ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 489 ฟ้าปลอดโปร่ง ฝนหยุดแล้ว
ตอนที่ 489 ฟ้าปลอดโปร่ง ฝนหยุดแล้ว
ตำรากระบี่เล่มสุดท้าย ไม่น่าเชื่อว่าจะตกอยู่ในมือน้องดาบ?
ถ้าคิดดูคร่าวๆ น้องดาบกับเยี่ยเว่ยหมิงเป็นทั้งสหายทั้งศัตรูกัน แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับมองนางเป็นสหายมาตลอด
ในเมื่อทุกคนเป็นสหายกัน ก็ต้องเลือกปฏิบัติไม่ได้อยู่แล้ว
ดังนั้น ทันทีที่เยี่ยเว่ยหมิงฟังประกาศระบบจบ เขาก็ส่งพิราบสื่อสารสามตัวออกไปโดยอิงตามมาตรฐานของหนิวจื้อชุนก่อนหน้านี้
สองฉบับแรกพูดให้สั้นกระชับได้ใจความ บอกอีกฝ่ายว่าเมื่อต้องถูกบีบให้เลือกระวังเผลอเลือกผิด
ส่วนฉบับสุดท้ายเป็นกลยุทธ์โดยละเอียด ให้นางตัดสินใจเลือกข้อแรกก่อน แล้วค่อยหาเวลาอ่านช้าๆ
ครั้งนี้แตกต่างกับครั้งก่อน เพราะเป็นกลยุทธ์โดยละเอียดเกี่ยวกับภารกิจตำรากระบี่ เยี่ยเว่ยหมิงเคยส่งให้หนิวจื้อชุนกับเชิญร่ำสุราไปแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเจอกับความยุ่งยากเรื่องการเรียบเรียงความคิดและใช้ถ้อยคำ
แค่ต้องคัดลอกบทสนทนาก่อนหน้านี้ก็พอแล้ว ดังนั้นจุดหมายสามฉบับนี้จึงถูกทยอยส่งไปอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นไม่ได้หยุดพักเลยสักนิด
คาดว่าตอนนี้น้องดาบน่าจะถูกจิวหมัวจื้อจับตัวไว้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ไม่ได้หวังให้นางตอบกลับข้อความภายในเวลาสั้นๆ นี้ เขาใช้ท่าร่าง ‘ชั่วอึดใจหมื่นลี้’ จนถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ววิ่งตรงฝ่าฝนที่ตกหนักไปยังโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลที่เคยอยู่กับจิวหมัวจื้อก่อนหน้านี้ตามเส้นทางที่ตัวเองจำได้
กลับมาเยือนสถานที่เก่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฐานะกลับไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว
ตอนแรกที่มากับจิวหมัวจื้อ เขาเป็นเพียงคนถูกจับตัวที่ไร้อิสระ ตอนนี้กลับมามีฐานะเป็นขุนนางยศขั้นห้าของสำนักมือปราบเทพแล้ว แม้แต่คนงานและเจ้าของร้านหลังจากได้เห็นการแต่งตัวของเขา ก็มีท่าทีสุภาพเกรงใจกว่าปกติหลายส่วน
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงจองห้องหนึ่งห้อง ก็โคจรวิชาทำให้น้ำบนตัวระเหยจนแห้งก่อน
เมื่อน้ำบนตัวเขาเริ่มแห้งไปทีละจุด เขาก็รู้สึกสดชื่นทันที
ใส่เสื้อผ้าแห้งไว้บนตัวแล้วสบายกว่า!
ขณะกำลังโคจรวิชาเพื่อฟื้นฟูกำลังภายในเงียบๆ เขาก็นำเครื่องเขียนออกมาเพื่อเตรียมจะเขียนอะไรบางอย่าง แต่กลับมีพิราบขาวตัวหนึ่งปรากฏตัวท่ามกลางม่านสายฝนนอกหน้าต่าง จากนั้นก็บินตรงเข้ามาในห้อง เกาะบนหัวไหล่ของเยี่ยเว่ยหมิงที่ร่างกายไม่เปียกน้ำฝนแม้แต่น้อย แล้วสุดท้ายก็หายไป
[มือปราบหน้าเหม็น ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะแบ่งปันข้อมูลสำคัญขนาดนี้ให้ข้าโดยไร้เงื่อนไข ข้าจะจดจำน้ำใจนี้ไว้แล้วกัน]…หนึ่งดาบสามเฉือน
หลังจากเห็นข้อความตอบกลับของน้องดาบ เยี่ยเว่ยหมิงก็อึ้งนิดหน่อย
[มือปราบหน้าเหม็น ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะแบ่งปันข้อมูลสำคัญขนาดนี้ให้ข้าโดยไร้เงื่อนไข ข้าจะจดจำน้ำใจนี้ไว้แล้วกัน]…หนึ่งดาบสามเฉือน
หลังจากเห็นข้อความตอบกลับของน้องดาบ เยี่ยเว่ยหมิงก็อึ้งนิดหน่อย
[หลังจากเจ้าได้ตำรากระบี่ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ แล้ว เจ้าไม่ได้เลือกเรียนทันทีหรือ]…เยี่ยเว่ยหมิง
[ก็ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ ไม่เหมาะกับสไตล์ของข้า ข้าจะเรียนมันไปทำไม…
…ที่จริงแล้วก่อนที่ข้าจะลงมือชิงตำรากระบี่ ข้าก็ถามความเห็นของพี่ชายข้าแล้ว…
…ดังนั้นตอนที่ข้าเพิ่งชิงตำรากระบี่มาได้ ข้าก็นำมันไปแลกกับของที่มีประโยชน์กับตัวเองทันที…
…อยากรู้หรือเปล่าว่าข้าแลกของอะไรมา]…หนึ่งดาบสามเฉือน
[ไม่อยาก!]
เยี่ยเว่ยหมิงตอบไวมาก
ข้าไม่ให้โอกาสเจ้าได้พูดว่า ‘ข้าไม่บอกเจ้าหรอก’ หรอก!
[เจ้าหมอนี่น่าเบื่อจริงๆ ภารกิจทางฝั่งนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว เจ้าเตรียมตัวสักหน่อยเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางไปที่เจิ้นเจียง ไปรับ ‘สุราเพลิงหยกน้ำแข็งลึกลับ’ ที่จั่วปั๋วเยี่ยนช่วยพวกเรากลั่น จะถือโอกาสพาเจ้าไปทำภารกิจวิชากำลังภายในด้วย]…หนึ่งดาบสามเฉือน
[พรุ่งนี้ไม่ได้ ข้ายังต้องเตรียมของบางอย่างก่อน วันมะรืนดีไหม]…เยี่ยเว่ยหมิง
พรุ่งนี้ย่อมไม่ได้อยู่แล้ว เพราะโลงศพคุณภาพดีที่เขาสั่งไว้กับร้านขายโลงศพฉี่หลิง ต้องรอถึงวันมะรืนกว่าจะได้รับสินค้า
ซึ่งเยี่ยเว่ยหมิงก็มีลางสังหรณ์เช่นกันว่าภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่แค่การไปส่งสุราแแล้วได้รับวิชากำลังภายในแน่ ดีไม่ดีอาจจะเจอการเข่นฆ่าต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ เยี่ยเว่ยหมิงถึงขั้นกังวลว่าโลงศพคุณภาพดีที่สั่งทำไว้ก่อนหน้านี้จะน้อยเกินไป ไม่พอใช้งาน!
[เช่นนั้นก็ได้ ตามสะดวกเจ้าแล้วกัน วันมะรืนเจอกัน ไม่เจอไม่กลับ!]…หนึ่งดาบสามเฉือน
เมื่อคุยกันจบแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ย้ายสายตาไปบนเครื่องเขียนตรงหน้าอีกครั้ง เขาฝนหมึกและจุ่มพู่กัน แล้วเริ่มวาดเขียนบนกระดาษทันที
หลังจากผ่านไปพักเดียว ภาพร่างแผ่นหนึ่งที่นับว่าค่อนข้างชัดเจนก็ถูกวาดเสร็จเรียบร้อยด้วยพู่กันของเขา
ทักษะ ‘วรรณกรรม’ เลเวลเก้าไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ แม้วรรณกรรมกับการวาดภาพจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่เป็นผลจากการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกัน สิ่งที่เขาวาดออกมาแม้จะไม่สวยมาก แต่รับรองว่าโหยวโหยวเห็นแล้วเข้าใจแน่นอน
ไม่ถึงขั้นทำให้ภาพแบบกลายเป็นภาพ ‘เดาสิว่าฉันวาดอะไร’
หลังจากเป่าหมึกให้แห้งอย่างพึงพอใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งพิราบสื่อสารให้โหยวโหยวทันที
[คนสวย ฝึก ‘บันทึกลับหลี่ว์กง’ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว]…เยี่ยเว่ยหมิง
[ข้าเพิ่งเริ่มฝึกเอง โลงศพเพิ่มค่าสเตตัสที่เจ้าอยากได้ ตอนนี้ยังทำไม่เสร็จเลย ตอนนี้ทำได้แค่โลงศพง่ายๆ เท่านั้น]…โหยวโหยว
เมื่อเห็นยอดหญิงเลือดเหล็กตอบกลับ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตาเป็นประกายทันที จากนั้นส่งภาพวาดที่เพิ่งวาดเสร็จให้อีกฝ่าย พร้อมแนบข้อความด้วย
[แบบนี้ทำได้หรือเปล่า]…เยี่ยเว่ยหมิง
[ตอนนี้ข้าอยู่ที่ซูโจว วันมะรืนจะไปเจิ้นเจียงแต่เช้า แต่ถ้าเจ้าอยู่ในเมือง พรุ่งนี้ข้าจะไปรับสินค้าที่เจ้าก่อน]…เยี่ยเว่ยหมิง
[เช่นนั้นก็ไปซื้อขายกันที่เจิ้นเจียงแล้วกัน ข้าต้องไปทำภารกิจที่เจิ้นเจียงพอดี ถือโอกาสตอนผ่านทางด้วยก็ได้]…โหยวโหยว
……
ที่เจียงหนานฝนมาไว แต่ก็ไปไวเช่นกัน
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงตอบกลับจดหมายกับโหยวโหยวเสร็จ ฝนด้านนอกก็หยุดสนิทแล้ว เขาหันไปมองนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
มีเพียงต้นไม้ใบหญ้า ถนนบ้านเรือนที่เพิ่งผ่านการชำระล้างจากน้ำฝนที่สีสันสดใสกว่าตอนปกติหลายส่วน ทั้งยังมีสายรุ้งที่ขอบฟ้าด้วย พิสูจน์ว่าเมืองนี้เพิ่งผ่านฝนฤดูใบไม้ผลิมา
ฟ้ากระจ่างแล้ว ฝนผ่านไปแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงเก็บเครื่องเขียนแล้วกวักมือเปิดใช้งาน ‘เขตลับไผ่เขียว’ กระบองไผ่เขียวที่ใช้ท้าสู้ถูกเรียกออกจากกระเป๋า
ก่อนกิจกรรมเทศกาลสารทจีน ต่อให้เยี่ยเว่ยหมิงปะทุพลังแต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ ‘วานรแขนยักษ์’ BOSS เฝ้าด่านที่สองของเขตลับไผ่เขียว แต่เมื่อผ่านภารกิจเทศกาลสารทจีนและการเดินทางมาต้าหลี่จนความสามารถเพิ่มขึ้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
เขาคาดว่าต่อให้สู้กับวานรแขนยักษ์ตัวนั้นอีกครั้ง ก็จะต้องสู้ชนะแน่นอน!
พอใช้พลังจิต เขาก็เข้าไปอยู่ในเขตลับไผ่เขียวที่คุ้นเคย
เมื่อเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ครั้งนี้เยี่ยเว่ยหมิงจึงไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย สังหารลิงเหมือนผ่าฟักหั่นผักตลอดทางจนมาถึงตรงหน้า วานรแขนยักษ์ BOSS เฝ้าด่านที่สอง
[วานรแขนยักษ์]
หนึ่งในสี่พญาวานรของป่าไผ่เขียว เชี่ยวชาญเคล็ดกระบี่
เลเวล: 80
พลังชีวิต: 1000000/1000000
กำลังภายใน: 600000/600000
……
ค่าสเตตัสของวานรแขนยักษ์ยังแข็งแกร่งเหมือนที่ผ่านมา ในฐานะ BOSS เลเวลแปดสิบคนหนึ่ง กลับมีพลังชีวิตกับกำลังภายในน่ากลัวกว่า BOSS ร่างแท้โหมดปกติเลเวลเก้าสิบเสียอีก!
แต่ครั้งนี้เยี่ยเว่ยหมิงไม่หวาดกลัวเลย
หลังจากคนกับลิงใช้กระบี่ทักทายกันแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มใช้ ‘ท่าปลุกปั่นกระบี่’ เหมือนอย่างเคย ขณะหลบกระบี่ไม้ไผ่หักของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแยบยล เขาก็ใช้กระบี่แทงบนคอหอยออกอีกฝ่ายหนึ่งที
-53078!
ภายใต้กระบี่นี้ ทำให้เกิดคริติคอลดาเมจสูงถึงห้าหมื่นกว่า นี่ก็คือศักยภาพในปัจจุบันของเยี่ยเว่ยหมิง!
หากถามว่าจะรับมือกับวานรแขนยักษ์ตรงหน้าอย่างไร ประสบการณ์การต่อสู้ของเยี่ยเว่ยหมิงก็เรียกได้ว่าโชกโชนสุดๆ หลังจากใช้ ‘ท่าปลุกปั่นกระบี่’ แล้ว ก็ใช้ ‘ท่ากระเพื่อมกระบี่’ ต่ออย่างชำนาญ
ยังเป็นส่วนผสมที่คุ้ยเคย ยังเป็นรสชาติที่คุ้นเคย
แต่กระบี่ที่ใช้แทงคอเหมือนกัน ตัวเลขดาเมจที่โจมตีได้กลับต่างกับเมื่อก่อนราวฟ้ากับดิน
-63076!
โจมตีสองกระบี่ต่อเนื่อง เยี่ยเว่ยหมิงก็พรากพลังชีวิตจำนวนมหาศาลของวานรแขนยักษ์ไปแล้วเกินหนึ่งส่วนอย่างง่ายดาย
ตอนนี้เอง เขาอาศัยพลังของท่ากระเพื่อมกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า หลังจากกระโดดถึงขีดจำกัดสูงสุด ปลายเท้าซ้ายก็เหยียบบนหลังเท้าขวา ร่างก็ทะยานสูงขึ้นอีกเกือบหนึ่งจั้ง ทำให้อยู่สูงจากพื้นดินสามจั้ง
จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็พลันหมุนตัวกลางอากาศ แล้วพุ่งแนวเฉียงลงมาหาวานรแขนยักษ์ที่อยู่ข้างล่าง
ขณะเดียวกันนี้เอง พลังฝ่ามือที่สะสมไว้ที่มือซ้ายมานานก็ดันออกมาช้าๆ ท่ามกลางขั้นตอนที่เร่งรีบ
เจ้าลิงเหม็น เจ้าเคยได้ยินเรื่องเคล็ดฝ่ามือที่ตกลงมาจากฟ้าหรือเปล่า