าขโมยไก่ไม่ได้ แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมือ[2] ดูท่าแล้ว แม้แต่จิวหมัวจื้อก็ยังได้รับบาดเจ็บ ปฎิบัติการทางฝั่งวัดเทียนหลงจะไม่ได้รับผลกระทบจริงหรือ”
“จะส่งผลกระทบอะไรได้” เชิญร่ำสุราไม่สนใจเลย “ตอนนี้พลังฝีมือของจิวหมัวจื้อถือว่ากวาดล้างทั้งต้าหลี่ได้ บวกกับแผนการของพวกเราเข้าไปด้วย แผนนั้นก็มีโอกาสสำเร็จอย่างน้อยเจ็ดแปดส่วนแล้ว ที่ต้องสร้างเรื่องเยอะๆ ที่หุบเขาว่านเจี๋ย ก็เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จให้มากขึ้นอีกขั้นก็เท่านั้นเอง ต่อให้ไม่สำเร็จ โอกาสชนะของพวกเราก็มากอยู่ดี”
เมฆเคลื่อนเดียวดายที่นั่งอยู่อีกด้านพูดขึ้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ไม่ผิดหรอก ด้วยทักษะยุทธ์ของจิวหมัวจื้อ ก่อนหน้านี้พวกเขาร่วมมือกันห้าคนก็ทำได้แค่ดันทุรังสู้ให้สูสีกันเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าจะได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาสำคัญ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ทั้งสามก็เดินผ่านจุดฟื้นชีพที่หุบเขาว่านเจี๋ยพอดี แต่จู่ๆ ก็เห็นแสงสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่สว่างวาบขึ้นมา จากนั้นเงาร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเขา
พอมองไปที่เงาร่างนั้น ข้ากำลังหาของก็อดตกใจไม่ได้ “สหายต้วน เหตุใดเจ้าจึงตายอีกแล้ว เจอกับพวกเยี่ยเว่ยหมิงหรือ”
“ตอนนี้พวกเยี่ยเว่ยหมิงคงกำลังอยู่กับเชื้อพระวงศ์ของต้าหลี่ แต่พวกเราไม่ได้เปิดเผยความผิดพลาดใดๆ ต่อหน้า NPC สำนัก ต่อให้ภารกิจล้มเหลว แต่ก็ยังเป็นลูกศิษย์ที่ดีของสกุลต้วนต้าหลี่อยู่ดี” ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงที่เพิ่งฟื้นชีพกล่าวอย่างมั่นใจมากกว่า “ตราบใดที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่อยากเสียความสัมพันธ์กับสกุลต้วนต้าหลี่ ก็ย่อมไม่ทำอะไรข้าต่อหน้า NPC อยู่แล้ว”
“ไม่ใช่เยี่ยเว่ยหมิง?” เมฆเคลื่อนเดียวดายซักไซ้ต่อทันที “เช่นนั้นเจ้าตายได้อย่างไร”
“เฮ้อ…” ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ตอนที่ข้าเคลื่อนไหวที่หุบเขาว่านเจี๋ยก่อหน้านี้ บังเอิญเจอจิวหมัวจื้อกำลังพิงต้นไม้กระอักเลือดพอดี…
…ข้าจะเข้าไปถามเพราะหวังดี แต่ใครจะคิดว่าเจ้าหลวงจีนหน้าเหม็นนั่นจะไม่รับไมตรีเลยสักนิด พลิกมือดีดลมดรรชนีเข้ามาใส่ข้า จากนั้นข้าก็มาโผล่อยู่ตรงนี้แล้ว…”
ขณะที่พูดสิ่งเหล่านี้ เมฆเคลื่อนเดียวดายก็เอามือลูบหน้าผากตัวเองโดยจิตใต้สำนึก
ยังเจ็บอยู่เลย!
ส่วนเชิญร่ำสุราก็เปลี่ยนประเด็น บอกกับทั้งสามว่า “ในเมื่อจิวหมัวจื้อได้รับบาดเจ็บ พวกเราก็ต้องเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่เรื่องรายละเอียดต้องรอให้ข้าเจอกับจิวหมัวจื้อก่อนถึงจะยืนยันได้…
…ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าจะทำอย่างอื่นก่อนสักหน่อย ก่อนที่จะเริ่มใช้แผน พยามเพิ่มความสามารถของพวกเราดีกว่า”
“อ้อ?” เมื่อได้ยินแบบนี้ เมฆเคลื่อนเดียวดายก็นึกอะไรขึ้นได้ทันที กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “สหายร่ำสุรา เจ้าหมายความว่า?”
“ใช่แล้ว!” เชิญร่ำสุรายกมุมปากเผยยิ้มมั่นใจเหมือนที่เคยเป็นมา “เริ่มใช้แผนสำรองแผนที่หก!”
……
ขณะเดียวกันนี้เอง บนเส้นทางเล็กๆ ของต้าหลี่…
ผู้เล่นลักษณะท่าทางประหลาดคนหนึ่งที่สวมรัดเกล้านักพรตบนศีรษะ สวมชุดนักพรตเต๋าทั้งตัว แต่ชั้นนอกยังคลุมด้วยผ้ากาสาวพัสตร์กำลังวิ่งตะบึงไปทางหุบเขาว่านเจี๋ย
ขณะที่วิ่ง ปากก็ยังพึมพำอย่างมั่นใจว่า “ข้าได้รับภารกิจให้มาส่งข่าวให้ต้วนเจิ้งหมิงที่พระราชวังต้าหลี่ แต่ต้วนเจิ้งหมิงกลับถ่อไปหุบเขาว่านเจี๋ย…
…แต่ได้ยินว่าทางหุบเขาว่านเจี๋ยมีผู้เล่นกำลังเข้าร่วมภารกิจอยู่ไม่น้อยเลย ข้าตามไปตอนนี้ เกรงว่างานคงจบไปแล้ว…
…ข้าไปหมู่บ้านซีซานก่อนดีกว่า พอทำภารกิจย่อยนั่นเสร็จแล้ว ไปสืบเรื่องที่หุบเขาว่านเจี๋ยช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่แน่ว่าอาจได้เก็บเกี่ยวอะไรที่เหนือกว่าความคาดหมายก็ได้”
พอนึกเรื่องดีๆ ได้ เจ้าคนที่แต่งตัวประหลาดคนนี้ก็กดไลก์ให้ความฉลาดของตัวเองทันที จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นวิ่งไปทางหมู่บ้านซีซานที่อยู่ระหว่างหุบเขาว่านเจี๋ยกับพระราชวังต้าหลี่
“ตัดสินใจแบบนี้ก็แล้วกัน แฮปปี้!”
[1] ซือถู 司徒 หนึ่งในต้ำแหน่งสามขุนนางใหญ่ รับผิดชอบราชการฝ่ายพลเรือน อบรมสอนสั่งให้ราษฎรอยู่ในศีลธรรมจรรยา
[2] ขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ 偷鸡不成蚀把米 หมายถึงฉวยโอกาสไม่สำเร็จแล้วยังขาดทุน