ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 552 เก้ากระบี่เดียวดาย
ตอนที่ 552 เก้ากระบี่เดียวดาย
กรรร!
เยี่ยเว่ยหมิงพลันทิ้งกระบี่และใช้ฝ่ามือแทน เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของทั้งสองมาก
เคล็ดฝ่ามือที่ได้ชื่อว่าโหดและดุดันอย่าง ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ในเมื่อถูกกำหนดให้เป็นสุดยอดวิชาได้ แสดงว่าต้องมีจุดที่พิเศษอยู่แล้ว
จุดที่น่ากลัวที่สุดของมันไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพที่ดุดัน แต่เมื่อปล่อยฝ่ามือนี้ออกมา จะทำให้ศัตรูหลบเลี่ยงไม่ได้!
แน่นอน ที่บอกว่า ‘หลบเลี่ยงไม่ได้’ ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว
แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ต้องยอมรับ
นั่นก็คือตอนที่เผชิญหน้ากับ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ถ้าอยากจะหลบคมของมัน ก็ยากกว่าฝืนรับฝ่ามือนี้ไว้ตรงๆ แน่นอน!
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ปกติ จะต้องมีศักยภาพเหนือกว่าผู้ที่ใช้ฝ่ามือนี้ ถึงจะมีหวังว่าจะรับฝ่ามือนี้สำเร็จ
แต่เลี้ยงบาสลงห่วงกับเงาใจภูตที่อยู่ตรงหน้า มีศักยภาพเหนือกว่าเยี่ยเว่ยหมิงอย่างนั้นหรือ
ไม่มีแน่นอน!
หากพวกเขามีศักยภาพนั้น ก็คงไม่ถึงขั้นถูกเยี่ยเว่ยหมิงโจมตีข่มทั้งๆ ที่สู้กันแบบสองรุมหนึ่งอย่างนี้หรอก
ดังนั้น ตอนที่เผชิญหน้ากับ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ทั้งสองนอกจากดันทุรังสู้ ก็ไม่มีหนทางอื่นแก้สถานการณ์เลย
ตอนนี้ทั้งสองราวกับสื่อสารกันทางใจได้ ชักกระบี่ออกมาพร้อมกัน แบ่งฟันดวงตาทั้งคู่ของพลังฝ่ามือรูปมังกร
ทว่ามังกรที่ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ โจมตีออกมาไม่ใช่มังกรที่แท้จริง ภาพมังกรเป็นเพียงอรรถรสที่เกมทำขึ้นมาเพื่อกระตุ้นสายตาของผู้เล่นเท่านั้น
ดังนั้น ตามังกรจึงไม่ใช่จุดอ่อนของมัน!
พอกระบี่คู่กับมังกรสีฟ้าชนกัน ก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นทันที ราวกับมีฟ้าผ่าลงมาบนพื้นราบ เสียงดังก้องอยู่ระหว่างหุบเขาตั้งนานกว่าจะเงียบลง!
และตอนที่เกิดเสียงดังสนั่น ก็คือบททดสอบอันเข้มงวดต่อกำลังภายในของทั้งสองนั่นเอง
ที่ว่ากันว่า ‘เมื่อผู้เชี่ยวชาญลงมือ เดี๋ยวก็รู้ว่าใช่หรือมั่ว’ ก็หมายถึงตอนนี้นี่เอง!
ในระหว่างที่กำลังภายในสามกลุ่มปะทะกันซึ่งๆ หน้า เงาใจภูตก็แสดงออกแย่ที่สุด
น้องสาวคนนี้มีพื้นเพมาจากนิกายเบญจพิษ ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธ์ของสำนักหรือ ‘ตำราลับงูทอง’ ที่ได้มาตอนหลัง ก็ล้วนไม่มีค่าพอให้เรียกว่าวิชากำลังภายในที่แข็งแกร่ง
ดังนั้น การโจมตีของนางทั้งหมดล้วนอาศัยความแปลกประหลาดและความดุร้ายเป็นหลัก ไม่เข้าใกล้คำวิเศษณ์ประเภททรงพลังและยิ่งใหญ่เลย
ตอนนี้ถูกบีบให้ชนกับเยี่ยเว่ยหมิง ก็ไม่ต่างกับการนำจุดด้อยของตัวเองไปโจมตีจุดแข็งของศัตรู
ภายใต้การโจมตี เหนือศีรษะของนางมีตัวเองคริติคอลดาเมจลอยขึ้นมาทันที ‘-5654’ ร่างกระเด็นถอยหลังไปหนึ่งจั้งกว่า
รองลงมาก็คือเลี้ยงบาสลงห่วง เคล็ดกระบี่ของเขาแม้จะได้ชื่อว่าทรงพลัง แต่พื้นฐานวิชากำลังภายในของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลยจริงๆ ตอนที่แทงกระบี่ออกมา บนใบหน้าก็สะท้อนแสงสีม่วงแล้ว
แม้จะถูกฝ่ามือของเยี่ยเว่ยหมิงผลักให้สะเทือนถอยหลังไปสามก้าวเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้เกิดคริติคอลดาเมจ
สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจจริงๆ ก็คือ เคล็ดกระบี่ที่เคยมั่นคงเหมือนสุนัขแก่ตอนเจอกับเคล็ดกระบี่ของเยี่ยเว่ยหมิงก่อนหน้านี้ พอมาเจอกับ ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ กลับสูญเสียความดุดันที่เคยมี ประสิทธิภาพเทียบไม่ติดกับเคล็ดกระบี่ทั่วไป ไม่มีความได้เปรียบแม้แต่น้อยด้วย
เมื่อขาดประสิทธิภาพของท่ากระบี่ ต่อให้พวกเขาจะสู้แบบสองรุมหนึ่ง แต่ก็ยังเสียเปรียบไม่ใช่น้อยๆ
เยี่ยเว่ยหมิงพอเห็นดังนั้น ก็ยิ่งมั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองคาดเดา เขาขยับข้อมืออีกครั้งทันที ผลัก ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ออกไปอีกครั้งอย่างซื่อสัตย์
เลี้ยงบาสลงห่วงจนใจ ทำได้เพียงดันทุรังเหยียดกระบี่ออกมารับอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ วิชากำลังภายในที่ทำให้สีหน้าของเขากลายเป็นสีม่วงก็ไม่ได้ทำให้เขาทรงตัวได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเจอ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ เพิ่มโบนัสประสิทธิภาพอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เขาก็กระเด็นไปไกลหนึ่งจั้งทันที ตอนที่ตกลงข้างกาย เหนือศีรษะก็มีตัวเลขคริติตอลดาเมจที่ทำให้เขารู้สึกจนใจลอยขึ้นมา
-3624
ตัวเลขนี้แม้ไม่สูงมาก ก็เพียงพอที่จะอธิบายความแตกต่างระหว่างทั้งสองคนแล้ว
ถ้าตบอีกหลายๆ ฝ่ามือ เขาอาจจะถึงขั้นตายเพราะสะเทือนพลังฝ่ามือของเยี่ยเว่ยหมิง โดนคริติคอลดาเมจจนกลายเป็นแสงสีขาวไปเลยก็ได้!
ขณะมองสองคนตรงหน้าที่กำลังตึงเครียด เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่ายหน้าอย่างจนใจเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เดิมทีก็อยากจะเห็นการพลิกแพลงที่ยอดเยี่ยมของ ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ให้เยอะกว่านี้สักหน่อย แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าดึงดันจะพุ่งเป้าหมายโจมตีไปที่ตัวสหายของข้า ทำให้ข้าต้องจบการต่อสู้ลวงหน้า เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ…”
พอได้ยินคำว่า ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ จากปากเยี่ยเว่ยหมิง เลี้ยงบาสลงห่วงก็สีหน้าเปลี่ยนทันที “เจ้ารู้ตั้งนานแล้ว?”
“มันเดายากนักหรือ” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ตามอำเภอใจ “เคล็ดกระบี่ของเจ้าดุดันมาก เหมือนจะเอาชนะเคล็ดกระบี่ที่ระดับต่ำกว่าสุดยอดวิชาทั้งหมดของข้าได้ ต่อให้ข้าใช้เคล็ดกระบี่ระดับสุดยอดวิชา แต่ก็ยากที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบด้านกระบวนท่า…
…มีจุดเด่นชัดเจนขนาดนี้ บวกกับเจ้ามีพื้นเพมาจากสำนักหัวซาน จะไม่ให้นึกเชื่อมโยงไปถึง ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ก็คงยาก…”
ในเมื่อเข้าใจแล้วว่าทักษะยุทธ์ที่อีกฝ่ายใช้คือ ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ เยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมลองหาวิธีแก้สถานการณ์เช่นกัน
ซึ่งปัญหานี้ก็ไม่ได้แก้ยากเช่นกัน
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งเรียน ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ ได้สี่กระบวนท่าเท่านั้น หนึ่งในนั้นยังมีที่เคล็ดกระบี่ที่เขาตระหนักรู้ด้วยตัวเอง ส่วน ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ตอนนี้เขาก็เรียนได้เพียงหกท่าเช่นกัน
ดูจากสองจุดนี้ ก็หาข้อสรุปได้ง่ายมาก
สุดยอดวิชาฉบับสมบูรณ์ไม่ใช่ว่าได้มาง่ายๆ ขนาดนั้น!
ดังนั้น ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ของเลี้ยงบาสลงห่วง มีความเป็นไปได้เก้าส่วนว่าเป็นฉบับไม่สมบูรณ์เช่นกัน!
ตอนแรกที่อินปู้คุยเล่าเรื่องยิ้มเย้ยยุทธจักรให้เขาฟัง ก็ย่อมเน้นสุดยอดวิชาอย่าง ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ อยู่แล้ว ดังนั้นเยี่ยเว่ยหมิงจึงไม่เพียงแค่เข้าใจภาพรวมของสุดยอดวิชานี้แล้ว ทั้งยังจำชื่อโดยละเอียดของเก้ากระบี่ได้ด้วย
แม้จะไม่แม่นยำเรื่องลำดับโดยละเอียด แต่เขากลับตัดสินเรื่องบางอย่างได้ นั่นก็คือ ‘ท่าทำลายฝ่ามือ’ ต้องเป็นหนึ่งในสามกระบี่ลำดับหลังสุดของของ ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ มีความเป็นไปได้สูงว่าเลี้ยงบาสลงห่วงยังเรียนไม่ถึง
ถ้าเขาเรียนถึงแล้วจริงๆ จะเป็นอย่างไร
คำถามนี้ง่ายมาก
ก็ค่อยใช้ ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ หยั่งเชิงว่าเขาเคยเรียน ‘ท่าทำลายเกาทัณฑ์’ มาแล้วหรือไม่
เพียงแต่การอนุมานนี้ เกี่ยวข้องกับข้อมูลบางอย่างของเยี่ยเว่ยหมิงเอง เขาจึงไม่พูดมันออกมา
เมื่อเห็นว่าไม่มีความหวังที่จะชนะอีกแล้ว แม้เลี้ยงบาสลงห่วงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังออกคำสั่งทันทีว่า “ภารกิจล้มเหลว พวกเราถอย!”
ที่จริงแล้ว ยอดฝีมืออีกสามคนที่กำลังเผชิญหน้ากับกองหนุนของเยี่ยเว่ยหมิงก็ลำบากเช่นกัน
แม้ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ แต่ระหว่างยอดฝีมือกับยอดฝีมือก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่
ไม่ว่าจะเป็นฉางซิงอวี่หรือเชิญร่ำสุรา สุ่มเลือกมาสักคนก็ไม่มีใครเป็นรองเลี้ยงบาสลงห่วง เวลาพวกเขาต้านทานก็เปลืองแรงมากเช่นกัน
ตอนนี้พอได้ยินคำสั่งถอนทัพ พวกเขาก็ไม่สู้ต่อแล้ว เรียกกำลังคนถอยออกจากหุบเขาทันที
ส่วนทัพหนุนก็ไล่ตามหลังพอเป็นพิธีพักหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาหนีไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อกู้สถานการณ์ ไม่ได้อยากผูกปมแค้นกับอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุด
วิกฤติฉากหนึ่งถูกแก้ไขให้หายไปราวกับล่องหน เยี่ยเว่ยหมิงเดินมาตรงหน้าพวกเชิญร่ำสุรา แล้วกุมหมัดคารวะ “วันนี้ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยเหลือ น้ำใจครั้งนี้ ข้าเยี่ยเว่ยหมิงจดจำไว้แล้ว”
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเชิญร่ำสุราจะตอบอย่างตรงไปตรงมามาก “ไม่ต้องพูดจาเกรงใจแล้ว คิดว่าเจ้าคงสงสัยเหมือนกันว่าทำไมพวกเราถึงยื่นมือช่วย ตอนนี้พวกเราจะออกจากหุบเขาขลุ่ยพิณ หลังจากพวกเจ้าฟื้นฟูค่าสเตตัสแล้ว ก็รีบคุ้มกันส่ง NPC เพื่อจบภารกิจ…
…ถ้ามีอะไรจะคุย รอให้พวกเจ้าทำภารกิจจบก่อนแล้วค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย”
หลังจากเจอเชิญร่ำสุราอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าปริศนาที่ตัวเองยังแก้ไม่ได้ก่อนหน้านี้ จะได้คำตอบจากเขาที่นี่แน่นอน แต่ตอนนี้เขาไม่ยอมบอก เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่รีบเช่นกัน
บนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าบอกว่า “ในใจข้ามีคำถามมากมาย แต่ก็ไม่รีบตอนนี้หรอก ก็อย่างที่สหายเชิญร่ำสุราบอก รอให้พวกเราปฏิบัติภารกิจนี้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน…
…ข้าจะเข้าครัวเตรียมอาหารเลี้ยงขอบคุณด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยเปิดอกคุยกัน”