ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 573 หัตถ์ผลักภูเขา
ตอนที่ 573 หัตถ์ผลักภูเขา
‘หัตถ์ผลักภูเขา’ ที่ตกทอดมาจากซากวัตถุโบราณของราชวงศ์ก่อน เจ้าหมอนี่ได้ไปแล้วงั้นหรือ
พอได้ยินเชิญร่ำสุราถาม นอกจากฉางซิงอวี่ที่รู้ความจริง คนอื่นที่อยู่ตรงนั้นก็เริ่มกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวผู้เล่นรูปร่างแข็งแรงในชุดจิ้นจวงบนหน้าจอ
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเชิญร่ำสุราใช้น้ำเสียงที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองเพศของตนเองอธิบายต่อว่า “เขาคนนี้ก็คือผู้เล่นที่ฝึก ‘หัตถ์ผลักภูเขา’ ผู้สืบทอดของหวังชู่อีแห่งสำนักฉวนเจิน ฉายาพระอาทิตย์หยก กูรูบทกวี!”
ตอนที่เชิญร่ำสุราให้ความรู้เกี่ยวกับคู่ต่อสู้ของซูไตจื่อ สองคนที่อยู่ในการถ่ายทอดสดก็เริ่มลงมือสู้กันแล้ว
อาจเพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยประมือกันมาก่อน ครั้งนี้จึงไม่มีขั้นตอนการหยั่งเชิงอย่างระมัดระวังก่อนต่อสู้เลย พอเริ่มลงมือก็โจมตีอย่างดุดันเพื่อรีบสู้รีบจบ!
ดาบมิคาสึกิ มุเนะจิกะในมือซูไตจื่อส่งเสียงคำราม ทุกครั้งที่โบกดาบออกมาล้วนเกิดคลื่นความร้อน ซึ่งพลังงานความร้อนที่เกิดจากคมดาบนี้ก็สะสมอย่างต่อเนื่องระหว่างการโจมตี เมื่อซ้อนกันหลายครั้ง อุณหภูมิที่ปกคลุมคมดาบก็เริ่มสูงขึ้นทีละนิด!
หลังจากเขาฟันดาบครั้งที่ยี่สิบ อากาศรอบๆ คมดาบก็บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
หากอธิบายจากมุมของวิชาฟิสิกส์ นี่ก็คือแก๊สร้อนที่เกิดจากอากาศที่มีอุณหภูมิสูงสูงมาก!
วิชาดาบที่รวดเร็วและร้อนแรงเช่นนี้ ก็คือท่าไม้ตายของ ‘วิชาดาบเผาไม้’ สุดยอดทักษะของเส้าหลินที่ซูไตจื่อฝึกมา ท่านี้ชื่อว่า…ประกายไฟลามทุ่ง!
ยามเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทรงพลังและดุดันของซูไตจื่อ กูรูบทกวีก็ไม่หลีกเช่นกัน ใช้สองฝ่ามือโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่น่าเชื่อว่าจะเลือกสู้กับ ‘ประกายไฟลามทุ่ง’ ของซูไตจื่อด้วยวิธีการรีบสู้รีบจบ อาศัยการโจมตีรับมือการโจมตี!
เคล็ดฝ่ามือที่เขาใช้มีความพิเศษอัศจรรย์ ประสิทธิภาพของแต่ละฝ่ามือเหมือนไม่ได้โหดเป็นพิเศษ แต่เมื่อโจมตีสะสมอย่างต่อเนื่อง ประสิทธิภาพกลับเพิ่มขึ้นเหมือนกลิ้งหิมะ ยิ่งโจมตียิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งโจมตียิ่งดุดัน! ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เขาอาศัยเพียงพลังฝ่ามือฝืนต้านกับพลังดาบของซูไตจื่อ แต่กลับไม่เคยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลยสักนิด หลังจากโจมตีฝ่ามือที่สิบห้า ก็ยิ่งเริ่มดันให้ซูไตจื่อถอยหลังอย่างต่อเนื่อง เริ่มโจมตีจนได้เปรียบภายในหนึ่งกระบวนท่าแล้ว
ท่าที่เขาใช้ก็คือหนึ่งในกระบวนท่าของ ‘หัตถ์ผลักภูเขา’ ที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ก่อน…ปู่โง่ย้ายเขา!
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ฉางซิงอวี่ที่อยู่ข้างๆ ก็อดถามเยี่ยเว่ยหมิงกับปีศาจน้อยยุทธภพไม่ได้ “ในบรรดาพวกเราที่อยู่ตรงนี้ มีพวกเจ้าสองคนที่เชี่ยวชาญเคล็ดฝ่ามือที่สุด พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งนี้”
ปีศาจน้อยยุทธภพได้ยินแล้วขมวดคิ้วเบาๆ “เก่งกาจมาก การโจมตีที่พัวพันแบบนี้ต้านทานยากจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า ก็ทำได้เพียงรวบรวมพลังทั้งหมดกระตุ้นท่าไม้ตาย ‘หมัดเจ็ดทำร้าย’ พยายามโจมตีจุดอ่อน เพราะหากคุมเชิงกันต่อไป จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำแน่นอน”
“ไม่ได้เก่งกาจอย่างที่จะบอกหรอก” ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกลับส่ายหน้าเถียง “‘หัตถ์ผลักภูเขา’ ของเขาดูเหมือนโจมตีได้เรื่อยๆ ไม่หยุด แต่ถ้าสังเกตให้ละเอียด ก็จะพบว่าตั้งแต่เขาเริ่มโจมตีฝ่ามือแรก ก็ไม่เคยผ่อนคลายการโจมตีกลางคันเลย…
…สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเขาใช้เคล็ดฝ่ามือโดยไม่ต้องพักหายใจอย่างนั้นหรือ…
…คำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือ เคล็ดฝ่ามือนี้ของเขาต้องโจมตีภายในอึดใจเดียวเท่านั้น ถึงจะแสดงประสิทธิภาพที่ต่อเนื่องได้ เพราะกระบวนท่านี้ของเขาอาศัยปราณแท้เพียงอึดใจเดียว หากใช้ปราณแท้อึดใจนี้หมด เขาก็ต้องหยุดเพื่อฟื้นฟูลมปราณใหม่ ไม่อย่างนั้นต่อให้ศัตรูไม่โจมตีกลับ เขาก็จะเหนื่อยตายเองอยู่ดี…
…วิธีการโจมตีที่ไม่หยุดพักของเขาแบบนี้ เดิมทีก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่แล้ว นอกเสียจากจะรับประกันได้ว่าผู้ใช้ท่านี้มีพลังแข็งแกร่งกว่าผู้ต่อสู้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัว…
…พอมาดูตอนนี้ เหมือนปราณแท้อึดใจเดียวของเจ้าหมอนี่ใกล้จะหมดแล้วนะ คงใกล้จะเปลี่ยนท่าแล้ว ถ้าเขาไม่อยากเผยจุดอ่อน ทำให้ความได้เปรียบที่สะสมมาก่อนหน้านี้หายไป…”
เหมือนต้องการพิสูจน์คำพูดของเยี่ยเว่ยหมิง ตอนที่เพิ่งจะพูดจบ กูรูบทกวีก็พลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไม่รอให้ซูไตจื่อฉวยโอกาสโจมตีกลับ พลันรวบรวมพลังที่เหลือไว้บนฝ่ามือขวา จากนั้นก็ใช้มันในครั้งเดียว
พลังฝ่ามือที่แข็งแกร่งจนเบิกภูเขาฝ่าหินฟันไปทางศีรษะของซูไตจื่อ
หัตถ์ผลักภูเขา…อู่ติงเปิดภูเขา!
พรึ่บ!
ซูไตจื่อร้องคร่ำครวญในใจ! ก่อนหน้านี้ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อครู่เพิ่งพักไปครู่เดียว ยังไม่ทันได้เปลี่ยนกระบวนท่า ท่าไม้ตายของอีกฝ่ายก็โจมตีเข้ามาอย่างไม่ขาดสายแล้ว ภายใต้ความจนใจ เขาทำได้เพียงกัดฟันโบกดาบต้านไว้
แต่ช่วยไม่ได้ที่ฝีมือของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเกินไป ยังคงถูกฝ่ามือของอีกฝ่ายถล่มโจมตีจนถอยหลังต่อเนื่องหลายก้าว ตรงหน้าเผยจุดอ่อนขนาดใหญ่
กระทั่งตอนนี้ กูรูบทกวีถึงได้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นไม่รอให้อีกฝ่ายฟื้นฟูปราณแท้จนเสร็จ เขาก็ยืดตัวขึ้นมาแล้ว
ซูไตจื่อโบกดาบรับด้วยความตกใจ แต่เนื่องจากจุดอ่อนใหญ่เกินไป จึงถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือที่ถือดาบเอาไว้ จากนั้นใช้ฝ่ามือขวาโจมตีไปที่ใต้หว่างขาของเขาอย่างแรง
แม่งเอ๊ย โคตรชั่วร้าย!
ซูไตจื่อตกใจไม่เบา ประกอบกับข้อมือถูกควบคุมไว้ ไม่มีทางถอยหลังได้เลย ทำได้เพียงแยกขากระโดดหลบ
กูรูบทกวีฉวยโอกาสพลิกฝ่ามือขึ้นข้างบน มือซ้ายสะบัดมือขวาผลัก โยนซูไตจื่อออกไปทั้งคนทั้งดาบได้อย่างเฉียบแหลม หลังจากโยนอีกฝ่ายเป็นแนวเส้นพาราโบลาที่สมบูรณ์แบบกลางอากาศ อีกฝ่ายก็ตกลงใต้สังเวียนทันที
หัตถ์ผลักภูเขา…เอ้อร์หลางแบกภูเขา!
กลับไปที่ห้องประชุมเตรียมต่อสู้อีกครั้ง ซูไตจื่อกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะ ‘หัตถ์ผลักภูเขา’ ของเจ้าหมอนั่นร้ายกาจเกินไป ข้าสู้ไม่ไหว”
“ไม่ใช่ปัญหาของ ‘หัตถ์ผลักภูเขา’ หรอก” เยี่ยเว่ยหมิงเป็นผู้ชมที่เห็นเหตุการณ์ชัดเจน กล่าวเสริมว่า “‘หัตถ์ผลักภูเขา’ ที่เป็นของตกทอดจากราชวงศ์ก่อนอะไรนั่น ที่จริงหากพูดถึงกระบวนท่าอย่างเดียว ก็สู้ ‘วิชาดาบเผาไม้’ ของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่จริงเจ้าแพ้เพราะกำลังภายในกับค่าสเตตัสของตัวเอง ถ้าเน้นเสริมความแข็งแกร่งกับบางอย่างได้มากพอ เจ้าก็ไม่น่าจะแพ้ให้อีกฝ่ายหรอก”
ซูไตจื่อได้ยินแล้วยิ้มอย่างขื่นขม
ความสำคัญของพื้นฐาน มีหรือที่เขาจะไม่รู้
เพียงแต่ในฐานะที่เขาเป็นประมุขพรรคคนหนึ่ง วันปกติใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการธุระภายในพรรคและฝึกวิชา ย่อมมีเวลาลงดันเจี้ยนน้อยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
ไม่อาจได้ทั้งปลาทั้งหมี[1]!
แต่นี่คือวิธีการเล่นเกมที่เขาเลือกเอง เขาไม่ได้นึกเสียใจทีหลัง
สนามที่สี่ คู่ต่อสู้ที่ถูกสุ่มจากฝ่ายเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานคือผู้สืบทอดของหนานซีเหริน ปีศาจน้อยยุทธภพ ส่วนคู่ต่อสู้ของเขาก็คือผู้ที่รับถ่ายทอดวิชาจากผู้สงบนิ่งห่าวต้าทง ท่านเซียนไม่นอนดึก
พอได้ยินชื่อนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ่งเริ่มจับตาดู
เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินชื่อนี้จากปากของหนิวจื้อชุน ตอนนั้นหนิวจื้อชุนยอมรับเองว่าเจ้าหมอนี่ฝีมือเหนือกว่าหนิวจื้อชุน!
คู่ต่อสู้แบบนี้ ต่อให้เป็นเยี่ยเว่ยหมิงก็จะต้องเห็นความสำคัญแน่นอน
ในจอใหญ่ของการถ่ายทอดสด คนที่อยู่ตรงข้ามกับปีศาจน้อยยุทธภพ ก็คือผู้เล่นที่แต่งกายเป็นคุณชายถือพัดผู้สง่างามที่คอยบัญชาการทีมชั่วคราวในการต่อสู้สนามแรกก่อนหน้านี้
ตอนนี้กลับได้ยินเชิญร่ำสุราที่อยู่ข้างๆ อธิบายว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่อยากจะซื้อตัวข้า แต่ข้าไม่เคยประมือกับเขามาก่อน ไม่รู้ชัดว่าฝีมือเป็นอย่างไร”
“น่าจะเก่งมาก” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเสียงต่ำ “ข้าได้ยินข้อมูลบางอย่างของผู้เล่นคนนี้มาจากปากของคนอื่น เขาได้ของมาจากซากวัตถุโบราณของราชวงศ์ก่อน ล้ำค่ากว่า ‘หัตถ์ผลักภูเขา’ ไม่ใช่แค่ระดับเดียวแน่”
ระหว่างที่พูด สองคนบนสังเวียนก็เริ่มสู้กันแล้ว
จุดจบไม่เหนือความคาดหมายเลยสักนิด ปีศาจน้อยยุทธภพแม้จะมีศักยภาพแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้ของเขา ก็ยังห่างชั้นกันชัดเจน
อาศัยวิธีการสู้ตายที่มีเฉพาะในสำนักคงต้ง ใช้คนผีร่วมวิถีแลกดาเมจกันก่อน จากนั้นค่อยใช้จุดเด่นของ ‘หมัดเจ็ดทำร้าย’ ที่พลังชีวิตยิ่งน้อยดาเมจยิ่งสูงมาโจมตี วิธีการโจมตีของนักรบคลั่งที่ดุดัน แม้จะโจมตีได้ยอดเยี่ยมแพรวพราว แต่กลับสร้างผลลัพธ์ที่ควรจะมีไม่ได้
เมื่ออาการบาดเจ็บของเขาสะสมถึงระดับหนึ่ง ท่านเซียนไม่นอนดึกเพียงโจมตีครั้งสุดท้ายทีเดียวก็จบการต่อสู้ได้แล้ว
สำหรับเหตุการณ์นี้ เยี่ยเว่ยหมิง เชิญร่ำสุราและฉางซิงอวี่สามยอดฝีมือไม่ได้วิจารณ์ใดๆ ถึงอย่างไรการประลองสนามนี้ก็มีความแตกต่างด้านศักยภาพ แพ้แล้วก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ไม่มีอะไรน่าพูด
หลังจากปีศาจน้อยยุทธภพถูกส่งตัวกลับมา เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ปลอบใจหรือตำหนิอะไรเขา กลับพูดกับโหยวโหยวที่อยู่ข้างกายว่า “วิทยายุทธ์กับลักษณะการต่อสู้ของสำนักเจ้าถูกกำหนดแล้ว บนสังเวียนที่เป็นพื้นราบแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับเจ้าเอามากๆ นอกเสียจากเจ้าจะดึงระยะห่างกับอีกฝ่ายมากพอ จะได้ขี่อินทรีขึ้นฟ้าได้อย่างราบรื่น”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเริ่มช่วยโหยวโหยววางแผนกลยุทธ์ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมทั้งโหยวโหยวเองล้วนเผยสีหน้างุนงง
เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่สนใจคนอื่น สนใจแต่พูดต่อไปว่า “ดังนั้น อีกประเดี๋ยวพอขึ้นสังเวียนแล้ว ก็ไม่ต้องเล่นบทแนะนำตัวอะไรกัน เจ้าต้องรีบดึงระยะห่างจากอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดทันที จากนั้นก็เรียกเสี่ยวไป๋ขึ้นมา แล้วดึงระยะห่างระหว่างพื้นกับข้างบนให้อยู่ตรงปลายสุดของระยะยิง”
ระหว่างที่พูดก็แบมือ “จากนั้น เจ้าจะอยากแนะนำตัวอะไรกับอีกฝ่ายก็ตามใจเจ้า ขอเพียงทำได้อย่างที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าก็อยู่ในจุดที่ไม่แพ้แล้ว”
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมเยี่ยเว่ยหมิงถึงพูดสิ่งเหล่านี้กับตนตั้งแต่เนิ่นๆ และดูจริงจังขนาดนี้ แต่โหยวโหยวก็ยังพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ลังเล “ก็ได้ ข้าจะจำไว้”
ซึ่งตอนนี้เอง ตัวเลขนับถอยหลังสิบวินาทีบนหน้าจอถ่ายทอดสดก็จบลงแล้ว ร่างของโหยวโหยวหายพรึ่บไปจากห้องประชุมเตรียมต่อสู้ ไปโผล่อยู่บนสังเวียนแล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ เชิญร่ำสุรากับฉางซิงอวี่ก็หันไปมองเยี่ยเว่ยหมิงทันที เชิญร่ำสุราถามอย่างตกตะลึงเล็กน้อย “สหายเยี่ย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่ขึ้นสังเวียนคนต่อไปคือโหยวโหยว ไหนบอกว่าลำดับการประลองมาจากการสุ่มไม่ใช่หรือ”
“การสุ่มคงจะเป็นเพียงวิธีการพูดอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่จริงระบบคงกำลังทดสอบความสามารถในการจัดการข้อมูลของพวกเราละมั้ง”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ จากนั้นยื่นมือขวาออกมา ชูนิ้วก้อยกับนิ้วหัวแม่มือเป็นสัญลักษณ์ของเลข ‘หก’ ที่สื่อความหมายว่าเจ๋ง พร้อมบอกว่า “อิงตามกติกาการเข้าร่วมต่อสู้ก่อนหน้านี้ ข้าค้นพบเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง เมื่ออนุมานตามทฤษฎีนั้น อย่างน้อยข้าก็มีความมั่นใจหกส่วนว่าผู้เล่นที่จะขึ้นสังเวียนคือโหยวโหยว ส่วนคู่ต่อสู้ของนาง ถ้าไม่ผิดคาดก็น่าจะเป็นผู้สืบทอดของถานชู่ตวน ฉายาผู้ใฝ่หาสัจธรรม”
ขณะเดียวกัน ในหน้าจอถ่ายทอดสดก็มีเสียงของเหวยเสี่ยวเป่าที่แนะนำคู่ต่อสู้ทั้งสองคนดังมา “สองผู้เล่นในการประลองสนามที่ห้า ได้แค่ลูกศิษย์ของเทพราชาหันเป่าจวี เจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนาน ศิษย์สำนักถังเหมิน โหยวโหยว ร่วมทั้งผู้สืบทอดวิชาของผู้ใฝ่หาสัจธรรมถานชู่ตวน เจ็ดศิษย์แห่งสำนักฉวนเจิน คนบินเหนือฟ้า ผู้เล่นสองคนนี้…”
หลังจากคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉางซิงอวี่ก็วักไซ้ทันที “สหายเยี่ย เจ้าค้นพบกฎอะไรกันแน่”
[1] ไม่อาจได้ทั้งปลาทั้งหมี 鱼与熊掌,不可兼得 หมายถึง ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง