ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 47 ความสามารถของเสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้
ตอนที่ 47 ความสามารถของเสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้
เยี่ยเว่ยหมิงตัดสินใจสังหารแน่วแน่แล้ว แม้คู่ต่อสู้ไม่ได้อยากเจ็บตัวไปพร้อมกับเขา แต่ก็ไม่มีทางเลือก แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้ แต่กลับกุมอำนาจฝ่ายผู้กระทำในการต่อสู้ครั้งนี้ไว้ได้อย่างมั่นคง
ถ้าเขาอยากจะสู้ก็สู้ ถ้าเขาก็ไม่อยากสู้ก็จะถ่วงเวลา อีกฝ่ายนอกจากต้องตามจังหวะของเขาแล้ว ก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย
ขณะสถานการณ์มาถึงจุดที่ต้องบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ในป่าพลันมีเสียงตะโกนดังขึ้น “หยุดนะ! ทุกคนเป็นพวกเดียวกัน อย่าทำลายมิตรภาพกันเด็ดขาด”
การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ แค่คำพูดประโยคเดียวของคนคนเดียวย่อมไม่อาจหยุดได้อยู่แล้ว
ทว่าตอนที่เสียงตะโกนนั้นดังเข้ามาในหู เงาร่างสีขาวก็พุ่งมาอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองแล้ว มือขวาของเขากุมผ้าเช็ดหน้าที่สีเริ่มเหลืองเล็กน้อยเอาไว้ สะบัดใส่กระบี่ชิงจู๋ของเยี่ยเว่ยหมิทันที ผ้าเช็ดหน้าที่อ่อนนุ่มผืนหนึ่ง เมื่อเพิ่มกำลังภายในใส่เข้าไป มันก็กลายเป็นเหมือนแส้อ่อนเส้นหนึ่งฟาดบนหลังกระบี่ชิงจู๋
แกร๊ง! ตอนกระบี่ล้ำค่ากระทบผ้าเช็ดหน้า กลับส่งเสียงกระบี่คำรามดังชัดเจน
เยี่ยเว่ยหมิงที่โดนโจมตีก่อนรู้สึกจุกหน้าอก ตึก! ตึก! ตึก! ถอยหลังสามก้าวอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ในขณะเดียวกันนี้เอง แขนเสื้อข้างซ้ายของผู้ที่มาก็กรอกกำลังภายในไว้เรียบร้อยแล้ว พอโบกแขนขวาหนึ่งที อาวุธลับสิบชิ้นที่ผู้ลอบโจมตียิงเข้ามาก็กระเด็นออกไปหมด
หลังจากเหยียบลงพื้น ทั้งสามก็ต่างคนต่างยืน ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้สังเกตใบหน้าของทั้งสองคน คนที่ลงมือห้ามไม่ให้พวกเขาบาดเจ็บทั้งคู่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเป้าหมายที่เยี่ยเว่ยหมิงสะกดรอยตามมาตลอดทาง เสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้!
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าพี่ชายน้ำเต้าหู้ที่ดูจืดชืดธรรมดาคนหนึ่ง จะมีความสามารถน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้
ส่วนเจ้าหนุ่มที่ลอบโจมตีเขาก่อนหน้านี้ เป็นศิษย์สำนักถังเหมินอย่างที่คาดไว้ สิ่งที่ต่างกับโหยวโหยวก็คือ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นผู้ชาย
แน่นอน เรื่องเพศไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือการแต่งกายตั้งแต่ศีรษะจดเท้าของคนผู้นี้เรียบร้อยมาก กล่าวได้ว่าเป็นศิษย์สำนักถังเหมินแบบเต็มยศคนหนึ่ง ดูจากภายนอกแล้ว ไม่แตกต่างจากผู้แนะนำให้เข้าสำนักในหมู่บ้านมือใหม่ตอนนั้นมากนัก
ค่าผลงานสำนักไม่ใช่ว่าจะได้กันง่ายๆ เมื่อเทียบกับตอนเจอโหยวโหยวทีแรก แม้จะผ่านมาแล้วสิบกว่าวัน แต่ผู้เล่นนอกสำนักมือปราบเทพที่รวบรวมเครื่องแบบของสำนักได้ครบชุด ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือฝ่ายหนึ่งในเกมได้แล้วจริงๆ
คนคนนี้เป็นใครกัน
ทั้งจากทั้งสามมองประเมินกันสักพัก คนกลางอย่างเสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้ก็เอ่ยปากทำลายความเงียบก่อน “น้องเยี่ยเว่ยหมิง ตั้งแต่กล่าวอำลากันที่หมู่บ้านตู้คังก็ไม่ได้เจอกันมาครึ่งเดือนกว่าแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าตามหลังมาตลอดทาง ไม่ใช่เพราะอยากรำลึกความหลังกับพี่หรอกหรือ”
“ฮ่าๆ พี่ใหญ่เสี่ยวไป๋ ท่านช่างเดาแม่นจริงๆ!” หลังจากได้เห็นความสามารถอันน่ากลัวของเสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยกนิ้วหัวแม่มือยออีกฝ่าย แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที เปลี่ยนไปคุยเรื่องศิษย์สำนักถังเหมินที่อยู่ตรงหน้า “พี่เสี่ยวไป๋นี่นับวันยิ่งชีวิตดีนะ ตอนนี้เวลาจะออกมาส่งน้ำเต้าหู้แต่ละทีก็มีผู้คุ้มกันคอยติดตามด้วย”
เสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้อยากจะอธิบาย ก็ต้องอธิบายความเป็นมาของศิษย์สำนักถังเหมินคนนี้สักหน่อย
หึหึ นี่แหละคือจุดประสงค์ของเยี่ยเว่ยหมิง
ตอนนี้นายรู้แล้วว่าฉันเป็นใคร แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่านายเป็นใคร
แบบนี้ไงล่ะ!
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงเปลี่ยนประเด็นมาพูดถึงตัวเอง บนใบหน้าศิษย์สำนักถังเหมินก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย เป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อนอย่างตรงไปตรงมามาก “ข้าชื่อถังซานไฉ่ ที่มาคุ้มครองพี่ใหญ่เสี่ยวไป๋ก็ย่อมเป็นเพราะภารกิจ หากสหายเยี่ยไม่มีภารกิจติดพัน ก็ได้โปรดอย่าตามพวกเรามาเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ข้าทำงานลำบาก”
“อ้อ” เยี่ยเว่ยหมิงเลิกคิ้ว “ทำงานยากอย่างไรหรือ”
ถังซานไฉ่ยักไหล่ “ก็เพราะข้าสู้เจ้าไม่ไหวอย่างไรล่ะ”
คำตอบนี้ของเขา กล่าวได้ว่าไว้หน้าเยี่ยเว่ยหมิงมากพอแล้ว
ในความเป็นจริง ตอนที่ทั้งสองประมือกันก่อนหน้านี้ก็มองออกแล้ว ว่าหากเยี่ยเว่ยหมิงจะสู้กับเขาให้ถึงที่สุดจริงๆ แม้จะเอาชนะเขาได้ แต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายมากเช่นกัน ถึงขนาดว่าอาจจะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อเปลืองเวลาก็ได้!
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถังซานไฉ่ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือสูงสุดของสำนักถังเหมิน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝ่ายลดศักดิ์ศรีตัวเองก่อน ปูบันไดลงจากเรื่องนี้ให้เยี่ยเว่ยหมิงเอง หากเขาไม่อยากเปลืองแรง ไม่อยากเชื่อมสัมพันธไมตรีต่อ ตอนนี้ก็ออกจากตรงนี้ไปอย่างมีหน้ามีตาได้เลย
จากประโยคธรรมดาก็ทำให้ดูออกเช่นกันว่าถังซานไฉ่คนนี้แม้จะชื่อเสียงโด่งดังอยู่ข้างนอก แต่ก็เป็นคนวางตัวดีมาก หรือไม่ภารกิจที่อยู่ตรงหน้าก็สำคัญสำหรับเขามาก ถึงขั้นสำคัญกว่าศักดิ์ศรีหน้าตาของเขาด้วย
ที่จริงแล้ว หลังจากได้รู้ถึงฝีมือของเสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ตรวจสอบสุขอนามัยของอาหารแล้ว เมื่อเห็นถังซานไฉ่รู้จักกาลเทศะขนาดนี้ เขาก็เตรียมจะอาศัยเนินลงจากหลังลา[1]สักหน่อย แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้ที่ทำตัวเป็นคนกลางมาตลอดจะเอ่ยปากกะทันหันว่า “น้องเยี่ยเว่ยหมิงฝีมือไม่เหมือนวันวานแล้ว ในเมื่อวันนี้บังเอิญพบกันก็ถือเป็นโชคชะตา ไม่สู้มาเข้าร่วมภารกิจนี้เป็นอย่างไร”
ไม่ทันรอให้เยี่ยเว่ยหมิงตอบ เสียงแจ้งเตือนจากระบบที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูแล้ว
[ติ๊ง! คุณปลดล็อกภารกิจลับ ‘คุ้มครองเสี่ยวไป๋’ จะรับหรือไม่]
[ใช่/ปฏิเสธ]
[คุ้มครองเสี่ยวไป๋ ระดับภารกิจ: 5 ดาว][จากเบาะแสที่ถังซานไฉ่รู้มา มีคนวางกับดัก หมายจะลอบทำร้ายเสี่ยวไป๋น้ำเต้าหู้ผู้ซื่อสัตย์เถรตรง ในฐานะมือปราบคนหนึ่งของสำนักมือปราบเทพ สมควรรักษาความปลอดภัยให้ผู้เสียภาษีตามกฎหมาย]
[รางวัลภารกิจ: ค่าประสบการณ์10000 ค่าตบะ1000 สุ่มเพิ่มเลเวลทักษะยุทธ์หนึ่งเลเวล!]
นี่มันเป็นรางวัลภารกิจที่เจ๋งมากเลยนะ!
ค่าประสบการณ์กับค่าตบะยังอธิบายง่ายหน่อย ระดับทักษะยุทธ์ไม่กี่วิชาที่เยี่ยเว่ยหมิงมีตอนนี้ ไม่ว่าจะนำค่าตบะหนึ่งพันแต้มนี้ไปวางคู่กับวิชาไหน ก็เหมือนน้ำหนึ่งแก้วกับรถขนฟืนที่ไฟไหม้[2]
เพียงแต่รางวัล ‘สุ่มเพิ่มเลเวลทักษะยุทธ์หนึ่งวิชาหนึ่งเลเวล’ นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่ว่าจะเพิ่มไปที่ทักษะยุทธ์ไหน ก็เทียบเท่ากับค่าตบะหลายพันแต้มแล้ว!
ขณะกำลังตื่นเต้นดีใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็กดรับเสียเลย จากนั้นก็ยืดไหล่พูดกับถังซานไฉ่ด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ทุกคนขึ้นเรือลำเดียวกันเดียว บอกเบาะแสภารกิจให้ข้ารู้สักหน่อยได้ไหม”
ตอนนี้สีหน้าของถังซานไฉ่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกแล้ว
ภารกิจคุ้มครองเสี่ยวไป๋นี้ เห็นได้ชัดว่าต้องทำภารกิจย่อยหลายอย่างให้สำเร็จก่อนถึงจะปลดล็อกภารกิจลับได้ แต่ไม่น่าเชื่อเยี่ยเว่ยหมิงแค่ทำตัวง่ายๆ ก็ได้แชร์ภารกิจกันแล้ว ทั้งยังไม่ได้ขออนุญาตจากคนที่ต้องปลดล็อกภารกิจลับอย่างเขาด้วย
แล้วจะไม่ให้เขากังวลสงสัยได้อย่างไร
ไม่กังวลว่าจะน้อยหรือมาก แต่กังวลว่าจะไม่ยุติธรรม!
แม้จะรู้ว่าเมื่อเยี่ยเว่ยหมิงเข้าร่วมภารกิจแล้วไม่ได้ทำให้รางวัลภารกิจของเขาน้อยลง ตรงกันข้าม กลับมียอดฝีมือเพิ่มมาคนหนึ่ง ทำให้ภารกิจของตัวเองสำเร็จได้อย่างราบรื่นกว่าเดิม แต่สำหรับผลลัพธ์อย่างนี้ ถังซานไฉ่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจมากอยู่ดี
ในเมื่อเป็นยอดฝีมือได้ ถังซานไฉ่ก็เป็นคนที่รู้จักยึดมั่นและรู้จักปล่อยวางเช่นกัน หลังจากรู้สึกเซ็งนิดหน่อย ก็แสร้งแสดงออกว่ายินดีต้อนรับเยี่ยเว่ยหมิง ตอนนี้เสี่ยวไป๋หาบตะกร้ากลับมา ส่วนอาหวงที่ถูกเยี่ยเว่ยหมิงซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ก็เดินส่ายก้นตามมาแล้วเช่นกัน
พวกเขาสามคนเดินทางไปยังหมู่บ้านตู้คังต่อ ระหว่างนั้นถังซานไฉ่เริ่มอธิบายถึงสถานการณ์ของภารกิจ “ก่อนหน้านี้ข้าก็อาศัยทำภารกิจอื่นเหมือนกัน ก็เลยพบเบาะแสว่ามีคนจะลอบทำร้ายพี่ใหญ่เสี่ยวไป๋ ได้ยินว่าเป็นศัตรูในอดีตของเขา อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้พี่ใหญ่เสี่ยวไป๋ขายน้ำเต้าหู้เลี้ยงชีพอยู่ที่เมืองลั่วหยาง จึงวางแผนชั่วร้าย ว่าจะล่อเขาออกมาจากเมืองแล้วค่อยลอบทำร้าย”
“พอดีว่าจ้าวหยวนวั่ย เศรษฐีหมู่บ้านโบตั๋นเพิ่งได้หลานชายมาคนหนึ่ง กำลังเตรียมจะจัดงานฉลอง ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายใช้วิธีการอะไร จ้าวหยวนวั่ยระบุชื่อว่าต้องการให้พี่ใหญ่เสี่ยวไป๋ไปส่งน้ำเต้าหู้ ตอนที่ข้าไปหาพี่ใหญ่เสี่ยวไป๋ เขาได้รับเงินมัดจำของอีกฝ่ายไว้แล้ว จะไม่ไปก็ไม่ได้…”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้าน้อยๆ “พูดง่ายๆ ก็คือ จ้าวหยวนวั่ยรวยมาก มีหลานคนหนึ่งถือกำเนิด…อะไรประมาณนั้น!”
พูดไปได้ครึ่งเดียว เยี่ยเว่ยหมิงพลันปรับสีหน้า แล้วเตือนด้วยเสียงต่ำว่า “เห็นได้ชัดว่าบนทางข้างหน้ามีร่องรอยเคยถูกคนเปลี่ยนแปลงให้สับสน ต้นไม้สองข้างทางคดเคี้ยวไม่เป็นธรรมชาติ ขอเพียงสังเกตให้ละเอียดก็จะพบได้ไม่ยากว่าระหว่างใบไม้บนต้นไม้มีเชือกอยู่ ตรงจุดที่สูงห่างจากพื้นดินสามชุ่น ยังมีเส้นลวดซ่อนอยู่ด้วย”
“กับดักที่สหายซานไฉ่บอก เกรงว่าคงจะเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้!”
[1] อาศัยเนินลงจากหลังลา 借坡下驴 อาศัยเงื่อนไขที่มีประโยชน์เพื่อทำงานของตัวเอง
[2] น้ำหนึ่งแก้วกับรถขนฟืนที่ไฟไหม้ 杯水车薪 อุปมาว่าพลังแตกต่างกันมาก น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ