ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 480 บ้านน้อยทำนองพิณ
ตอนที่ 480 บ้านน้อยทำนองพิณ
เนื้อเพลงที่สตรีชุดแดงผู้นี้ขับร้องเหมือนกับอาปี้ไม่มีผิด เสียงก็หวานน่าหลงใหลเช่นเดียวกัน
ถ้าสาวน้อยหน้าตางดงามสองคนนี้ร้องเพลงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฉากที่งดงามขนาดไหน
แต่ว่าฉากอย่างนั้น เกรงว่าคงข้ามผ่านข้อบังคับของระบบสังคมแบบศักดินาเข้าสู่ยุคใหม่ของมวลมนุษย์แล้วกระมัง…
แต่ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงไม่มีอารมณ์ไปคิดถึงฉากอันงดงามที่มีต้นไม้เขียวกับกำแพงแดงอะไรทั้งนั้น เพราะว่า…
เรือน้อยที่สตรีชุดแดงคนนี้พายมา ความเร็วเหนือกว่าเรือของอาปี้หลายส่วน รอจนเยี่ยเว่ยหมิงเห็นชัด เรือก็อยู่ห่างจากจิวหมัวจื้อที่ดิ้นรนเอาตัวรอดไม่ถึงห้าจั้งแล้ว
ซึ่งตอนนี้อาปี้ก็เห็นผู้ที่มาชัดแล้วเช่นกัน นางบอกว่า “นางคือพี่อาจู”
ที่แท้สาวน้อยคนนี้ก็คืออาจู
ถ้าเป็นแบบนี้…แย่แล้ว!
ในใจนึกอะไรบางอย่างได้ เยี่ยเว่ยหมิงร้อนรนทันที รีบเตือนว่า “แม่นางอาจู อันตราย! พระนั่นไม่ใช่…”
ไม่อย่างนั้นจะบอกหรือว่าทักษะการว่ายน้ำของเยี่ยเว่ยหมิงธรรมดามาก
ตัวอยู่ในน้ำ ถึงอย่างไรก็ไม่อิสระเหมือนอยู่บนบก ไม่เหมือนกับตอนที่พูดกับอาปี้ที่ใช้เสียงเบา เพราะตอนนี้ตะโกนเสียงดังเพราะร้อนใจ กลับทำให้จังหวะการหายใจรวน ไม่ทันระวังสำลักน้ำไปหลายอึก เกือบประสบชะตากรรมเดียวกับจิวหมัวจื้อแล้ว
ยังเป็นอาปี้ที่เห็นว่าท่าไม่ดี จึงดำลงไปในน้ำแล้วช้อนตัวเขาขึ้นมา
ผ่านไปพักใหญ่ เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้ฟื้นตัวกลับมาจากสภาพอ่อนแอที่จมน้ำ ซึ่งตอนนี้อาจูก็ช่วยชีวิตหมัวจื้อขึ้นเรือมาแล้ว
ตอนนี้พระที่เหมือนงูพิษกำลังใช้มือข้างหนึ่งบีบคออาจูไว้ พร้อมมองมาทางเขาด้วยสายตาเยียบเย็น “เจ้าหนู ถ้าเข้าใจสถานการณ์ก็รีบว่ายน้ำมา อย่าเล่นลูกไม้…
…ไม่อย่างนั้น ข้าจะสังหารบ่าวรับใช้ของตระกูลมู่หรงคนนี้เสีย!”
พอได้ยินคำขู่ของจิวหมัวจื้อ อาปี้ที่เพิ่งช้อนตัวเยี่ยเว่ยหมิงขึ้นมาก็รีบหันมามองเขา “คุณชายเยี่ย ท่านต้องหาทางช่วยชีวิตพี่อาจูนะ!”
เนื่องจากทั้งสองอยู่ใกล้กันเกินไป เยี่ยเว่ยหมิงถึงขั้นได้กลิ่นลมหายใจหอมจางๆ ของนาง
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วก่อน จากนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “การช่วยคนจะทำได้ง่ายเหมือนที่พูดหรือ หากข้าสู้ชนะเขา ข้าคงไม่ถึงขั้นคิดแผนพังเรือหรอก”
อย่างไรเสียเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ว่ายน้ำเก่งเหมือนกัน
อาปี้ได้ยินแล้วร้อนใจมาก “เช่นนั้นพี่อาจู…ข้าควรจะทำอย่างไรกับนางล่ะ”
“จะทำอย่างไรได้อีกล่ะ” เยี่ยเว่ยหมิงชักมือกลับมาจากมืออาปี้ จากนั้นกำชับเสียงต่ำ “ข้าอยู่ในน้ำไม่กล้าตะโกนเสียงดัง เจ้าบอกพระรูปนั้นที ว่าอย่าทำร้ายแม่นางอาจู ข้ากำลังจะไปให้จับแต่โดยดี”
อาปี้ได้ยินแล้วอึ้ง จากนั้นก็ซาบซึ้งใจมาก “คุณชายเยี่ย ท่านช่าง…”
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวอย่างเคร่งครัดในคุณธรรมว่า “อย่ามั่วบ่นเป็นยายแก่ ทำตามที่ข้าบอก!”
ท่าทีแน่วแน่แบบนี้ของเยี่ยเว่ยหมิง ทำให้อาปี้ตื้นตันใจแทบบ้า แต่เรื่องด่วนตอนนี้คือช่วยชีวิตอาจู นางทำได้เพียงทำตามที่เยี่ยเว่ยหมิงกำชับเช่นกัน คือตะโกนเสียงดังบอกให้จิวหมัวจื้อรู้
จิวหมัวจื้อได้ยินแล้วหัวเราะหึหึ ตอนนี้ถึงได้ปล่อยมือจากอาจู
แต่เยี่ยเว่ยหมิงจะยอมให้จับแต่โดยดีอย่างนั้นหรือ
เขาเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน เคร่งครัดในคุณธรรม น้ำใจงามไร้ความเห็นแก่ตัวอย่างนั้นหรือ
ใช่ เขาเป็นอย่างนั้น!
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงกับอาปี้ก็ว่ายน้ำกลับมาตรงหน้าเรือน้อยของอาจูแล้ว แต่จิวหมัวจื้อกลับไม่กล้าให้เขาขึ้นเรือทันที แต่ยื่นไม้พายออกมาให้เยี่ยเว่ยหมิงจับแทน หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงทำตามที่บอกแล้ว ถึงได้ตวัดตัวเขาขึ้นมา แล้วปล่อยลมดรรชนีออกมาสองสามจุด จี้สกัดจุดของเยี่ยเว่ยหมิงไว้อีกครั้ง จากนั้นนำเชือกออกมามัดเขาไว้เหมือนบ๊ะจ่าง
ท่าทีของคนชั้นต่ำที่ทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการเหมือนสุนัขกับแมลงวัน เมื่อเทียบกับคนกล้าหาญชาญชัยอย่างเยี่ยเว่ยหมิง ก็ต่างกันเหมือนดวงจันทร์บนฟ้ากับแมงกุดจี่
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงทำถึงขั้นนี้เพื่อคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนอย่างตน อาจูก็ซาบซึ้งใจจนไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร นางจึงถามด้วยน้ำเสียงเหมือนร้องไห้เล็กน้อย “คุณชายเยี่ย ท่านกับข้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เหตุใดท่านต้องเดินเข้าหากับดักเพื่อข้าด้วย”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วยิ้มแห้ง แล้วตอบอย่างตรงไปตรงมามากว่า “แม่นางอาจูไม่เหมือนกับข้า ข้าเป็นผู้เล่น ถ้าตายแล้วก็เสียค่าประสบการณ์ ค่าตบะของ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ นิดหน่อยเอง…
…แต่ถ้าเจ้าถูกพระรูปนี้ฆ่าตาย ต่อให้ถูกรีเฟรชออกมาใหม่ แต่ก็จะลืมเรื่องราวมากมายเช่นกัน”
พูดจบก็ไม่ลืมยิ้มอย่างใจเย็น “ดังนั้น เมื่อเทียบระหว่างข้ากับอาจู ให้ข้าตายจะคุ้มกว่าหน่อย”
“หึ!” เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงเป็นแบบนี้ จิวหมัวจื้อกลับทำเสียงฮึดฮัด “ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ยังไม่ลืมถนอมสาวงาม ช่างคร่ำครึเสียจริง”
ขณะที่กำลังพูด เขาก็ยิงลมดรรชนีออกมาอีก จี้สกัดจุดตรงปากเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงเพียงมองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่ในใจกลับเริ่มคิดถึงแผนการขั้นต่อไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาสละตัวเองเพื่อช่วยอาจู การกระทำนี้ดูเผินๆ เหมือนเขย่าขวัญฟ้าดินให้ความรู้สึกเหมือนเป็นวีรบุรุษ วิ่งเขาหาความตายอย่างสง่างาม
แต่ที่จริงแล้ว…เหลวไหลทั้งนั้น!
เขากำลังคิดจะวิ่งหนีอยู่เลย แต่ปัญหาก็วิ่งมาหาเสียแล้ว?
อย่าไปมองแค่ว่าก่อนหน้านี้จิวหมัวจื้อยังต้องการเอาชีวิตของอาจูมาขู่เยี่ยเว่ยหมิง ขอเพียงเยี่ยเว่ยหมิงเลี้ยวหนี จิวหมัวจื้อก็จะย้อนกลับมาบีบให้อาจูพายเรือไล่ตามเขาอยู่ดี
เดิมทีทั้งสองไม่รู้จักกัน ถ้าเยี่ยเว่ยหมิงไม่สนใจความเป็นความตายของอาจู เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่มีภัยคุกคามถึงชีวิต ยังต้องพูดอีกหรือว่าเขาจะเลือกอย่างไร
ถ้าเยี่ยเว่ยหมิงว่ายน้ำเก่งจริงก็ว่าไปอย่าง แค่ทักษะการว่ายน้ำของเขาก็แค่ลอยตัวอยู่ในเขตน้ำที่ค่อนข้างนิ่งเพื่อไม่ให้จมน้ำตายเท่านั้น
ประการแรกคือว่ายน้ำได้ไม่เร็วเท่าเรือ อีกทั้งอยู่ในน้ำเป็นเวลานานไม่ได้ด้วย
ถ้าอาจูพายเรือไล่ตามมา มีหรือที่จะไล่ตามเขาไม่ทัน?
ส่วนที่บอกว่าจะพังเรือของอาจู นั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องเหลวไหล!
หากพูดถึงการโจมตีระยะไกล ในทักษะที่เยี่ยเว่ยหมิงเรียนตอนนี้ มีเพียงดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ที่ระยะยิงเหนือกว่าดาบเปลวอัคคีของจิวหมัวจื้อ แต่คนที่มีความรู้สึกลึ้งและมากความสามารถอย่างจิวหมัวจื้อ อย่างน้อยก็มีไม่ต่ำกว่าสิบวิธีที่จะสกัดดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้!
รอจนอยู่ในระยะที่ไกลกันแล้ว จิวหมัวจื้อก็ใช้ดาบเปลวอัคคีฟันเขาขาดเป็นสองท่อนได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น หากหนีก็ตายสถานเดียว!
ซึ่งตอนนี้ อย่างน้อยเยี่ยเว่ยหมิงก็ได้รับค่าความรู้สึกดีจำนวนมากจากจากอาจูและอาปี้สำเร็จแล้ว ต่อไปถ้าคิดหาทางหนีออกแล้ว ก็จะขอความช่วยเหลือจากนางได้
เท่ากับว่ามีผู้ช่วยดีๆ ที่คุ้ยเคยกับน้ำและสภาพแวดล้อมแถวนี้เพิ่มมาอีกสองคน!
ดังนั้น…
วิธีการของเยี่ยเว่ยหมิงดูเหมือนเคร่งครัดในคุณธรรม แต่ความจริง…
ก็เคร่งครัดในคุณธรรมนั่นแหละ อย่างน้อยเยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกอย่างนั้น!
……
เรือเล็กน้ำหนักเบาแล่นไปข้างหน้าช้าๆ อยู่กลางน้ำตามไม้พายในมือของสองสาวงาม
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเรือน้อยก็หยุดแล้ว
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงถูกจิวหมัวจื้อดึงเชือกขึ้นมา ถึงได้พบว่าตรงหน้าเป็นเรือนเล็กๆ ริมทะเลสาบ บนป้ายเขียนไว้ว่า ‘ทำนองพิณ’ ด้วยลายมือที่ทั้งอ่อนโยนทั้งสง่างาม
ตอนนี้กลับได้ยินเสียงอาจูบอกว่า “จากหมู่บ้านชานเหอมาที่นี่ ต้องใช้เวลาพายเรือหนึ่งวัน วันนี้ฟ้ามืดแล้ว ไม่สู้เชิญให้ท่านทั้งสองค้างแรมที่เรือนน้อยทำนองพิณดีกว่า พรุ่งนี้เช้าข้าจะพายเรือไปส่งทั้งสองท่านด้วยตนเอง”
“ไม่!” จิวหมัวจื้อที่เคยเสียเปรียบไปครั้งหนึ่ง มีหรือที่จะยอมจำนนง่ายๆ ยืนกรานทันทีว่า “อาตมามาครั้งนี้ก็เพื่อรำลึกถึงท่านผู้เฒ่ามู่หรงปั๋ว คิดถึงสหายเก่า เพียงชั่วครู่เดียวก็รอไม่ได้อีกแล้ว”
อาจูได้ยินแล้วยิ้ม “หากไต้ซือยืนกรานเช่นนี้ พวกเราสองคนก็ไม่กล้าขัดคำสั่งแล้ว”
“เพียงแต่เส้นทางน้ำข้างหน้าสัญจรลำบาก หากไต้ซือยืนกรานจะเดินเรือตอนค่ำ แล้วเรือน้อยชนกับโขดหินขึ้นมา…”
พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ อาจูก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ไม่เป็นไรหรอก! ถึงอย่างไรข้ากับอาปี้ก็ยังว่ายน้ำเป็น ต่อให้ไม่มีเรือแล้ว ก็ไม่ถึงขั้นจมน้ำตาย เช่นนั้นก็ทำตามที่ไต้ซือบอกแล้วกัน พวกเราเดินทางตลอดทั้งคืนก็ได้”
“จู่ๆ อาตมาก็รู้สึกว่าการไปเยือนหมู่บ้านชานเหอกลางดึกถือเป็นการไม่เคารพเจ้าบ้านจริงๆ อย่างที่แม่นางอาจูบอก พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางก็ได้” จิวหมัวจื้อกล่าว
พอได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ชำเลืองจิวหมัวจื้ออย่างดูถูกปราดหนึ่ง
อีกฝ่ายไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด ได้แต่หิ้วเยี่ยเว่ยหมิงเดินเข้าไปในบ้านน้อยทำนองพิณ ขี้ขลาดอย่างสมเหตุสมผลจริงๆ