ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 56 หวงโส่วจุน
ตอนที่ 56 หวงโส่วจุน
ตำราลับที่เยี่ยเว่ยหมิงนำออกมาก็ต้องเป็น ‘ขว้างดาราเหิน’ กับ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ อยู่แล้ว
จากที่เคยคลุกคลีกันอยู่ก่อนหน้านี้ เขาพบว่า NPC คนนี้แม้ภายนอกจะดูลึกลับเหมือนผี แต่ตัวตนก็เหมือนจะไม่เลว ก็เลยเกิดความคิดที่จะให้อีกฝ่ายช่วยประเมินค่าให้เขาสักหน่อย
และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่ได้ฟังความเห็นที่แตกต่างกันบ้างก็ยังดี
บอกว่าประเมินค่าสองเล่ม แต่ความจริงเน้น ‘ขว้างดาราเหิน’ ส่วน ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ก็เป็นสกิลที่เขาอยากฝึกอยู่แต่เดิมแล้ว เพียงแต่ในเมื่อครั้งนี้ได้เอ่ยปากแล้ว เหมือนเวลาเลี้ยงแกะตัวเดียวก็ต้องไล่ตาม เลี้ยงแกะสองตัวก็ปล่อยเลี้ยงอยู่ดี ไม่สู้ปล่อยเลี้ยงไปพร้อมกันเลยดีกว่า
โหยวจิ้นหยิบตำราลับสองเล่มมาจากมือเยี่ยเว่ยหมิงโดยไม่พูดอะไร หลังจากพลิกอ่านเรื่อยเปื่อยครู่เดียว ก็คืนตำราลับให้เยี่ยเว่ยหมิง
“‘ขว้างดาราเหิน’ ไม่เหมาะกับเจ้า”
“เพราะอะไร”
วันนี้โหยวจิ้นคุยง่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อธิบายให้เขาฟังอย่างอดทนมากว่า “‘ขว้างดาราเหิน’ เป็นเพียงทักษะอาวุธลับกระบวนท่าพิเศษ ทำให้โจมตีด้วยอาวุธลับพร้อมกันหลายชิ้นได้ สร้างการโจมตีแบบปกคลุมให้ศัตรู แต่มันกลับเพิ่มระดับความแม่นยำให้อาวุธลับไม่ได้ ถ้าให้คนที่เชี่ยวชาญอาวุธลับเรียน ก็ย่อมเป็นวิธีการโจมตีที่ไม่เลวเลย แต่ว่าเจ้า…”
“ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
อัตราความแม่นยำในการใช้อาวุธลับของตัวเองอนาถขนาดไหน ในใจเยี่ยเว่ยหมิงรู้แจ่มแจ้ง จึงอ้อมประเด็นนี้ไปเสียเลย เปลี่ยนไปถามว่า “เช่นนั้น ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ล่ะ”
“เป็นของดี!”
“เรื่องของเจ้าน่ะ ก่อนหน้านี้เสี่ยวไป๋เขียนจดหมายส่งมาบอกข้าแล้ว บอกว่าเจ้าทักษะไม่แย่” โหยวจิ้นกล่าว
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วก็มีสีหน้ามึนเหม่อ เขาเพิ่งแยกจากไป๋จ่านจีได้ไม่นาน จดหมายของอีกฝ่ายถึงเร็วกว่าเขาอีกหรือ
แล้วก็ยังมีอีก ฉันถามนายเรื่อง ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ มันเกี่ยวอะไรกับไป๋จ่านจีเหรอ
แต่กลับได้ยินโหยวจิ้นพูดต่อว่า “ที่จริง ระดับความล้ำค่าของ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ นี้ ไม่ได้ด้อยกว่าเคล็ดกระบี่ระดับสูงอย่าง ‘กระบี่เร็ววายุคลั่ง’ ของหลินจื้อเพ่ยแม้แต่น้อย ถึงขั้นเหนือกว่าด้วย!”
เยี่ยเว่ยหมิงซักไซ้อย่างไม่เข้าใจ “ในเมื่อ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ยอดเยี่ยมขนาดนั้น เหตุใดหลินจื้อเพ่ยยังต้องสิ้นเปลืองความคิดแย่งชิงตำราลับ ‘กระบี่เร็ววายุคลั่ง’ ของคนอื่นอีก ถึงขั้นไม่เสียดายที่จะเปลี่ยนเคล็ดกระบี่ของตัวเอง”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลักษณะพิเศษของทักษะยุทธ์” โหยวจิ้นเหมือนจะรู้สึกได้เช่นกันว่ารออย่างเดียวค่อนข้างน่าเบื่อ จึงถือโอกาสวิเคราะห์ให้เยี่ยเว่ยหมิงฟังเสียเลย “ไม่ว่าจะเป็นทักษะยุทธ์แขนงใด ก็ล้วนมิอาจใช้คำง่ายๆ อย่าง ‘ดีไม่ดี’ หรือ ‘แกร่งไม่แกร่ง’ มาตัดสินได้ เพราะทักษะยุทธ์ล้วนมีลักษณะเด่น ตอนเลือกต้องระวังจุดนี้เป็นพิเศษ”
โหยวจิ้นชะงักไปครู่เดียว ก่อนจะใช้น้ำเสียงแหบพร่าราวกับถูกทรมานพูดต่อไปว่า “พูดถึง ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ในมือเจ้า ในสายตาข้ามันคือ ‘เคล็ดกระบี่ระดับกลาง’ วิชาหนึ่ง แต่ระดับความล้ำค่าของมันเหนือกว่า ‘เคล็ดกระบี่ระดับสูง’ ด้วยซ้ำ สาเหตุก็เป็นเพราะเอฟเฟ็กต์เสริมที่เป็นรากฐานอันมั่นคง
พูดให้เข้าใจง่ายอีกหน่อยก็คือ ถ้าฝึกเคล็ดกระบี่นี้ก็จะเพิ่มค่าสเตตัสพื้นฐานได้ แม้จะเพิ่มไม่มาก แต่ค่าสเตตัสที่เพิ่มขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อทุกทักษะยุทธ์ที่เจ้าเคยเรียน นี่คือทักษะพิเศษที่มีในกำลังภายในเท่านั้น!
และถ้าพูดถึงประสิทธิภาพ แม้จะสู้พวกเคล็ดกระบี่ประเภทระดับสูงหรือสุดยอดวิชาไม่ได้ แต่ถ้าเทียบกับในระดับเดียวกันก็ไม่ได้อ่อนด้อยเช่นกัน หากจะพูดถึงข้อเสีย มันก็คือวิทยายุทธ์ต้นตำหรับของลัทธิเต๋า ให้ความสำคัญกับลำดับขั้นตอน พอเริ่มฝึกขึ้นมา จะสำเร็จโดยไวนั้นเป็นไปได้ยากแน่นอน
หลินจื้อเพ่ยเพื่อที่จะเพิ่มความสามารถของตัวเองให้ถึงขีดจำกัดสูงสุดภายในเวลาอันสั้น เขาทิ้ง ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เพื่อไปเลือก ‘กระบี่เร็ววายุคลั่ง’ แม้จะฟังดูใจเร็วด่วนได้ไปบ้าง แต่ถ้ายืนอยู่ในมุมของเขา ก็เป็นทางเลือกที่ดีมากเช่นกัน
“แต่สถานการณ์ของเจ้ากลับแตกต่างกัน จะว่าไปแล้ว เคล็ดวิชาที่สะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่าง ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ กลับเหมาะกับเจ้ามากกว่า”
เยี่ยเว่ยหมิงย่อมรู้ว่าโหยวจิ้นกำลังหมายความว่า ‘เวทบรรจุศพ’ ทักษะอักษร ‘ฟ้า’ ของสำนักที่เขามีอยู่นั้น สะสมค่าประสบการณ์ได้ดีกว่าผู้เล่นคนอื่น ดังนั้นข้อเสียใหญ่สุดของเคล็ดวิชานี้ ก็ไม่ได้ยอมรับยากมากสำหรับเขา
ในตอนนี้ ผู้เล่นคนหนึ่งที่สวมชุดชุดเฟยอวี๋เหมือนเยี่ยเว่ยหมิงรีบร้อนวิ่งเข้ามาจากข้างนอก หลังจากเห็นเยี่ยเว่ยหมิงก็อึ้งไปก่อน จากนั้นก็ตวาดอย่างโมโหทันที “เยี่ยเว่ยหมิง เจ้าวางกับดักข้า!”
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้เข้ารอบคนสุดท้ายของสำนักมือปราบเทพที่ตะโกน ‘ข้าจะออกจากสำนัก’ ต่อจากเยี่ยเว่ยหมิง เฟยอวี๋นั่นเอง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระฟัดกระเฟียด ทำท่าเหมือนจะสู้ตายกับตน เยี่ยเว่ยหมิงก็อดถามกลับไม่ได้ว่า “ข้าจะไปวางกับดักเจ้าได้อย่างไร”
“ข้า…”
เฟยอวี๋รู้สึกน้ำท่วมปาก ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
ตอนแรกเยี่ยเว่ยหมิงบอกเขาด้วยเจตนาดีว่าสำนักมือปราบเทพเป็นสำนักจอมหลอกลวง ผลปรากฏว่าเขาไม่เชื่อเอง ทั้งยังแสดงท่าทางเหยียดหยามเยี่ยเว่ยหมิงสุดๆ ด้วย แต่เยี่ยเว่ยหมิงในฐานะที่เป็นชายหนุ่มคนดีที่สามทัศน์ถูกต้อง แม้จะเผชิญกับคำพูดประชดประชัน แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดในการช่วยเด็กหนุ่มที่กำลังจะก้าวพลาดเข้าสู่อันตราย จึงพูดโน้มน้าวต่อไปด้วยความหวังดี
แต่เจ้าหมอนี่มันไม่เชื่อฟังเอง!
แล้วจะมาบ่นใครอีก
เฟยอวี๋ย่อมเข้าใจหลักการเหตุผลที่อยู่ในนั้นเช่นกัน แต่ทุกครั้งที่หวนนึกถึงฉากนั้น เขาก็จะรู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้จะต้องจงใจแน่นอน
เขาจะต้องจงใจแน่นอน!
เจ้าหมอนี่ไม่เพียงแค่วางกับดักตนอย่างโหดร้าย ถึงขั้นทำให้ตนขื่นขมจนพูดไม่ออก เสียเปรียบแต่บอกใครไม่ได้ น่ารังเกียจจริงๆ!
ตอนนี้ซานเย่ว์ที่เฝ้าอยู่หน้าลานบ้านก็ตามเข้ามาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นสองคนเถียงกัน ก็อยากจะเอ่ยปากช่วยพูดสนับสนุนโดยจิตใต้สำนึก ให้เจ้าหนุ่มที่ชื่อว่าเฟยอวี๋ได้รู้สักหน่อยว่าอะไรที่เรียกว่าด่ากราดกลางถนน!
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้นางแสดงความสามารถ โหยวจิ้นก็เอ่ยปากว่า “เอาละ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ในเมื่อคนมากันครบแล้ว พวกเจ้าก็ตามข้าไปหาหวงโส่วจุนเถอะ”
“คนมาครบแล้ว?” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วประหลาดใจ “สำนักเราคงไม่ได้มีผู้เล่นแค่สามคนหรอกมั้ง เปิดเซิร์ฟมานานขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่มาตรฐานผู้เล่นสี่คนก็หาได้ไม่ครบหรือ”
โหยวจิ้นได้ยินดังนั้น ก็กล่าวอย่างขำขัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามาตรฐานของสำนักมือปราบเทพคือผู้เล่นสี่คน”
“ก็ชัดเจนมากไม่ใช่หรือ” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “ในสำนักมีสี่ทักษะพิเศษอย่าง ‘ฟ้า’ ‘ดิน’ ‘คน’ ‘ผี’ ทั้งยังรับซ้ำไม่ได้ด้วย ถ้ารับผู้เล่นห้าคน ท่านจะให้อีกคนเรียนทักษะอะไรล่ะ”
โหยวจิ้นได้ยินแล้วไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับ เพียงเดินนำพวกเขาไปยังโถงรับแขกห้องหนึ่งในลานบ้านใหญ่ “ทุกคนตามข้ามา”
……
เครื่องเรือนในโถงรับแขกจัดวางเรียบง่ายมาก ดูแล้วเหมือนห้องประชุมขนาดเล็ก หน้าโถงไม่มีป้ายอักษร สองฝั่งในโถงวางเก้าอี้ไม้แดงไว้สิบกว่าตัว ระหว่างเก้าอี้ทุกตัวล้วนมีโต๊ะน้ำชากั้น ตรงตำแหน่งกึ่งกลางวางโต๊ะเขียนหนังสือไว้หนึ่งตัว ด้านหลังมีชายที่ดูจากภายนอกน่าจะอายุราวๆ สี่ห้าสิบปีนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งด้วยความสุขุมรอบคอบอย่างสง่างาม กลิ่นอายคนมีการศึกษาเข้มข้นมาก
ดูจากตำแหน่งที่นั่งของชายผู้นี้ก็ตัดสินได้แล้วว่าคนผู้นี้คือหวงโส่วจุนที่จ่านเจาและโหยวจิ้นเอ่ยถึง เพียงแต่ในฐานะที่เป็นผู้นำสูงสุดของสำนักมือปราบเทพ อย่าบอกนะว่าหวงโส่วจุนเป็นขุนนางสายบุ๋น?
แม้จะรู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามา หวงโส่วจุนก็ยังอ่านเนื้อหาที่อยู่ตรงหน้าจนจบ เสร็จแล้วถึงได้พับหนังสือไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วเงยหน้าถามว่า “ทุกคนนั่งลงคุยกันเถอะ”
โหยวจิ้นได้ยินแล้วกุมหมัดคารวะหวงโส่วจุนทันที เสร็จแล้วถึงได้พูดกับผู้เล่นสามคนข้างหลังว่า “เมื่ออยู่ต่อหน้าหวงโส่วจุนไม่ต้องประหม่าเกินไปนัก ทุกคนหาที่นั่งเถอะ”
บรรดาผู้เล่นล้วนเป็นคนยุคปัจจุบัน แล้วก็เข้ามาในโลกนี้ด้วยฐานะของผู้เล่นด้วย แน่นอนว่าในใจไม่เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขุนนางอยู่แล้ว ตอนที่โหยวจิ้นนั่งลงที่โต๊ะตัวแรกฝั่งซ้าย ทั้งสามก็ต่างคนต่างเลือกที่นั่งที่ดูแล้วสบาย
เยี่ยเว่ยหมิงนั่งข้างโหยวจิ้น เฟยอวี๋นั่งที่โต๊ะตัวแรกโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เป็นตำแหน่งตรงข้ามกับโหยวจิ้น ส่วนซานเย่ว์ก็นั่งลงข้างๆ เยี่ยเว่ยหมิงโดยไม่ให้ความสำคัญกับความสมดุลเลย แสดงท่าทีชัดเจนมาก
เพิ่งจะนั่งลง ซานเย่ว์ก็ส่งข้อความส่วนตัวให้เยี่ยเว่ยหมิงแล้ว [หวงโส่วจุนคนนี้ทำไมดูสุภาพเรียบร้อยจัง ดูเหมือนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นธรรมดาคนหนึ่ง เขาจะควบคุมศิษย์ที่ทักษะยุทธ์แข็งแกร่งของสำนักมือปราบเทพไหวหรือ]
เยี่ยเว่ยหมิงตอบว่า [ได้ยินมาว่าฉากหลังของเกมนี้คือโลกที่คล้ายยุคราชวงศ์ซ่งที่ราชสำนักไร้รากฐาน และตามประวัติศาสตร์ ยุคซ่งก็เป็นยุคที่อวยบุ๋นกดบู๊สุดๆ ให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นมาควบคุมขุนนางฝ่ายบู๊ถือเป็นเรื่องปกติมาก ไม่ต้องตื่นตกใจขนาดนั้น]
ซานเย่ว์: [ = ̄ω ̄=]
ตอนนี้ หวงโส่วจุนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งหลักเริ่มเอ่ยว่า “ช่วงนี้สำนักคุ้มภัยฝูเวยที่เมืองฝูโจวเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง มือสังหารโหดเหี้ยมมาก กำเริบเสิบสาน ถึงขั้นว่าใช้โลหิตเขียนตัวอักษร วาดพื้นดินเป็นคุก ข้าสั่งให้พวกเจ้าสามคนไปสืบคดีนี้ด้วยกัน รางวัลภารกิจก็คือกำลังภายในระดับกลางที่ข้าคิดค้นขึ้นเมื่อหลายปีก่อน”
พอพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักเล็กน้อย ขณะผู้เล่นทั้งสามกำลังตกตะลึงที่หวงโส่วจุนผู้สงบเสงี่ยมมีความสามารถในการคิดค้นกำลังภายใน เขาก็กล่าวเสริมอย่างไม่ใส่ใจอีกว่า “บวกค่าสติปัญญาด้วยนะ”