ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 571 แผนที่ครึ่งเดียว
ตอนที่ 571 แผนที่ครึ่งเดียว
ข้อเสนอจากเยี่ยเว่ยหมิงที่ให้ลงคะแนนเสียงตามวิถีประชาธิปไตย ทำให้บรรยากาศตรงนั้นพลันเงียบลงทันที
แต่ในความเงียบนี้ สีหน้าของแต่ละคนแสดงออกแตกต่างกัน
ฉางซิงอวี่สีหน้าเรียบเฉย เชิญร่ำสุราสีหน้ามีเลศนัย ซูไตจื่อกับปีศาจน้อยยุทธภพเผยสีหน้าครุ่นคิด แต่โหยวโหยวกลับมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างสงสัยใคร่รู้ ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว การได้เชยชมสีหน้าของเยี่ยเว่ยหมิงต่อจากนี้มีแรงดึงดูดมากกว่าสมบัติลับในกล่องสมบัติเสียอีก
มีเพียงวั่งเหยียนที่มองกล่องสมบัติและกุญแจตรงหน้าอย่างสับสน
จะว่าไปแล้ว ในนั้นกล่องนั้นใส่อะไรไว้กันแน่
ดูจากกำลังทรัพย์โดยรวมของเพื่อนร่วมทีมพวกนี้ ถ้าอยากประมูลซื้อของสองชิ้นนี้มาไว้ในมือ หากไม่เสนอราคาหนึ่งร้อยเหรียญทองขึ้นไปก็อย่าได้หวังเลยว่าจะได้
ราคานี้จะว่าสูงก็ไม่สูง จะว่าต่ำก็ไม่ต่ำ แต่ก็เป็นจุดที่ทำให้คนทั่วไปคิดวนเวียนหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน
หากเป็นของดี เช่นนั้นก็ไม่ควรพลาดโอกาสที่นานๆ มาทีครั้งนี้เลย
แต่ถ้าเป็นของไร้โยชน์เหมือนซี่โครงไก่ล่ะ?
เช่นนั้นจะไม่ขาดทุนยับหรอกหรือ?
แต่หากยอมแพ้การประมูล ปล่อยให้คนอื่นประมูลกันไป หรือไม่ก็เปิดกล่องสมบัติตรงนี้แล้วค่อยแบ่งของที่อยู่ข้างใน ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะพลาดโอกาสรวย
คิดไม่ตก!
ระหว่างที่คิดไม่ตก วั่งเหยียนก็กวาดมองบนตัวคนอื่นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็พบว่าปีศาจน้อยยุทธภพกับซูไตจื่อมีสีหน้าเหม่อลอยเหมือนกัน ส่วนฉางซิงอวี่สีหน้าเรียบเฉย เชิญร่ำสุราสีหน้ามีเลศนัย
พอมองเห็นสิ่งเหล่านี้ ตรงหน้าวั่งเหยียนก็พลันเกิดแสงสว่าง
เข้าใจแล้ว!
ในบรรดาเพื่อนร่วมทีมเหล่านี้ นอกจากเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว ก็มีแค่เชิญร่ำสุราที่ดูเหมือนฉลาดที่สุด อีกทั้งเมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงกับเขาอยู่ด้วยกัน ก็ให้ความรู้สึกว่าฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
ดังนั้น หากจะมีใครสักคนอ่านเกมของเยี่ยเว่ยหมิงออก คนนั้นก็ต้องเป็นเชิญร่ำสุราแน่นอน!
ซึ่งถ้าดูจากสีหน้าของเขา คาดว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องสมบัติ แม้จะมีโอกาสน้อยที่จะเป็นไอเทมขยะ แต่โอกาสที่มากกว่านั้นกลับเป็นวันที่เกมปิดเซิร์ฟ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นไอเทมพิเศษที่แสดงประโยชน์ได้
ของประเภทนี้ถ้านำไปวางขายในตลาดก็ไม่มีค่าเลยสักนิด สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงยื่นข้อเสนออย่างนั้น ก็แค่อยากหาลูกค้าโง่ๆ สักคนมาซื้อของชิ้นนี้ไป จากนั้นเขาก็จะได้นั่งลงรับส่วนแบ่งอย่างสุขสันต์แล้ว
มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น เชิญร่ำสุราถึงได้มีท่าทางเหมือนรอให้เรื่องนี้ดำเนินไปจนลุล่วง เพราะแบบนี้ก็สอดคล้องกับผลประโยชน์ที่เขาต้องการเช่นกัน!
หลังจากเข้าใจประเด็นสำคัญต่างๆ แล้ว วั่งเหยียนก็เอาเยี่ยงอย่างคนอื่นเช่นกัน เลือกที่จะเงียบงันไม่พูดอะไร
อยากจะหลอกให้ข้าเป็นลูกค้าโง่งั้นหรือ
ไม่มีทางเสียหรอก!
ส่วนซูไตจื่อกับปีศาจน้อยยุทธภพแม้จะไม่ได้สมองดีขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีความเชื่อใจใดๆ เช่นกัน
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นเพื่อนในทีมไม่ตอบ จึงอดพูดเร่งไม่ได้ “ดูจากท่าทางของทุกคนแล้ว เหมือนจะลังเลกับกล่องสมบัติใบนี้อยู่นะ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเดิมพันแล้ว เปิดมันเสียตรงนี้เลย…”
ผลปรากฏว่ายังไม่รอให้เยี่ยเว่ยหมิงพูดจบ โหยวโหยวก็เอ่ยปากก่อนแล้ว “ข้าเสนอห้าร้อยเหรียญทองเพื่อซื้อกล่องสมบัติใบนี้”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วตะลึงยังเห็นได้ชัด แต่ก็ถามทันทีว่า “ต้องการแค่กล่องสมบัติหรือ”
โหยวโหยวพยักหน้า “ข้าต้องการแค่กล่องสมบัติ”
ส่วนเชิญร่ำสุราก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ดังนั้น หากสหายเยี่ยต้องการกุญแจดอกนั้น ก็จะต้องจ่ายห้าร้อยเหรียญทอง ถึงจะไม่ทำให้โหยวโหยวขาดทุน แน่นอนว่าถ้าเจ้าดึงดันจะกดราคาให้ได้ ก็ไม่มีใครไปแย่งกับเจ้าอยู่ดี”
“เช่นนั้นห้าร้อยก็แล้วกัน”
ที่จริงแล้ว อาศัยระดับความเข้าใจที่เยี่ยเว่ยหมิงและเชิญร่ำสุรามีต่อเกมนี้ ก็เดาไม่ออกอยู่ดีว่าของที่อยู่ในกล่องสมบัติคืออะไรกันแน่
อย่างไรเสียของประเภทนี้ ก่อนที่จะเปิดก็มีสภาพคลุมเครือเหมือนแมวของชเรอดิงเงอร์อยู่แล้ว แต่เนื่องจากหนึ่งในนั้นเป็นไอเทมดรอปจาก BOSS เลเวลหนึ่งร้อย คาดว่าของในนั้นคงไม่ใช่ขยะแน่นอน
มีโอกาสเล็กน้อยว่าในนั้นจะเป็นอุปกรณ์หรือตำราลับ มีโอกาสมากว่าจะเป็นไอเทมภารกิจที่อาจยังใช้งานไม่ได้
ดังนั้นสำหรับทั้งสอง หนึ่งพันเหรียญทองนี้ก็คือราคาในอุดมคติที่พวกเขามีต่อของเล่นนี้ชิ้นนี้ร่วมกัน เยี่ยเว่ยหมิงคิดว่าจะเดิมพันเล่นเฉยๆ ที่จริงไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น นอกเหนือจากนี้วั่งเหยียนจินตนาการไปเองทั้งนั้น
ไอเทมดรอปจาก BOSS เลเวลหนึ่งร้อย ถ้าจะบอกว่ามีราคาหนึ่งพันเหรียญทอง ในสายตาของวั่งเหยียนมันคือสิ่งที่ต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง แต่ในสายตาของเยี่ยเว่ยหมิงและเชิญร่ำสุรา ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แค่เล่นเอาสนุกก็พอ ขอเพียงไม่ขาดทุนชัดเจนเกินไป ก็ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อยมากขนาดนั้น
ระดับความสูงที่พวกเขายืนอยู่ไม่เท่ากัน ทำให้เกิดทัศนคติที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินเช่นกัน
ถ้าพูดให้ตรงไปตรงมากว่านั้นก็คือ ทุกคนเลเวลต่างกัน!
การอนุมานของวั่งเหยียนจะบอกว่าไม่มีเหตุผลก็ไม่ได้ แต่การที่เขาเดาความคิดของเยี่ยเว่ยหมิงกับเชิญร่ำสุราโดยยืนอยู่ในมุมของตัวเอง แค่จุดเริ่มต้นก็ผิดแล้ว คำตอบที่ได้ก็ย่อมเป็นคนละเรื่องกับความเป็นจริง
หลังจากถามอีกครั้งและแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครคัดค้าน เยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวนำเงินออกมาคนละห้าร้อยเหรียญทอง แยกบัญชีอีกครั้งตามสัดส่วน จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็นำกล่องสมบัติและกุญแจที่เพิ่งได้มาโยนให้โหยวโหยว “กุญแจกับกล่องสมบัตินี้เห็นได้ชัดว่าเป็นของชุดเดียวกัน ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็จะไม่สมบูรณ์ ข้ามีกุญแจอย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์ มอบให้เจ้าแล้วกัน”
การกระทำของเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวได้ว่าใจกว้าง แต่โหยวโหยวกลับโยนกุญแจคืนให้เขา “ก็อย่างที่เจ้าบอก ตอนนี้ของที่อยู่ในกล่องสมบัติควรจะเป็นทรัพย์สินร่วมกันของพวกเราสองคน ดังนั้นพวกเราควรจะเปิดร่วมกันสิถึงจะถูก”
อีกฝ่ายพูดจนเยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกแปลกนิดหน่อย ตอนนี้เอง เชิญร่ำสุรากลับยืนขึ้นและตบบ่าเยี่ยเว่ยหมิงเบาๆ “สหายเยี่ยคือชายแท้ที่เปิดเผยและโปร่งใสที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา เป็นคนสง่าผ่าเผย เข้มแข็งดุจเหล็กกล้า ในเมื่อเป็นการเดิมพัน เช่นนั้นพวกเราก็ไม่รบกวนการเชยชมสมบัติชิ้นใหญ่ของเจ้ากับโหยวโหยวแล้ว พรุ่งนี้เจอกัน”
พอพูดจบ เขาก็ไม่ให้โอกาสเยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังหน้าเหวอได้โต้เถียงใดๆ เปิดฟังก์ชั่นส่งตัวและออกจากห้องประชุมชั่วคราวทันที
ฉางซิงอวี่เผยรอยยิ้มที่ผู้ชายเข้าใจกันออกมา จากนั้นก็ออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ส่วนคนที่เหลือก็สีหน้าเจ้าเล่ห์ลามกเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครอธิบายอะไรให้เยี่ยเว่ยหมิงฟังสักคน ต่างก็ออกจากห้องประชุมพร้อมสีหน้าประหลาดกันทุกคน
ทิ้งให้เยี่ยเว่ยหมิงอยู่เปิดกล่องสมบัติกับโหยวโหยวด้วยความไม่เข้าใจ
จากนั้นพวกเขาก็พบว่า ในกล่องเหล็กนิลใบนี้ใส่ม้วนหนังแกะไว้ครึ่งแผ่น
[แผนที่ครึ่งแผ่น: แผนที่ลึกลับใบนี้ถูกแบ่งเป็นสองส่วน นี่เป็นเพียงหนึ่งในสองส่วนนั้น ถ้าอยากไขความลับที่อยู่ข้างใน เกรงว่าต้องหาอีกครึ่งหนึ่งของมันให้เจอ]
เป็นของที่แปลกประหลาดจริงๆ!艾琳小說
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าอย่างไม่ค่อยสนใจ ถามหยวโหยวที่อยู่ข้างกายว่า “ของชิ้นนี้จะเก็บไว้ที่เจ้าหรือเก็บไว้ที่ข้า”
“เก็บไว้ที่เจ้าแล้วกัน” เมื่อเห็นแผนที่ครึ่งแผ่น โหยวโหยวก็กล่าวอย่างหมดความสนใจเช่นกัน “ทีแรกนึกว่าจะซ่อนเบาะแสโดยตรงของสมบัติลับไว้ ให้ไปท้าสู้กับ BOSS ใหญ่อะไรทำนองนั้น แต่ผลปรากฏว่าเป็นเบาะแสเครื่องเดียว ไม่มีความหมาย”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอึ้ง “เป็นเพราะเจ้าเดาเช่นนี้ เจ้าถึงได้ดึงดันที่จะเปิดกล่องสมบัตินี้พร้อมข้าอย่างนั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ!” โหยวโหยวพยักหน้าอย่างจริงจัง “ไขปริศนา ตะลุยด่าน เรื่องพวกนี้เจ้าถนัดที่สุด มีแต่ต้องติดตามไปถึงจะมีหลักประกันเรื่องผลประโยชน์ ถ้าข้าได้เบาะแสไปคนเดียว ก็อาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้”
“ขอบคุณที่ชมนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ”
ถ้าเชิญร่ำสุราอยู่ตรงนี้แล้วได้ยินบทสนทนาที่มั่นใจในเหตุผลของเยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยว จะต้องกระอักเลือดแน่นอน
สงสัยคงไม่ใช่เยี่ยเว่ยหมิงที่ตรงไปตรงมาเกินไป แต่เป็นเพราะสองคนนี้มีคุณสมบัติเด่นเหมือนกัน ความสัมพันธ์ที่คลุมเครืออย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าจะซ่อนความจริงที่สะอาดบริสุทธิ์ขนาดนี้เอาไว้!
เรื่องพรรค์นี้ทำให้คนที่ร่างกายบริสุทธิ์เป็นพิเศษอย่างเขารู้สึกอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
จะว่าไปแล้ว พวกเจ้าสองคนเรียนจบจากโรงเรียนอนุบาลแล้วจริงหรือ
……
เมื่อแบ่งของกันเสร็จแล้ว ทุกคนในทีมก็ยุ่งอยู่กับการเปลี่ยนของให้กลายเป็นความสามารถของตัวเอง บางคนก็ต้องฝึกวิชาใหม่ๆ บางคนก็ทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ชิ้นใหม่ ส่วนใหญ่ก็ต่างคนต่างปรับสภาพของตัวเองเพื่อรับประกันว่าในการประลองเดี่ยววันพรุ่งนี้ จะรับคำท้าสู้ด้วยสภาพร่างกายที่ดีที่สุดได้
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิง หลังจากทำพิธีศพบนฟ้าให้ซารุโทบิ จิทสึเก็ทสึด้วยความเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่าแล้ว ก็นำตำราลับตระหนักรู้หลายเล่มที่ได้จากดันเจี้ยนนี้ออกมา แล้วค่อยๆ ดื่มด่ำทีละเล่ม
ในจำนวนนั้น ‘ตระหนักรู้วิชาตัวเบา’ ของซารุโทบิ จิทสึเก็ทสึที่ผ่านโลงไม้หนานมู่และการอ่านศึกษาอย่างละเอียดแล้ว ก็มอบค่าประสบการณ์วิชาตัวเบาให้เยี่ยเว่ยหมิง 504000 แต้ม
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่น ค่าประสบการณ์เหล่านี้ย่อมถูกเพิ่มไปบน ‘ทะยานบันไดเมฆา’
ส่วน ‘ตระหนักรู้วิชานินจา’ กับ ‘ตระหนักรู้วิชาดาบ’ เขาทำได้เพียงใช้วิธีการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกัน แต่ผลปรากฏว่าค่าประสบการณ์ที่ได้จากเล่มหนึ่งกลับเพิ่มไปบน ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ส่วนของอีกเล่มเพิ่มไปบน ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’
ที่จริงแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้พอใจกับผลลัพธ์นี้มากนัก
หากเป็นเมื่อก่อน เยี่ยเว่ยหมิงย่อมหวังจะเพิ่มค่าประสบการณ์ที่ได้จากการอ่านตำราลับตระหนักรู้ไปบน ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ มากๆ ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว การประลองใหญ่ของหอหมอกพิรุณกำลังจะตัดสินแพ้ชนะภายในสองวันนี้ ถึงตอนนั้นย่อมเพิ่มเลเวล ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ให้ถึงระดับสมบูรณ์ได้
ดังนั้นหากเลือกได้ เขาก็อยากจะใช้วิธีการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันอ่านตำราลับตระหนักรู้พวกนี้ แล้วเพิ่มภาพประสบการณ์ที่ได้ไปบนวิชาตัวเบา ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ให้หมด
แต่น่าเสียดาย ชีวิตไม่สมปรารถนาไปแล้วแปดเก้าส่วน
ไม่ใช่แค่ตำราลับตระหนักรู้ที่ดรอปจากซารุโทบิ จิทสึเก็ทสึเท่านั้น แม้แต่ตำราลับตระหนักรู้ที่ได้จากตัวฮิราคาวะ อิชชิน คะมิมุระ นิอิและโฮโจ บอสสามคนของ ‘ค่ายโรนิน’ เกินครึ่งถูกเพิ่มไปบน ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’
ส่วน ‘ทะยานบันไดเมฆา’ สุดท้ายก็ยังขาดค่าประสบการณ์อีกแปดแสนกว่าจะถึงระดับสมบูรณ์ ต่อให้รวมค่าตบะทั้งหมดที่มีบนตัวเขาเพิ่มไปบนวิชาตัวเบานี้ในคราวเดียว แต่ก็ยังห่างไกลมากกว่าจะเพิ่มมันให้ถึงระดับสมบูรณ์ได้
เยี่ยเว่ยหมิงปิดหน้าอินเตอร์เฟสระบบพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน จากนั้นบิดขี้เกียจแล้วไปกินมื้อเที่ยง!
พูดไม่ออกมาครึ่งวัน พูดไม่ออกมาทั้งคืน
เช้าตรู่วันต่อมา ตอนที่ทุกคนมาถึงหอหมอกพิรุณ ฉากด้านนอกก็ไม่ใช่ฉากที่มีคนเบียดเสียดกันเหมือนเมื่อวานแล้ว
เมื่อวานมีคนมากมายเบียดเสียดมาถึงสถานที่ประลองอย่างไม่กลัวลำบาก แต่ผลปรากฏว่าทำได้เพียงดูการประลองผ่านวิดีโอถ่ายทอดสด เมื่อเสียเปรียบไปแล้วหนึ่งครั้ง พวกเขาย่อมไม่ทำเรื่อวโง่อีกเป็นครั้งที่สอง
ไปหาแหล่งธรรมชาติที่มีทิวทัศน์งดงาม กินขนมไปด้วยดูถ่ายทอดสดไปด้วย แบบนั้นไม่สบายกว่าหรอกหรือ
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ระบบก็ยังเตรียมฉากดันเจี้ยนเดี่ยวไว้ให้พวกเขาประลอง แต่ฉากนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน ยังเป็นถนนหน้าประตูหอหมอกพิรุณเหมือนเดิม แต่ถนนที่พวกเขามองเห็น ไม่ใช่ถนนสายเดียวกับที่ผู้เล่นคนอื่นเหยียบเข้ามาได้ แต่เป็นดันเจี้ยนพิเศษที่แทบจะเหมือนกับฉากแผนที่ใหญ่ในเกมอย่างแท้จริง
ทำไมถึงบอกว่าแทบเหมือน
ก็เพราะบนถนนใหญ่หน้าประตูหอหมอกพิรุณมีสังเวียนประลองที่กว้างยาวสามจั้งและสูงครึ่งเมตรเพิ่มขึ้นมา ทั้งสังเวียนแกะสลักจากหินเขียวก้อนใหญ่ เกรงว่านอกจากระบบที่มีความสามารถในการประดิษฐ์ของสิ่งนี้ขึ้นมา ชีวิตจริงก็น่าจะไม่มีใครทำได้แล้ว
พิธีกรเหวยเสี่ยวเป่าและผู้บรรยายหวังอวี่เยียนปรากฏตัวบนโรงน้ำชาที่อยู่ตรงข้ามกับหอหมอกพิรุณ คอยบรรยายให้ผู้เล่นทุกคนที่เข้าชมถ่ายทอดสดการประลองฟัง
ญาติสนิทมิตรสหายของสองทีมที่เข้าร่วมการประลอง นั่นก็คือเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานกับเจ็ดศิษย์แห่งสำนักฉวนเจิน ตอนนี้กำลังดื่มสุราและพูดคุยกันอยู่ในห้องอาหารชั้นสองของหอหมอกพิรุณ เนื่องจากหน้าต่างเปิดอยู่ พวกเขากำลังรับประทานอาหารไปพร้อมๆ กับดูสถานการณ์ในศึกตัดสินของผู้เล่น ช่างเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลายมาก!
ส่วนผู้เล่นทั้งสองฝ่ายที่เข้าร่วมการประลอง ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็อยู่ในห้องประชุมก่อนต่อสู้ของตนเอง กำลังเตรียมตัวต่อสู้
หลังจากให้ความรู้เรื่องประวัติความเป็นมาของหอหมอกพิรุณแก่บรรดาผู้ชมแล้ว เหวยเสี่ยวเป่าก็เหมือนได้รับข้อมูลอะไรบางอย่างมา จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา ในที่สุดก็กลับเข้าเรื่องการประลองแล้ว “ผู้ชมทุกท่าน ตอนนี้ผู้แข่งขันทั้งสองฝ่ายเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว อีกสิบวินาทีหลังจากนี้ ระบบจะสุ่มคู่ต่อสู้กลุ่มแรกขึ้นไปบนสังเวียน และจัดการประลองสนามแรกให้พวกเขา”
“ตอนนี้เริ่มนับถอยหลังกันได้แล้ว!”
เมื่อสิ้นเสียงของเหวยเสี่ยวเป่า บนหน้าจอก็มีเวลานับถอยหลังเด้งขึ้นมาทันที
เยี่ยเว่ยหมิงมองพวกเพื่อนร่วมทีมข้างกายที่ยังตื่นเต้นอยู่ อดพูดปลอบใจไม่ได้ว่า “ทุกคนไม่ต้องตื่นเต้น ที่จริงในการประลองสนามนี้ พวกเราได้เปรียบกว่าเยอะมาก…
…อีกประเดี๋ยวไม่ว่าใครได้ขึ้นสังเวียนเป็นคนแรก ขอเพียงทำใจให้เป็นปกติเข้าไว้ แล้วโจมตีด้วยระดับที่แท้จริงของตัวเองก็พอ…
…พวกเจ้าต้องรักษาหลักการถูกต้องนี้เอาไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ต่อให้พวกเจ้าหกคนจะแพ้หมดก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้า…”
พรึ่บ!
เมื่อการนับถอยหลังสิบวินาทีจบลง เยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังพูดเป็นต่อยหอยกับพวกเพื่อนในทีมก็พลันพบว่าฉากที่อยู่ข้างกายตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว ยังไม่ทันได้พูดประโยคที่ไร้ยางอายว่า ‘สู้แบบหนึ่งต่อเจ็ด’ ต่อหน้าพวกผู้ชม คำพูดที่จ่อมาถึงปากก็เปลี่ยนแปลงฉับพลัน “เอ่อคือ…สวัสดี”
“สหายเยี่ย เกรงใจแล้ว” ไม่น่าเชื่อว่าคู่ต่อสู้ของเยี่ยเว่ยหมิงจะเป็นสาวน้อยวัยใสที่ดูงดงามมาก นางพยักหน้าเล็กน้อยให้เยี่ยเว่ยหมิงแล้วบอกว่า “ศิษย์ของซุนปู๋เอ้อร์ผู้พูดน้อยและรักอิสระแห่งสำนักฉวนเจิน ติงติง ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอึ้งนิดหน่อย “เจ้าชื่ออะไรนะ”
“ข้าชื่อติงติงไงล่ะ” ศิษย์สาวสำนักฉวนเจินที่ชื่อติงติงขยิบตาให้เขาแล้วอธิบายอย่างใจเย็นมาก “ในชีวิตจริงข้าแซ่ติง อยู่ในเกมข้าจึงตั้งชื่อที่น่ารักให้ตัวเอง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“อ้อ ไม่มีๆ” หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงตอบแล้ว ก็กุมหมัดคารวะอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง “ตัวแทนหันเสี่ยวอิ๋งจากเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนาน เยี่ยเว่ยหมิงจากสำนักมือปราบเทพ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
แต่ในใจของเขากลับชูนิ้วหัวแม่มือชื่นชมสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า
ชื่อของน้องสาวคนนี้ช่าง…
เด็ดดวง!