ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 572 ศักยภาพที่เหนือกว่าโดยสมบูรณ์
ตอนที่ 572 ศักยภาพที่เหนือกว่าโดยสมบูรณ์
ยามเผชิญหน้ากับลูกศิษย์ของซุนปู๋เอ้อร์มีความรู้สึกอย่างไร
อย่างไรเสียสำหรับเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่าหากตนสู้ตัวต่อตัวกับซุนปู๋เอ้อร์ร่างแท้ ก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่มาก
ส่วนทักษะยุทธ์ของติงติงคนนี้ จะอธิบายอย่างไรดีล่ะ
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่า หากพูดถึงเคล็ดกระบี่อย่างเดียว นางก็ไม่น่าจะเหนือกว่าซุนปู๋เอ้อร์ผู้เป็นอาจารย์ของนาง แต่ในด้านค่าสเตตัสและกำลังภายในตอนนี้ หากเทียบกับนักพรตปู๋เอ้อร์ น้องคนสุดท้องของเจ็ดศิษย์แห่งสำนักฉวนเจินก็ยังต่างกันพอสมควร
สรุปก็คือนางยังห่างไกลกับคำว่า ‘อันสีครามนั้นกลั่นมาจากต้นคราม แต่สีสันแก่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม[1]’ มิใช่น้อยๆ
ทั้งสองประมือกันสิบกว่ากระบวนท่า เยี่ยเว่ยหมิงพบว่าอีกฝ่ายใช้แต่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ตลอด จึงอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “เจ้าใช้เป็นแค่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ หรือ”
เนื่องจากเยี่ยเว่ยหมิงไม่รีบร้อนคว้าชัยชนะ ตอนนี้ติงติงจึงไม่ได้รู้สึกกดดันมาก เมื่อได้ยินคำถามก็ตอบตามตรงว่า “ถ้าแค่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ยังเรียนให้ดีไม่ได้จริงๆ แล้วจะเรียนวิธีการโจมตีที่มากกว่านี้ไปทำไม”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเบาๆ “อาศัยกำลังภายในที่ไม่ธรรมดาของตัวเอง ประกอบกับ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เลเวลเก้า เจ้านับว่าเป็นยอดฝีมือในหมู่ผู้เล่นจริงๆ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ จัดเป็นวิชาแห่งความลึกลับขนานแท้ เน้นสะสมพลังอย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วงแรกที่ฝึกหากเทียบกับเคล็ดกระบี่เลเวลเดียวกัน ก็ไม่ถือว่ามีจุดแข็งมากนัก แต่เจ้าฝึกมาถึงระดับนี้ได้อย่างมั่นคง ถือว่าสุดยอดจริงๆ”
ติงติงได้ยินแล้วงุนงง “เจ้ารู้เลเวล ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ของข้าละเอียดเช่นนี้ได้อย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงเพียงยิ้มอย่างลึกลับเกินคาดเดา แต่กลับไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย สนใจแต่อธิบายต่อว่า “เดิมที หากอาศัยรางวัลจำนวนมากของการประลองใหญ่ครั้งนี้ เจ้าก็น่าจะมีโอกาสเพิ่มเลเวลเคล็ดกระบี่จนถึงระดับสมบูรณ์ได้ จะได้สัมผัสอานุภาพที่น่ากลัวหลังจากเลเวลเต็มแล้ว แต่…ขออภัยแล้วกัน!”
พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงที่หมดความสนใจในตัวยอดฝีมือหญิงเพียงหนึ่งเดียวในกระบวนทัพฝ่ายศัตรูก็พลันออกแรง หมุนคมกระบี่ใช้ท่า ‘กวาดหิมะต้มชา’ ฟันเอวของติงติงแล้ว
ติงติงเห็นแล้วตกใจมาก ใช้ท่า ‘งามละมุนไร้แต่งเติม’ โดยสัญชาตญาณ นางกวาดกระบี่ล้ำค่าในแนวขวาง ลองต้านกระบี่ที่เปลี่ยนเป็นดุดันฉับพลันของเยี่ยเว่ยหมิง ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ติ๊ง!
ตามด้วยเสียงชัดใสราวกับกระดิ่งเงิน ติงติงสะเทือนถอยหลังต่อเนื่องหลายก้าวภายใต้พลังอันแข็งกร้าวของเยี่ยเว่ยหมิง
ทว่ายังไม่ทันรอให้นางทรงตัวได้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวแล้ว ใช้กระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงกวาดออกมาในแนวขวางอีกครั้ง ใช้ท่า ‘กวาดหิมะต้มชา’ เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด!
ติงติงที่ร่างกายไม่อยู่ในการควบคุมของตัวเอง แม้จะรู้ชัดว่าการรับมือกับกระบวนท่านี้ การใช้กำลังปะทะซึ่งหน้าเป็นทางเลือกที่โง่เง่าที่สุด แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่นางไม่อาจทรงตัวได้ในทันที ไม่มีทางรับมืออย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้ได้เลย แม้รู้อยู่แก่ใจว่าต้องเสียเปรียบ แต่นางก็ทำได้เพียงใช้ท่า ‘งามละมุนไร้แต่งเติม’ อีกครั้ง ฝืนรับกระบี่ที่มาพร้อมพลังมหาศาลของเยี่ยเว่ยหมิง!
แกร๊ง!
ขณะที่ถูกเยี่ยเว่ยหมิงไล่ตามโจมตีเพิ่ม ครั้งนี้ติงติงถอยหลังเร็วกว่าตอนแรก ระยะห่างที่ถอยออกมาก็ไกลกว่าเดิมเช่นกัน!
ทันทีหลังจากนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ให้โอกาสน้องสาวคนนี้พักหายใจแม้แต่น้อย เหยียดกระบี่ออกไปข้างหน้าอีกครั้งทันที กระบี่ยาวในมือกวาดออกไปเป็นครั้งที่สาม ยังใช้กระบวนท่า ‘กวาดหิมะต้มชา’ เหมือนเดิม!
ติงติงจนปัญญา ทำได้เพียงกวาดกระบี่ออกมาต้านเป็นครั้งที่สาม ยังใช้ท่า ‘งามละมุนไร้แต่งเติม’ เหมือนเดิม
การโจมตีและการป้องกันที่เหมือนกันต่อเนื่องสามครั้ง แต่ประสิทธิภาพที่ได้กลับแตกต่างกัน ทั้งยังเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!
ตอนที่โจมตีกระบี่แรก แม้ติงติงจะล่าถอย แต่ฝีเท้าที่ก้าวถอยก็ยังนับว่ามั่นคง ไม่ได้ถูกโจมตีจนเสียจังหวะ
ตอนที่โจมตีกระบี่ที่สอง ฝีเท้าของติงติงวุ่นวายโดยแท้จริงแล้ว
ตอนที่โจมตีกระบี่ที่สาม ร่างของนางก็ยิ่งหลุดออกจากพื้นภายใต้การโจมตีอันหนักหน่วงของเยี่ยเว่ยหมิง กระเด็นถอยไปข้างหลัง ขณะที่ตัวลอยอยู่กลางอากาศ นางก็เห็นว่าขอบของสังเวียนเริ่มออกห่างจากสายตาของนางไปไกลขึ้นเรื่อยๆ…
เพียงท่า ‘กวาดหิมะต้มชา’ ต่อเนื่องสามครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าทำให้นางถูกเยี่ยเว่ยหมิง ‘กวาด’ ออกจากสังเวียนแล้ว!
หลังจากตกลงพื้น ติงติงก็อยู่ห่างจากสังเวียนประมาณหนึ่งจั้ง ตอนที่นางเงยหน้ามองบนสังเวียนด้วยความตกใจ กลับพบว่าเยี่ยเว่ยหมิงเก็บกระบี่และหันตัวไปแล้ว ทิ้งให้นางเห็นเพียงแผ่นหลังอันหล่อเหลาสง่างาม
จากนั้นร่างที่อยู่ใต้สังเวียนและบนสังเวียนก็ถูกส่งกลับไปที่ห้องประชุมเตรียมต่อสู้ของตัวเอง
การประลองเดี่ยวสนามแรก เยี่ยเว่ยหมิงคว้าชัยชนะโดยอาศัยศักยภาพที่เหนือกว่าโดยสมบูรณ์!
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงเก่งกาจขนาดนี้ นักอวยมืออาชีพอย่างเหวยเสี่ยวเป่าก็เริ่มโอ้อวดใส่กล้องถ่ายทอดสดทันที
อีกด้านหนึ่ง ในห้องเดี่ยวชั้นสองของหอหมอกพิรุณ จูชงเห็นเยี่ยเว่ยหมิงชนะอย่างรวดเร็วราบรื่นขนาดนี้ ก็อดยิ้มพร้อมถามคิวชู่จีที่อยู่ตรงข้ามไม่ได้ “ท่านนักพรตคิว เจ้าคิดว่าเคล็ดกระบี่ของเยี่ยเว่ยหมิงคนนี้เป็นเช่นไร”
คิวชู่จีแม้จะหงุดหงิดอยู่ในใจ แต่ภายนอกก็ยังกล่าวอย่างสุภาพ “นั่นคือเจ้าเด็กที่ฝีมือไม่เลวเลยจริงๆ ไม่เพียงแค่ทักษะสูง มารยาทก็เพียบพร้อม เขาใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ โจมตีชนะลูกศิษย์สำนักฉวนเจินของข้า สำหรับสำนักฉวนเจินของพวกเราแล้วไม่นับว่าไม่เคารพ ข้าพึงพอใจมาก”
พอได้ยินคิวชู่จีพูดประโยคที่เรียบง่ายแต่ก็โยงไปได้ว่าสาเหตุที่เยี่ยเว่ยหมิงโจมตีชนะเป็นเพราะ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เคอเจิ้นเอ้อที่นั่งอยู่ตรงกลางสุดเพราะไม่ต้องดูการประลองก็ทำเสียงฮึดฮัดสื่อว่าในใจหงุดหงิด
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในห้องเตรียมต่อสู้ของทีมสำนักฉวนเจิน ติงติงที่สู้แพ้กลับมายังคงมีสีหน้าหวาดกลัว
ทั้งสองใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เหมือนกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าสามกระบวนท่าที่โจมตีออกมาหลังจากเยี่ยเว่ยหมิงเผยศักยภาพที่แท้จริง นางจะรับการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมากกว่าความแตกต่างระหว่างผู้เล่นกับ BOSS เสียอีก
นี่ข้ากับเขากำลังเล่นเกมเดียวกันอยู่หรือเปล่า
เกมนี้เล่นยากจัง!
เรื่องนี้โจมตีทัศนคติการมองโลกของนางเกินไปแล้ว โจมตีเกือบพินาศย่อยยับ!
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ผู้เล่นคนหนึ่งที่แต่งกายเหมือนนักพรตเต๋าตามมาตรฐานสำนักฉวนเจินก็เอ่ยว่า “ติงติง เจ้าอย่าท้อใจไปเลย เยี่ยเว่ยหมิงต่อให้เก่งแค่ไหน แต่จะเก่งกว่าค่ายกลฟ้าดาวเหนือของพวกเราเชียวหรือ มิหนำซ้ำการประลองสนามแรก พวกเราก็นำไปแล้วเจ็ดคะแนน สนามนี้ขอเพียงพวกเราทำคะแนนได้สักคะแนน บวกกับคะแนนสะสมสนามสุดท้าย สุดท้ายทีมที่ชนะก็ต้องเป็นพวกเราแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำปลอบใจจากอีกฝ่าย ติงติงก็เพียงพยักหน้าอย่างมีมารยาท แต่กลับไม่พูดอะไรอีก
ผู้เล่นที่แต่งกายเป็นนักพรตเต๋าคนนั้นก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เขาตามจีบติงติงมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพเหมือนทำตามกฎทหารเช่นนี้มาตลอด ทำให้เขารู้สึกจนใจมาก
แต่เมื่อตระหนักได้ว่าวันนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้แสดงความสามารถ ผู้เล่นที่แต่งกายเป็นนักพรตเต๋าจึงเอ่ยว่า “อีกประเดี๋ยวหากถึงคราวที่ข้าขึ้นสังเวียน จะต้องระบายความโกรธแทนเจ้าอย่างดีแน่ แม้ตามกติกาประลอง คู่ต่อสู้คนแรกของข้าไม่มีทางเป็นเยี่ยเว่ยหมิงก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าก็จะต้องตัดความหวังในการคว้าชัยชนะของพวกเขาให้หมดสิ้น!”
เพิ่งพูดจบ ผู้เล่นสำนักฉวนเจินที่แต่งกายเป็นนักพรตเต๋าคนนี้ก็พบว่าทิวทัศน์ที่อยู่รอบกายพลันเปลี่ยนไป เขาถูกส่งตัวไปบนสังเวียนแล้ว
เขาที่เพิ่งคุยโวโอ้อวดไป ในเวลานี้ย่อมขี้ขลาดไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงกุมหมัดคารวะต่อคู่ต่อสู้ตรงหน้าอย่างใจเย็นมาก ” ไต้อวี๋ผิง ศิษย์หลิวชู่เสวียน บุตรชายเจ้าสำนักฉวนเจิน ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
“ฉางซิงอวี่ ศิษย์อู่ตัง ตัวแทนของฉวนจินฟาแห่งเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนาน ฉายาผู้ซ่อนกายกลางตลาด ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
การต่อสู้เริ่มต้น
การต่อสู้จบลง
เจ้าหนุ่มที่ชื่อไต้อวี๋ผิงแม้จะโอ้อวดเก่งมาก แต่ด้านศักยภาพเมื่อเทียบกับติงติงแล้วเก่งกว่าหนึ่งระดับเท่านั้น โดยพื้นฐานยังอยู่ในแนวเส้นเดียวกัน
ส่วนศักยภาพของฉางซิงอวี่ แม้จะเทียบกับยอดฝีมือดับบนๆ อย่างเยี่ยเว่ยหมิงกับน้องดาบไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับเชิญร่ำสุราก็ต้องสู้กันก่อนถึงจะรู้ว่าแพ้หรือชนะ
ภายใต้ศักยภาพที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ สู้กันไม่ถึงสิบกระบวนท่า ไต้อวี๋ผิงที่เพิ่งตบอกรับประกันว่าตัวเองจะชนะก็ถูกฉางซิงอวี่ตบลงสังเวียนแล้ว แพ้ด้วยวิธีการเดียวกับติงติงที่เขาตามจีบมาครึ่งปี
กล่าวได้ว่าตบหน้าตัวเองดังสนั่น
แล้วก็ผ่านไปอย่างนี้ ฝ่ายเยี่ยเว่ยหมิงสู้สองคู่ชนะสองครั้ง ส่วนตอนที่ผู้ประลองคู่ที่สามขึ้นสังเวียน สีหน้าของเชิญร่ำสุรากลับเป็นเป็นเคร่งขรึม
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วอดถามไม่ได้ “คู่ต่อสู้คนนี้เก่งมากหรือ เดิมทีวิชาดาบของซูไตจื่อก็ไม่แย่อยู่แล้ว ตอนนี้ได้รับดาบล้ำค่าอีก เรียกได้ว่าเป็นเสือติดปีกเลย อย่าบอกนะว่าเจ้ากังวลว่าเขาจะแพ้”
สีหน้าของเชิญร่ำสุรายังเคร่งขรึมเหมือนเดิม ไม่ตอบคำถามเขา แต่ดันถามกลับว่า “เจ้าจำที่ข้าเคยพูดให้ฟังก่อนหน้านี้ได้ไหม เจ้าคนที่เรียน ‘หัตถ์ผลักภูเขา’”
[1] อันสีครามนั้นกลั่นมาจากต้นคราม แต่สีสันแก่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม 青出于蓝 หมายถึงศิษย์เก่งกว่าครู