ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 577 หนึ่งปราณแปรสาม
ตอนที่ 577 หนึ่งปราณแปรสาม
เมื่อประมือกันอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้วัดพลังกันซึ่งๆ หน้ากับเจ้าวัวโง่นี้แล้ว แต่เริ่มใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ รับมือกับเขาอย่างไม่รีบร้อน
เขาเองก็อยากจะเห็นว่าศักยภาพของหนิวจื้อชุนก้าวหน้าถึงขั้นไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้เจ้าหมอนี่อวดดีอย่างบ้าระห่ำขนาดนี้
หลังจากสู้กัน เยี่ยเว่ยหมิงก็พบว่าคำพูดโอ้อวดก่อนหน้านี้แม้จะบ้าระห่ำไปบ้าง แต่โดยพื้นฐานกลับเป็นความจริงเช่นกัน
ประการแรก เจ้าหมอนี่กำหนดจุดยืนของตัวเองได้ถูกต้องแม่นยำ
เขาไม่เหมือนเยี่ยเว่ยหมิงที่ต้องการพัฒนาแต่ละด้านให้สมดุลกัน และไม่หวังว่าตัวเองจะกลายเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบที่ฉลาดรูปงามและเก่งกาจทุกด้านเหมือนเยี่ยเว่ยหมิงด้วย
วิชากำลังภายในและกระบวนท่าทั้งหมดที่เขาฝึก แม้มองเผินๆ จะเหมือนเตรียมพร้อมได้ไม่สอดคล้องกัน แต่ก็วนเวียนอยู่ที่หัวใจสำคัญเดียวกัน
นั่นก็คือพลัง!
ตั้งแต่เข้าเกมมา แต้มค่าตบะและค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ที่หนิวจื้อชุนได้มาไม่เยอะเท่าเยี่ยเว่ยหมิงแน่นอน แต่เขาแทบจะเพิ่มค่าประสบการณ์และค่าตบะทุกแต้มไปบนทักษะที่เกี่ยวข้องกับพลัง
ไม่ต้องพูดถึงว่าใช้ดันค่าสเตตัสวิชากำลังภายใน แม้แต่ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ก็มีโบนัสพละกำลัง ‘วิชาไม้เท้าสยบมาร’ ก็ยิ่งมีจุดเด่นเป็นโบนัสค่าพละกำลังด้วย
ส่วนวิชากำลังภายในระดับสุดยอดวิชา ‘วิชาฟ้ากำเนิด’ แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะยังไม่รู้ว่ารายละเอียดค่าสเตตัสเป็นอย่างไร แต่กลับดูค่าสเตตัสของ ‘วิชาอรหันต์สยบมาร’ ประกอบได้
ที่อธิบายมาข้างต้น บวกกับกระบองอสูรทองคำในมือเขาที่เพิ่มพละกำลัง ก็กล่าวได้ว่าหนิวจื้อชุนในตอนนี้สำแดงคำว่า ‘กำลัง’ จนถึงขีดสูงสุดเท่าที่ผู้เล่นปัจจุบันจะทำได้แล้ว
ส่วน ‘วิชาไม้เท้าสยบมาร’ ของเขาก็เป็นวิทยายุทธ์ระดับสูงที่สอดคล้องกับค่าสเตตัสพละกำลังอย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน ยิ่งพละกำลังแข็งแกร่ง นอกจากประสิทธิภาพจะยิ่งมากตามไปด้วย แม้แต่กระบวนท่าก็สมบูรณ์แบบขึ้นแล้วเช่นกัน
กล่าวได้ว่า อาวุธมีคมของผู้เล่นทั่วไป ขอเพียงเจอกับกระบองทองคำในมือเขา ก็จะถูกทุบกระเด็นออกไปทันที
คิดจะใช้กลยุทธ์เอาชนะพละกำลัง?
แต่ถึงอย่างไร ‘วิชาไม้เท้าสยบมาร’ ก็เป็นวิทยายุทธ์ระดับสูง หนึ่งในเจ็ดสิบสองสุดยอดวิชาของเส้าหลิน ถ้าอยากจะทำให้เขาบาดเจ็บโดยไม่ถูกกระบองของเขา ใช้คำว่า ‘ยาก’ คำเดียวจะพอบรรยายได้อย่างไร
สรุปก็คือหนิวจื้อชุนในตอนนี้กลายเป็นยอดฝีมือที่ไม่เป็นรองเชิญร่ำสุรากับฉางซิงอวี่แล้ว
ถึงขั้นเหนือกว่าด้วย!
ชั่วขณะนั้น บนสังเวียนวิบวับไปด้วยแสงสะท้อนคมกระบี่ เงากระบองปลิวว่อน สู้กันอย่างแพรวพราวที่สุด
เมื่อเห็นการต่อสู้ที่แพรวพราวขนาดนี้ ไม่เพียงแต่พวกผู้เล่นหน้าจอถ่ายทอดสดที่ร้องเชียร์อย่างเมามัน แม้แต่เหวยเสี่ยวเป่าที่เป็นพิธีกรก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นเช่นกัน “โอ้แม่เจ้า!”
“นี่คือศึกตัดสินระหว่างของยอดฝีมือที่เก่งที่สุดในบรรดาผู้เล่นปัจจุบันหรือ”
“ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
“พี่ใหญ่เยี่ยกับผู้เล่นสำนักฉวนเจินที่ชื่อหนิวจื้อชุนนั่นผลัดกันซัดผลัดกันถอย มองเผินๆ แยกไม่ออกว่าใครเก่งกว่า ทักษะยุทธ์ของพวกเขาสองคน…เอ่อ คือ พวกเขาสองคนใช้ทักษะยุทธ์อะไรนะ”
พอได้ยินคำถามของเหวยเสี่ยวเป่า หวังอวี่เยียนก็ยิ้มพร้อมอธิบาย “เยี่ยเว่ยหมิงใช้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ของสำนักฉวนเจิน ส่วนหนิวจื้อชุนใช้ทักษะยุทธ์ที่ชื่อ ‘วิชาไม้เท้าสยบมาร’ ว่ากันว่าเป็นสุดยอดทักษะอันเลื่องชื่อของเคอเจิ้นเอ้อ หนึ่งในเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนาน”
“จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้!” เมื่อจับประเด็นในคำอธิบายของหวังอวี่เยียนได้แล้ว เหวยเสี่ยวเป่าก็เริ่มอ้อมประเด็นนี้แล้วกล่าวเกินจริงเพื่อแต่งแต้มบรรยากาศ “พี่ใหญ่เยี่ยในฐานะตัวแทนเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนาน ใช้เคล็ดกระบี่ของสำนักฉวนเจิน ส่วนไต้ซือหนิว พระชั้นสูงตัวแทนสำนักฉวนเจินกลับใช้สุดยอดทักษะอันเลื่องชื่อของจอมยุทธ์เคอ…
…นี่คือตัวแทนของคุณธรรมอันสูงส่งที่มิตรภาพมาอันดับหนึ่ง การประลองมาอันดับสองระหว่างเจ็ดศิษย์แห่งสำนักฉวนเจินกับเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานหรือเปล่านะ”
“เอ่อ คือ…” หลังจากเหวยเสี่ยวเป่าพูดเป็นต่อยหอยสักพัก หวังอวี่เยียนก็หาจังหวะพูดแก้ไขให้ “หนิวจื้อชุนนั่นคือศิษย์ของสำนักฉวนเจิน ดังนั้นเขาคือนักพรต ไม่ใช่หลวงจีน ยิ่งไม่ใช่พระชั้นสูงด้วย ดังนั้นท่านควรจะเรียกเขาว่านักพรต หรือมากกว่านั้นก็เรียกเทียนซือ แต่เรียก ‘ไต้ซือ’ เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะนะ”
“อะไรนะ”
เหวยเสี่ยวเป่าได้ยินแล้วตกใจมาก ชี้ไปยังหนิวจื้อชุนที่สวมจีวรและกำลังโบกกระบองทองคำผ่านหน้าจอพร้อมถาม “สภาพเช่นนี้ ท่านบอกว่าเขาเป็นนักพรตลัทธิเต๋าอย่างนั้นหรือ”
หวังอวี่เยียน “…”
ทั้งสองร่วมงานกันมาสองวันแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เหวยเสี่ยวเป่าเอ่ยประโยคที่ทำให้หวังอวี่เยียนรู้สึกอึ้ง แต่ก็ดันเถียงไม่ออก
ดูแค่ลักษณะของหนิวจื้อชุน เหวยเสี่ยวเป่าบอกว่าเขาเป็นหลวงจีนก็ถือว่ามีเหตุผลจริงๆ!
“หึ!”
บนห้องเดี่ยวชั้นสองของหอหมอกพิรุณ พอได้ยินฝั่งเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานพูดล้อการแต่างกายของหนิวจื้อชุน คิวชู่จีก็เพียงทำเสียงฮึดฮัด แต่ไม่ได้ตอบอะไร
แม้จะเจ้าหมอนี่จะมีปัญหากับการแต่งตัว แล้วเขาก็เสนอให้ปรับเปลี่ยนมาแล้วหลายครั้ง
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้เล่น โดยเฉพาะผู้เล่นเพศชาย ตอนที่เลือกอุปกรณ์ก็ต้องมองค่าสเตตัสก่อนแน่นอน
นอกเสียจากเขาจะหาอุปกรณ์ที่มีค่าสเตตัสที่เหมาะสมกว่านี้ให้หนิวจื้อชุนได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาตำหนิมากกว่านี้ ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอีกฝ่ายอยู่ดี ไม่เข้าสมองเลย
เมื่อเวลานานไป เขาก็ทำได้เพียงปล่อยผ่านแล้ว
ถึงอย่างไรสำนักฉวนเจินก็ไม่ได้มีระบบเสื้อผ้าที่ทันสมัยเหมือนสำนักมือปราบเทพ
เขา คิวชู่จี มีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีทางช่วยผู้เล่นโกง!
เมื่อเห็นว่าประเด็นสนทนาเริ่มน่าอึดอัด บัณฑิตมือวิเศษจูชงก็เปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอุปกรณ์ของหนิวจื้อชุนได้อย่างเหมาะเจาะ “ท่านนักพรตคิว ท่านคิดว่า ‘วิชาไม้เท้าสยบมาร’ ของหนิวจื้อชุนกับ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ของเยี่ยเว่ยหมิง วิชาไหนแข็งแกร่งกว่า แล้วใครกันที่จะได้รับชัยชนะในตอนสุดท้าย”
พอได้ยินจูชงเอ่ยคำถามนี้ คิวชู่จีก็สับสนมากเช่นกัน 艾琳小說
ถ้าจะบอกว่าหนิวจื้อชุนเก่งกาจ เช่นนั้นก็เท่ากับว่า ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ สู้ ‘วิชาไม้เท้าสยบมาร’ ของเคอเจิ้นเอ้อไม่ได้
ถ้าบอกว่าเยี่ยเว่ยหมิงเก่งกว่า แต่เจ้าเด็กนั่นก็เป็นคนของเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนาน
หากวิจารณ์ยังไม่ลำเอียง ตั้งแต่เจ้าสองคนนั้นสู้กันจนถึงตอนนี้ ก็แสดงฝีมือออกมาพอๆ กันกระมัง?
ตอนนี้เอง เยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังสู้กับหนิวจื้อชุนบนสังเวียนพลันเอ่ยว่า “ไม่เลวเลย ไม่เลว ฝีมือของเจ้าก้าวหน้ากว่าเมื่อก่อนมากจริงๆ ข้าปลื้มใจมาก เช่นนั้นต่อไปข้าจะจบการประลองสนามนี้แล้วนะ”
หนิวจื้อชุนได้ยินแล้วหัวเราะลั่น “สหายเยี่ยช่างพูดจาเหมือนจะเอาชนะข้าได้ง่ายๆ อย่างนั้นแหละ เอาแต่พูดโดยไม่ฝึกฝน หากเจ้ามีความสามารถจริงๆ ก็แสดงออกมาเลย!”
พอได้ยินบทสนทนาของสองคนบนสังเวียน คิวชู่จีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาพูดอย่างไม่พอใจว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยนั่นแม้จะฝีมือไม่อ่อนด้อย แต่ก็ยังเป็นคนหนุ่มที่กระตือรือร้นเกินไปหน่อย…
…หนิวจื้อชุนได้รับถ่ายทอดสุดยอดวิชา ‘วิชาฟ้ากำเนิด’ ของสำนักฉวนเจิน อาศัยแค่ค่าตบะ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ของเขาตอนนี้…”
พูดไปได้ครึ่งเดียวก็หยุดชะงัก จากนั้นฝั่งก็เจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานก็เห็นท่านนักพรตคิวที่เดิมทีสุขุมเยือกเย็นพลันยืนขึ้นพร้อมสีหน้าแปลกๆ
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น นักพรตอีกหกคนของสำนักฉวนเจินก็ยืนขึ้นเช่นกัน มองไปบนสังเวียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ในบรรดาพวกเขา คิวชู่จีที่มีทักษะยุทธ์สูงสุดพึมพำเสียงสั่นเล็กน้อย “หนึ่งปราณแปรสาม? ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งปราณแปรสาม! ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านบอกข้าหน่อยว่าข้าไม่ได้มองผิดไป!”
หม่าอวี้ที่อยู่ข้างๆ ก็เผยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน “เจ้าไม่ได้มองผิดหรอก เป็นหนึ่งปราณแปรสามจริงๆ”
“สิบกว่าปีมาแล้ว” ตอนนี้เอ งหวังชู่อีฉายาพระอาทิตย์หยกเอ่ยพร้อมสีหน้าตื่นเต้น “ตั้งแต่ท่านอาจารย์จากไป พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ไม่เคยเห็น ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ในระดับสูงสุดมาก่อน นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเห็นมันบนตัวจอมยุทธ์น้อยเยี่ย ได้ชื่นชมความสง่างามของท่านอาจารย์ในปีนั้นอีกครั้ง! นี่ช่าง…ช่าง…”
พอพูดถึงตอนสุดท้าย หวังชู่อีก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะแสดงความรู้สึกของเขาในตอนนี้อย่างไร
ส่วนหม่าอวี้ก็เอ่ยต่อท้ายให้อย่างสงบนิ่ง “คุ้มค่ากับการมาครั้งนี้!”