ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 486 ชี้แนะกลุ่มจอมยุทธ์ให้เคารพกฎหมาย
ตอนที่ 486 ชี้แนะกลุ่มจอมยุทธ์ให้เคารพกฎหมาย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับการเปิดฉากครั้งนี้ เดิมทีเยี่ยเว่ยหมิงอยากจะใช้คำพูดให้เป็นทางการว่า ‘เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไม่พูด’ อะไรทำนองนั้น แต่พอนึกได้ว่าวันนี้ต้องไขคดีในที่เกิดเหตุ ทั้งยังไม่สะดวกจะนำปัญหานี้กลับสำนักมือปราบเทพ ถึงได้แก้ไขคำพูด
เมื่อชายชราที่ถือดาบคนนั้นได้ยินคำพูดนี้ของเยี่ยเว่ยหมิงก็แสยะยิ้มทันที “เรื่องในยุทธภพ ยังไม่ถึงคราวให้สำนักมือปราบเทพของพวกเจ้ามายุ่งหรอกกระมัง”
ขณะที่พูด ชายชราก็ถือดาบล้ำค่าตั้งขวางตรงหน้า ทำท่าเหมือนเตรียมพร้อมลงมือทุกเมื่อ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พอใจกับคำพูดก็ตั้งท่าเตรียมลงมือ อาจูก็เป็นฝ่ายมายืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเว่ยหมิงอย่างให้ความร่วมมือ อีกประเดี๋ยวถ้าเริ่มสู้กัน ตนจะได้ไม่ถูกอีกฝ่ายจับตัวไปเพราะยืนอยู่ห่างจากเยี่ยเว่ยหมิงเกินไป แล้วสุดท้ายกลายเป็นตัวถ่วง
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วพยักหน้าให้นางอย่างเยือกเย็น สีหน้ามั่นใจของเขาส่งอิทธิพลต่อความรู้สึกของอาจูแล้ว ทำให้นางคลายความกังวลลงไม่น้อย
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้หันกลับมา มองคนชั่วที่ถือดาบพร้อมถามอย่างใจเย็น “เจ้าเป็นใคร ฟังดูเหมือนไม่พอใจสำนักมือปราบเทพของพวกเรามาก”
ชายชราคนนั้นได้ยินแล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าคือประมุขค่ายของค่ายสกุลฉินแห่งอวิ๋นโจว เหยาปั๋วตัง!”
ตอนนี้เอง อาจูในฐานะเจ้าของเรือนริมน้ำเป็นฝ่ายเอ่ยก่อนว่า “เลื่อมใสมานาน!”
นี่เป็นคำกล่าวทักทายตามปกติที่ชาวยุทธ์ใช้กัน แต่คาดไม่ถึงว่าเหยาปั๋วตังนั่นกลับมองอาจูด้วยสายตาดูถูก “เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง เลื่อมใสข้ามานานอะไรกัน”
ในสายตาของเขา เห็นได้ชัดว่าอาจูไม่คู่ควรที่จะเคยได้ยินชื่อของเขาด้วยซ้ำ
ตอนนี้หวังอวี่เยียนและอาปี้เดินเข้ามาในโถงใหญ่แล้ว เนื่องจากคนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก่อนหน้านี้ถูกเยี่ยเว่ยหมิงล่อเข้ามา พวกนางจึงไม่เจออุปสรรคอะไรบนทางเดิน
เมื่อได้ยินอาจูถูกบีบให้ยอมแพ้ หวังอวี่เยียนก็อยากจะเอ่ยถึงเบื้องหลังทักษะยุทธ์ของอีกฝ่ายเพื่อกู้หน้าแทนอาจู
แต่กลับคาดไม่ถึง เยี่ยเว่ยหมิงไม่รอให้นางเอ่ยปาก ก็ชิงพูดก่อนแล้วว่า “ที่บอกว่าเลื่อมใสมานาน เป็นคำทักทายตามมารยาทเท่านั้น…
…ที่แม่นางอาจูกล่าวเช่นนี้ ก็เพียงเพราะไว้หน้าเจ้าที่อาวุโสกว่าเท่านั้น…
…แต่เจ้าเองมีบันไดให้ลงกลับไม่ลง มีคนไว้หน้ากลับไม่รับ! ข้าไม่กลัวที่จะบอกให้เจ้ารู้ คนไร้นามอย่างเจ้าน่ะ ชื่อที่เจ้าบอกมา ข้าไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ!”
ชายชราได้ยินแล้วเดือดดาลทันที “เจ้าเด็กนี่ พูดอะไรของเจ้า คิดว่าดาบของข้าไม่คมอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วแสยะยิ้ม “ข้าเดิมพันได้เลยว่าในดาบของเจ้าไม่มีลูกกระสุน!”
เหยาปั๋วตัง “?”
อาจู “?”
หวังอวี่เยียน “?”
คนอื่น “?”
……
ทุกคนประหลาดใจกับคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าการอวดเก่งของตัวเองมีปัญหา จึงรีบเปลี่ยนคำทันที “ข้าเดิมพันได้เลยว่าดาบของเจ้าไม่คม!”
“ไอ้เด็กนี่รนหาที่ตาย!” ครั้งนี้เหยาปั๋วตังฟังออกแล้ว ที่แท้เยี่ยเว่ยหมิงก็กำลังดูถูกเขาอยู่
เขาโมโหจนทนไม่ไหว ชูดาบหัวผีของตัวเองขึ้นมาพร้อมเสียงลมแรงระคายหู ฟันดาบลงมากลางศีรษะของเยี่ยเว่ยหมิง
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วก็แค่ยิ้มเย้ย พอขยับเท้าไปทางซ้ายครึ่งก้าวเบาๆ ก็หลบดาบที่ดูเหมือนดุดันแต่ความจริงมีช่องโหว่นับร้อยได้สบาย
ตอนที่คมดาบของอีกฝ่ายเฉียดผ่านร่างกายของเขา มือซ้ายก็พลันดีดนิ้วหนึ่งที ดีดบนสันดาบของอีกฝ่าย
แกร๊ง!
เหยาปั๋วตังนั่นอย่างมากก็เลเวลประมาณสี่สิบ เทียบกับหยางคังไม่ติดด้วยซ้ำ มีหรือที่จะต้านวิชาดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ของเยี่ยเว่ยหมิงไหว
ภายใต้การโจมตีครั้งเดียว เหยาปั๋วตังรู้สึกได้ทันทีถึงแรงชนมหาศาลบนตัวดาบ ราวกับชนสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์บางชนิดเข้าแล้ว
จับดาบไม่แน่นพอ ไม่น่าเชื่อว่าดาบล้ำค่าจะหลุดมือกระเด็นไปแล้ว ดาบกระเด็นผ่านตัวลูกน้องสองคนของเขาไปตอกบนไม้กระดานข้างหลัง ตัวดาบสั่นเบาๆ พร้อมส่งเสียงสะอื้นอยู่พักหนึ่ง
เหยาปั๋วตังเห็นแล้วตกใจมาก แต่ตอนนี้มือขวาของเยี่ยเว่ยหมิงกดอยู่บนบ่าขวาของเขาแล้ว ไม่รอให้เขารู้ตัว เยี่ยเว่ยหมิงดึงกำลังภายในออกมาเบาๆ เสียงมังกรคำรามดังก้องทั้งห้องโถงรับแขก
มังกรซ่อนกบดาน!
-5085
ประการแรก เยี่ยเว่ยหมิงไม่อยากนำพาปัญหาของสกุลมู่หรงไปถึงสำนักมือปราบเทพเพราะลงมือฆ่าคน
ประการต่อมา เป็นเพราะไม่อยากพังบ้านของอาจู ดังนั้นการโจมตีด้วยฝ่ามือนี้เขาจึงใช้พลังเพียงสองส่วนเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยพลังโจมตีในปัจจุบันของเขา ถ้าฟาดฝ่ามือด้วยพลังสิบส่วน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหยาปั๋วตังมีโอกาสตายคาที่ เกรงว่าแม้แต่ไม้กระดานในโถงนี้ก็จะพังเป็นโพรงใหญ่ด้วยเช่นกัน
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ฝ่ามือนี้ของเขาก็ยังหนักแน่นดุจขุนเขาสำหรับเหยาปั๋วตัง อีกฝ่ายไม่มีความสามารถในการต้านทานใดๆ ถูกตบล้มลงพื้นทันที เหมือนตัวเรือดที่โดนตบอัดกำแพง
“ประมุขค่าย!”
เมื่อเห็นเหยาปั๋วตังถูกโจมตี ลูกสมุนค่ายสกุลฉินยี่สิบกว่าคนที่เขาพามาด้วยก็เดือดดาลทันที ต่างคนต่างเรียกอาวุธออกมา เตรียมจะสับร่างเยี่ยเว่ยหมิงไม่ขาดเป็นท่อนๆ!
ทว่า ขนาดประมุขค่ายอย่างเหยาปั๋วตังยังทนการโจมตีจากเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว แล้วนับประสาอะไรกับปลาตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเขา
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วยิ้มบางๆ วาดฝ่ามือออกมาในแนวขวางอย่างไม่รีบร้อน แต่กลับก่อตัวเป็นปราการมั่นคงรูปครึ่งวงกลมตรงที่ว่างข้างหน้าตนและคนพวกนั้น กั้นเขาออกจากลูกสมุนพวกนี้โดยสมบูรณ์
มังกรผงาดกลางทุ่ง!
หลังจากสั่งสอนเหยาปั๋วตังที่เข้ามาท้าทายคนแรก เยี่ยเว่ยหมิงก็เอาสองมือไพล่หลังอย่างสงบนิ่ง แล้วกวาดสายตามองบนตัวพวกเขาทีละคน พร้อมถามอย่างลำพองใจ “ตอนนี้ก็คุยกันดีๆ ได้แล้วใช่ไหม”
เมื่อเจอสไตล์การทำงานของเยี่ยเว่ยหมิงที่พอพูดไม่เข้าหูก็โจมตีให้สยบก่อนแล้วค่อยใช้เหตุผล คนที่อยู่ในห้องก็เงียบกริบเหมือนจั๊กจั่นหน้าหนาว!
ความลำพองใจเหมือนก่อนหน้านี้ยังจะเหลืออยู่อีกหรือ
ตอนนี้เอง กลับเห็นชายวัยกลางคนที่สวมเครื่องแบบสำนักชิงเฉิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกุมหมัดคารวะเยี่ยเว่ยหมิง “ใต้เท้าเยี่ย! ที่พวกเรามาครั้งนี้ ที่จริงเป็นเพราะมีญาติตายด้วยสุดยอดวิชาของตัวเอง ถึงได้มาขอคำอธิบายจากสกุลมู่หรงแห่งกูซู ผู้ที่มีวิชายืมพลังฟาดพลัง หวังว่าใต้เท้าเยี่ยจะตรวจสอบให้ชัดเจน”
ไม่อย่างนั้นจะบอกให้คุยกันด้วยเหตุผลไปทำไมล่ะ
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงโน้มน้าวด้วยกำลังอย่างง่ายๆ คนพวกนี้ก็พูดจาสุภาพขึ้นเยอะ
ฝึกจิต ทำให้เจ้าพูดคุยกับคนอื่นด้วยใจที่สงบได้
ฝึกร่างกาย ทำให้คนอื่นพูดคุยกับเจ้าด้วยใจที่สงบได้
เยี่ยเว่ยหมิงหันไปมองชายวัยกลางคนที่กำลังพูด แล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เจ้าคือลูกศิษย์ของสำนักชิงเฉิง?”
ชายวัยกลางคนรีบกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ผู้น้อยซือหม่าหลินจากสำนักชิงเฉิงขอรับ”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล ข้ากับหลินผิงจื่อ เจ้าสำนักชิงเฉิงพอจะรู้จักกันอยู่บ้าง ขอเพียงเจ้าไม่ไร้มารยาทเหมือนเหยาปั๋วตัง ข้าก็จะไม่ทำอะไรเจ้า”
ซือหม่าหลินย่อมฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิง ถ้าเขากล้าไร้มารยาทเหมือนเหยาปั๋วตังจริงๆ คงโดนซ้อมหนึ่งยกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!
ตอนนี้กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดต่อว่า “ญาติของพวกเจ้าตายเพราะสุดยอดวิชาที่ขึ้นชื่อของตัวเอง จะสงสัยสกุลมู่หรงแห่งกูซูก็พอเข้าใจได้…
…แต่การสงสัยก็เป็นเพียงการสงสัย กลายเป็นหลักฐานให้พวกเจ้ายืนยันตัวคนร้ายไม่ได้ ยิ่งไม่ใช่เหตุผลที่จะมาก่อกวนถึงประตูบ้านคนอื่นด้วย!…
…หากพวกเจ้าอยากจะไปถามความจริงกับสกุลมู่หรงแห่งกูซู ก็ไปหามู่หรงฟู่ได้เลย มาอวดอ้างบารมีกับสตรีที่ไม่เข้าใจทักษะยุทธ์ ถือว่ามีความสามารถอะไรกัน”
ตอนที่กำลังพูด สายตาก็กวาดมองไปยังเหยาปั๋วตังที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้น “ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร แต่เจ้าคิดว่านางจะรู้คำตอบที่พวกเจ้าต้องการหรือ…
…เรื่องที่พวกเจ้าเข่นฆ่ากันในยุทธภพ หลังจากกลับบ้านไปแล้วจะเล่าให้สาวใช้ในบ้านตัวเองฟังอย่างนั้นหรือ”
“ที่จริงที่พวกเรามาวันนี้ ก็เพราะจะมาถามมู่หรงฟู่ให้รู้ชัดกันไปเลย” ซือหม่าหลินรีบตอบ
“ตอนนี้คุณชายเพิ่งออกไปข้างนอก ไม่ได้อยู่บ้านเจ้าค่ะ” อาจูที่อยู่ข้างๆ ตอบ
“พวกเจ้าก็ได้ยินแล้วใช่ไหม” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “ตอนนี้มู่หรงฟู่ไม่อยู่บ้าน วันหลังพวกเจ้าค่อยมาใหม่ หรือไม่ก็ไปหาเขาที่อื่น อย่างไรเสีย ถ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร”
หลังจากเหยาปั๋วตังถูกฝ่ามือของเยี่ยเว่ยหมิงตบ ก็ถ่อมตัวขึ้นเยอะ แต่ก็ยังกล่าวเสียงต่ำอย่างไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นที่พวกเรามากันเยอะขนาดนี้ก็เสียเที่ยวน่ะสิ”
“ก็ไม่เสียเที่ยวหรอก” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “อย่างน้อยพวกเจ้าก็ได้ข่าวที่มีประโยชน์หนึ่งเรื่องแล้ว นั่นก็คือวันนี้มู่หรงฟู่ไม่อยู่บ้าน”
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงมีท่าทีแบบนี้ เหยาปั๋วตังกับซือหม่าหลินแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็กลัวเขาใช้กำลัง จึงไม่กล้าประมาทแล้ว
ทำได้เพียงกุมหมัดคารวะเขาอย่างกล้ำกลืน แล้วเตรียมตัวจะนำคนจากไป
“ช้าก่อน”
พอเยี่ยเว่ยหมิงเรียก คนสองกลุ่มนี้ก็เริ่มเครียดทันที ซือหม่าหลินที่พอจะผูกสัมพันธ์กับเยี่ยเว่ยหมิงอยู่บ้างแข็งใจถามว่า “ใต้เท้าเยี่ยยังมีอะไรจะกำชับหรือครับ”
“ก็ไม่มีอะไร แค่จะเตือนพวกเจ้าสักสองสามเรื่องเท่านั้น” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
“ประการแรก นอกจากลักษณะแผลของผู้ตายแล้ว พวกเจ้าก็ไม่มีหลักฐานอื่นมายืนยันว่าญาติของพวกเจ้าตายด้วยน้ำมือคนของสกุลมู่หรงแห่งกูซู…
…ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ สมมติว่าฆาตกรเป็นคนของสกุลมู่หรงแห่งกูซูจริงๆ หากเขากลัวคนอื่นจะรู้ ก็ย่อมใช้วิธีการอื่นฆ่าคนอยู่แล้ว แต่หากไม่กลัวคนอื่นรู้ เหตุใดจึงไม่ยอมรับล่ะ…
…ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ ทางที่ดีก็คิดเสียว่าเขามีโอกาสเป็นผู้ร้าย ไม่ใช่ไปยืนยันว่าเขาเป็นผู้ร้าย…
…ที่ข้าพูดแบบนี้ ไม่ใช่เพื่อออกหน้าแทนแม่นางอาจูเท่านั้น ข้าทำไปเพื่อช่วยพวกเจ้าด้วย จะได้ไม่ถูกคนอื่นหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นผูกความแค้นกับสกุลมู่หรงโดยไม่จำเป็น”
ทั้งสองได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าที่เยี่ยเว่ยหมิงพูดมีเหตุผล แต่ก็แตกต่างกับสิ่งที่พวกเขารับรู้มาก่อนหน้านี้อยู่บ้าง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี
ตอนนี้กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดต่อว่า “นอกจากนี้ ก่อนที่พวกเจ้าจะเจอหลักฐานที่เชื่อถือได้ ทางที่ดีอย่ามารบกวนชีวิตที่เงียบสงบของแม่นางอาจูอีก ไม่อย่างนั้น…หึหึ!”
ทั้งสองไม่กล้าแม้แต่จะพูดด้วยซ้ำ
เยี่ยเว่ยหมิงเตือนเรื่องที่สามต่อ “สุดท้ายนี้ข้าต้องการจะบอกว่า หากพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ก็อย่าแต่ต้องของของแม่นางอาจูโดยพละการ แบบนี้เข้าข่ายลักขโมย…
…แม้แม่นางอาจูจะไม่อยากเอาเรื่องพวกเจ้าต่อ แต่สิ่งที่ควรชดเชยก็เลี่ยงไม่ได้”
พูดจบก็หันไปพูดกับอาจูอีก “แม่นางอาจู ประเมินราคาน้ำค้างดอกไม้ที่ถูกทำลายมา ข้าจะให้พวกเขาชดใช้”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึงเรื่องชดใช้อีกครั้ง นางก็อดยิ้มไม่ได้ นางส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมบอกว่า “น้ำค้างดอกไม้เหล่านั้น ข้าทุ่มกำลังความคิดไปไม่น้อยเพื่อทำขึ้นมา ไม่ใช่สิ่งที่เงินซื้อได้ค่ะ…
…ในเมื่อเรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิด ข้าว่าปล่อยผ่านดีกว่า”
“จะทำแบบนั้นได้อย่างไร” กับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงมีท่าทีแน่วแน่เป็นพิเศษ “ที่ให้พวกเขาชดเชยเป็นเงิน ก็เพราะต้องการให้พวกเขารับผิดชอบต่อความเสียหายในขอบเขตที่พวกเขาทำได้ เงินจะมากหรือน้อยเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญก็คือความผิดพลาดที่ตัวเองก่อขึ้นนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย…
…ถ้าปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ก็เท่ากับว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก่อเรื่องโดยไม่ต้องลงทุนอะไร ในภายหลังเรื่องทำนองนี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างอุกอาจมากขึ้นเรื่อยๆ…
…ถ้าทุกคนเป็นแบบนี้กันหมด เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้า โลกเราจะมีสภาพเป็นแบบไหน”
คำพูดของเยี่ยเว่ยหมิง เดิมทีก็เป็นเหตุผลที่ธรรมดาเข้าใจง่ายอยู่แล้ว ก็เหมือนฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่ใช่ว่าฆ่าคนร้ายตายแล้ว เหยื่อที่ตายแล้วจะฟื้นกลับมาได้ แต่การลงโทษคนร้าย กลับทวงความยุติธรรมให้คนตายได้ ทั้งยังทำให้คนอื่นได้เห็นจุดจบของการฝ่าฝืนกฎหมายด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าเอาเยี่ยงอย่างง่ายๆ อีก
นี่ต่างหากคือบทบาทที่ใหญ่ที่สุดของระบบกฎหมาย
อาจูได้ยินแล้วไม่ดื้อดึงอีก นางบอกราคาที่ตัวเองคิดว่าสมเหตุสมผลทันที หลังจากเหยาปั๋วตังกับซือหม่าหลินยอมจ่ายเงินชดใช้แต่โดยดีก็พาลูกน้องออกไปจากเรือนหอมริมน้ำอย่างหน้าม่อยคอตก
หวังอวี่เยียนพลันก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายเยี่ย อิงตามกฎสูงสุดของธรรมชาติ ในเมื่อเจ้าช่วยอาจูแก้ไขปัญหา ข้าก็ควรตอบแทนด้วยการชี้แนะทักษะยุทธ์ประเภทสุดยอดวิชาของท่านให้หนึ่งวิชา…
…ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ย อยากจะเพิ่มระดับของวิชาไหน”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วยิ้ม หันไปตอบหวังอวี่เยียนว่า “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนแม่นางหวังแล้ว ข้าอยาก…”
ทว่า เยี่ยเว่ยหมิงยังไม่ทันพูดจบประโยค ข้างนอกกลับมีเสียงที่ทำให้คนหงุดหงิดมาก “ไม่ได้ ไม่ได้!…”
พอสิ้นเสียง ‘ไม่ได้’ ก็เห็นเงาคนคนหนึ่งเดินยืดอกเชิดหน้าเข้ามาในโถงใหญ่ทันที
ชายวัยกลางคนคนนี้หน้าตาอัปลักษณ์เป็นพิเศษ แต่ลึกๆ แล้วกลับเผยให้เห็นความมั่นใจในตัวเองแบบที่คนอื่นเข้าใจได้ยาก หลังจากเข้าบ้านมาแล้วเขาก็ชำเลืองเยี่ยเว่ยหมิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ก่อนที่เจ้าหนุ่มนี่จะยื่นมือช่วยเหลือ เดิมทีจุดประสงค์ของเขาก็คือให้แม่นางหวังชี้แนะทักษะยุทธ์อยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับมาพูดอีกว่า ‘รบกวนแม่นางหวังด้วย’ เป็นคนจอมปลอมจริงๆ จอมปลอมมาก!”
เยี่ยเว่ยหมิงโดนอีกฝ่ายพูดเปิดโปงท่ามกลางฝูงชน แต่ก็ไม่ได้โกรธ เขามองหวังอวี่เยียนต่อ รอให้อีกฝ่ายชี้แนะ
คำพูดตามมารยาทแบบนี้ทุกคนล้วนเข้าใจ รู้ใจกันแต่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้นเอง ถ้ามีคนพูดเปิดโปงแบบนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ว่าคนอื่นจอมปลอม จะแสดงว่าคนพูดเองต่างหากที่มีคุณสมบัติต่ำ
เยี่ยเว่ยหมิงเคยอ่านกลยุทธ์ของปู้คุยมาแล้ว ย่อมเดาตัวตนของคนคนนี้ได้ไม่ยาก เป็นจอมเสียดสีอันดับหนึ่งในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า เปาปู้ถง
สำหรับคนจอมเสียดสีคนนี้ วิธีการรับมือที่ดีที่สุดก็คือไม่สนใจ ไม่อย่างนั้นยิ่งเจ้าเถียงกับเขา เขาก็ยิ่งเหยียบจมูกขึ้นหน้ามาลามปาม
ทว่า ต่อให้เยี่ยเว่ยหมิงไม่อยากสนใจจอมเสียดสี แต่อีกฝ่ายกลับพูดต่ออย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น “ขี้ข้าในราชสำนักอย่างเจ้า เห็นข้าที่เป็นผู้อาวุโสในยุทธภพแล้วไม่สนใจ กลับจ้องแต่แม่นางหวังคนเดียว…
…ข้าว่าเจ้ามีเจตนาไม่ซื่อ จ้องอยากได้แม่นางหวัง เจ้ามันชั้นต่ำ!”
“ไม่ใช่!” พอเห็นว่าแม้ตัวเองจะไม่ได้พูดอะไร แต่อีกฝ่ายก็ยังลามปามอยู่ดี ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็อดหันกลับมาไม่ได้ เขายกมุมปากเผยรอยยิ้มอันตราย “ข้าไม่ได้ชั้นต่ำหรอก เจ้าต่างหากที่ปากเสีย”