ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 603 ขวางกั้นมิสู้ขุดลอก
ตอนที่ 603 ขวางกั้นมิสู้ขุดลอก
บนเขาอู่ตังวันนี้ ชาวยุทธ์จากสำนักต่างๆ มารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้มาในนามของผู้อวยพรวันเกิด แต่ความจริงแล้วทุกคนมีเจตนาแตกต่างกันไป
สำหรับบรรดาแขกที่มาเองโดยไม่ได้รับเชิญ ฝั่งสำนักอู่ตังก็เพียงจัดเตรียมที่นั่งให้พวกเขาพักผ่อนพอเป็นพิธี ไม่ถึงขั้นปล่อยให้คนนินทาว่าเสียมารยาท
ส่วนนอกเหนือจากนั้น?
พวกเจ้ามาทำอะไรกันแน่ ในใจจะไม่รู้สักนิดเชียวหรือ
อย่าโลภเกินไปหน่อยเลย!
ที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในแผนรับมือที่อินปู้คุยเสนอมาก่อนหน้านี้เช่นกัน นั่นก็คือต้อนรับคนพวกนี้อย่างเย็นชาสักหน่อย
หากในบรรดาพวกเขามีใครบางคนเป็นฝ่ายยกเรื่องการรับแขกมาหาเรื่อง สำนักอู่ตังก็จะฉวยโอกาสยืนหยัดสู้กับพวกเขาไม่เลิก กวนน้ำให้ขุ่นจนถึงที่สุด
ทางที่ดีที่สุดคือหาข้ออ้างไล่พวกที่ดุร้ายที่สุดออกไปก่อนคุยเรื่องสำคัญกัน ก็จะช่วยลดความยุ่งยากล่วงหน้าได้ไม่น้อยเลย
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าแผนการของเขาไม่สอดคล้องกับความจริง
คนจากหกสำนักใหญ่ไม่ได้โง่ ตรงกันข้าม พวกเขามีเป้าหมายชัดเจนมาก ไม่มีทางเปิดโอกาสให้สำนักอู่ตังเปลี่ยนประเด็นสนทนาเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยที่ตนไม่ได้มีส่วนใหญ่ส่วนเสีย
“เยี่ยเว่ยหมิง มือปราบขั้นห้าของสำนักมือปราบเทพ ขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ ผู้ช่ำชองแนวทางกระบี่ มาร่วมอวยพรวันเกิด!”
หลังจากเสียงตะโกนของนักพรตผู้รับหน้าที่ต้อนรับแขกดังขึ้น สายตาของทุกคนบนลานกว้างก็ไปรวมอยู่บนตัวชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างาม
เยี่ยเว่ยหมิงสัมผัสได้ถึงสายตาที่สื่ออารมณ์หลากหลายจากพวกผู้เล่นและ NPC ของฝ่ายอำนาจต่างๆ แต่กลับไม่แยแสแม้แต่น้อย ขณะที่กำลังเดินต่อไปทางวิหารเจินอู่ ในใจกลับชื่นชมการบริการแขกของเขาอู่ตัง
ตอนที่คนอื่นเรียกเขา มักจะใช้ฉายาย่อสั้นๆ ง่ายๆ นั่นก็คือ ‘คนกระบี่’ เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่านั่นเป็นคำเรียกที่เสียมารยาทมาก
หากเทียบกันแล้ว วิธีการของสำนักอู่ตังที่เรียกชื่อเต็มว่า ‘ผู้ช่ำชองแนวทางกระบี่’ ตรงรสนิยมของเขามากกว่า
ถึงแม้ชื่อเรียกเต็มๆ นี้เขาจะอาศัยสมองของตนเอง ‘เติมให้สมบูรณ์’ ก็ตาม
ผลปรากฏว่ายังเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร ก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งออกมาต้อนรับเขา
ชายคนนี้ดูสุขุมใจเย็น ให้ความรู้สึกว่าสุภาพอ่อนโยน สง่างามน่าเคารพ
ข้างหลังเขามีผู้เล่นของสำนักอู่ตังตามมาสองคน เป็นชายแกร่งสองคนที่สนิทกับเยี่ยเว่ยหมิงที่สุด อินปู้คุยและฉางซิงอวี่นั่นเอง
ชายวัยกลางคนประสานมือทักทายเยี่ยเว่ยหมิงตั้งแต่อยู่ไกลๆ “ที่แท้ขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ก็ให้เกียรติมาเยือน ซ่งหย่วนเฉียวแห่งสำนักอู่ตังขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับใกล้ๆ หวังว่าจะไม่ถือสา”
เยี่ยเว่ยหมิงก็ทักทายตอบเช่นกัน “ที่แท้ก็เป็นจอมยุทธ์ซ่งแห่งอู่ตัง ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้ได้เจอนับเป็นเกียรติจริงๆ!”
หลังจากกล่าวชมกันและกันอย่างเป็นมืออาชีพ จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ผู้น้อยมาวันนี้ ตั้งใจเตรียมของขวัญมาให้นักพรตจางด้วย ไม่ทราบว่านักพรตจางจะเจียดเวลาพบผู้น้อยสักครั้งได้หรือไม่ ให้ผู้น้อยได้มอบของขวัญให้ด้วยตนเอง”
สถานการณ์ของเยี่ยเว่ยหมิงแตกต่างกับคนอื่น
คนอื่นมาเพื่อถล่มงาน ดังนั้นจึงไม่มีทางแยกตัวออกจากกลุ่มก่อนที่จะคุยเรื่องสำคัญกัน ยิ่งไม่มีทางไปคลุกคลีกับคนของสำนักอู่ตังด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะมีหลายเรื่องที่อธิบายได้ไม่ชัดเจน
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับมาเพื่อช่วยเหลือ ทั้งยังไม่ได้คิดจะบรรลุเป้าหมายโดยการแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มของศัตรูด้วย จึงไม่มีความกังวลเช่นนี้อยู่
ดังนั้นเขาจึงไม่ถือสาที่จะแสดงจุดยืนของตนเองในทันที
หากต้องการแก้ไขปัญหาที่เขาอู่ตัง ก็ต้องทักทายบุคคลที่เกี่ยวข้องฝั่งสำนักอู่ตังก่อนที่จะเกิดเรื่อง
ท่ามกลางสายตาระแวดระวังของผู้ก่อเรื่องจากหกสำนักใหญ่ เยี่ยเว่ยหมิงเดินตามซ่งหย่วนเฉียว อินปู้คุยและฉางซิงอวี่ทะลุโถงใหญ่และวิหารเจินอู่ที่อยู่ข้างหน้าไปยังเขตที่พักอาศัยด้านหลังเพื่อพบกับจางซานเฟิงผู้ซึ่งอายุครบหนึ่งร้อยปีวันนี้ในห้องห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นสอง ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ว่ากันว่าคนที่อายุยืนถึงเจ็ดสิบปีมีน้อยนัก ส่วนผู้ที่อายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ในยุคโบราณที่มีสภาพความเป็นอยู่ยากลำบาก ต่อให้อยู่ในยุคที่การแพทย์พัฒนาในระดับสูงแล้วก็ยังหายากอยู่ดี
ทว่านักพรตจางที่วันนี้ก้าวเข้าสู่อายุปีที่หนึ่งร้อยอย่างเป็นทางการ บนใบหน้ากลับไม่มีความสุขและความเบิกบานใจอย่างที่ควรจะมีเลยสักนิด
มีแต่ความกังวลเต็มใบหน้าไปหมด!
วันนี้เป็นงานวันเกิดอายุครบร้อยปีของเขา แต่ข้างนอกกลับมีชาวยุทธ์ที่ไม่ได้รับเชิญอ้างตัวว่ามาอวยพรวันเกิด แต่กลับไม่มีใครแฝงเจตนาดีสักคน
พวกเขาอยากอาศัยข้ออ้างว่ามาอวยพรวันเกิด บีบให้จางชุ่ยซานและฮูหยินบอกที่อยู่ของราชสีห์ขนทอง เซี่ยซุน
ปัญหานี้หากแก้ไขได้ไม่ดีพอ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากกว่าสำนักอู่ตังจะกลายเป็นศัตรูของยุทธภพฝ่ายธรรมะ!
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แล้วจางซานเฟิงจะมีความสุขกับครอบครัวได้อย่างไร
หลังจาก ‘อาจารย์’ เข้ามาในห้องแล้ว ซ่งหย่วนเฉียวก็เอ่ยกับจางซานเฟิงทันที “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยจากสำนักมือปราบเทพมาแล้วขอรับ เขาบอกว่าเตรียมของขวัญพิเศษมาให้ท่าน ต้องการพบท่านเป็นการส่วนตัว ศิษย์จึงถือวิสาสะพาเขามาแล้วขอรับ”
จางซานเฟิงได้ยินแล้วพยายามฝืนยิ้มพร้อมกล่าวเสียงเรียบ “ถือวิสาสะอะไรกัน ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าหากจอมยุทธ์น้อยเยี่ยเป็นฝ่ายขอมาพบเอง ก็ให้พาเขามาพบข้าได้เลย”
พอพูดจบ ก็ย้ายสายตาไปบนตัวเยี่ยเว่ยหมิงอีก “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย มาแล้วหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ แล้วนำกล่องผ้าแพรที่เตรียมไว้ออกมาทันที เขายื่นกล่องมาตรงหน้าจางซานเฟิงด้วยสองมือ “เยี่ยเว่ยหมิงจากสำนักมือปราบเทพ เป็นตัวแทนของหวงโส่วจุนและสำนักมือปราบเทพ ขออวยพรให้นักพรตจางมีความสุขดั่งทะเลตะวันออก อายุยืนดั่งภูเขาทางใต้! นี่คือ ‘ศูรางคมสูตร’ ที่คัดลอกโดยเจวี๋ยหยวนไต้ซือ ผู้น้อยขอมาจากเส้าหลินขอรับ หวังว่านักพรตจางจะชอบ”
เมื่อได้ยินชื่อของเจวี๋ยหยวนไต้ซือ ดวงตาจางซานเฟิงก็เปล่งประกายขึ้นหลายส่วน รับกล่องมาจากมือเขาช้าๆ แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณในความตั้งใจ” แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะรีบเปิดดู
แม้จะข่มความคิดถึงที่มีต่ออาจารย์มาแล้วเกือบร้อยปี แต่ตอนนี้แรงกดดันภายนอกกลับไม่ยอมให้เขาจมอยู่ในความคิดเรื่องสหายเก่า
เมื่อเห็นจางซานเฟิงมีท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย เยี่ยเว่ยหมิงก็พลันเอ่ยพร้อมทำสีหน้าจริงจัง “นักพรตจาง แม้ข้าจะรู้ดีว่าพูดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะสม…
…แต่ตอนนี้สำนักอู่ตังกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตจากทั้งภายในและภายนอก สถานการณ์ทำให้มองในแง่ดีไม่ได้จริงๆ”
จางซานเฟิงได้ยินแล้วตะลึงงัน สีหน้าที่นิ่งสงบเปลี่ยนเป็นระแวดระวังขึ้นมาฉับพลัน เขาเอ่ยถามโดยสัญชาตญาณว่า “ภายใน?”
แรงกดดันภายนอกแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้า สำหรับเรื่องนี้จางซานเฟิงเตรียมใจไว้นานแล้ว และมีความมั่นใจที่จะรับมือกับปัญหาทั้งหมดเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาขอความช่วยเหลือจากสำนักมือปราบเทพ ก็เพียงเพราะอยากได้ผู้ช่วยเพิ่มอีกนิดหน่อย เพิ่มโอกาสในชัยชนะให้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง
แต่เกี่ยวกับปัญหาภายในของสำนักอู่ตัง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ และไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนด้วย
คนอายุร้อยปีอย่างเขาย่อมรู้ว่าที่จริงแล้วภัยคุกคามในที่แจ้งแก้ไขได้ไม่ยาก
กลับเป็นอันตรายที่คาดเดาไม่ได้เหล่านั้นต่างหากที่ร้ายแรงที่สุด!
คำกล่าวที่ว่า ‘ทวนที่แจ้งหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ที่ลับยากระวัง’ ก็หมายถึงหลักการนี้
หากความขัดแย้งภายในที่แฝงอยู่ระเบิดออกมาในเวลาสำคัญเช่นนี้จริงๆ…จางซานเฟิงก็ไม่กล้าคิดต่อแล้ว
ตอนนี้กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดต่อว่า “ตอนนี้เวลาบีบคั้น อีกทั้งเรื่องบางเรื่องข้าคนเดียวก็พูดได้ไม่กระจ่าง ไม่ทราบว่านักพรตจางจะเชิญเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตังมาทั้งหมดได้หรือไม่ แล้วผู้น้อยจะอธิอบายพร้อมกันทีเดียว”
เขาหยุดพักครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสริมอีกว่า “ในจำนวนนั้นรวมถึงจอมยุทธ์ห้าจางกับฮูหยินที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก แล้วก็จอมยุทธ์สามอวี๋ด้วย พวกเขาต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญที่แท้จริงของเรื่องนี้ พวกเขาสามคน ขาดใครไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว”
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเช่นนี้ สายตาของอินปู้คุยกับฉางซิงอวี่ก็ไปรวมอยู่บนตัวเยี่ยเว่ยหมิงทันที
[ติ๊ง! ผู้เล่นอินปู้คุยเชิญคุณเข้าทีม]
ทางด้านนี้เพิ่งจะเชิญเยี่ยเว่ยหมิงเข้าที จางซานเฟิงก็ย้ายสายตาไปบนตัวซ่งหย่วนเฉียวแล้ว “หย่วนเฉียว เจ้าทำตามที่จอมยุทธ์น้อยเยี่ยบอก ไปเรียกพวกศิษย์น้องของเจ้ามาให้หมด”
“ขอรับ อาจารย์”
ซ่งหย่วนเฉียวเอ่ยรับก่อนหันตัวเดินออกไปตามคน
ในช่องแชททีม หลังจากเพิ่มเยี่ยเว่ยหมิงเข้าทีมแล้ว อินปู้คุยกลับส่งข้อความทันทีว่า [สหายเยี่ย ไม่ใช่ว่าเจ้าจะเปิดโปงเรื่องที่อินซู่ซู่ลอบทำร้ายศิษย์ลุงอวี๋ในปีนั้นหรอกใช่ไหม…
…เจ้าต้องรู้นะว่าตามต้นฉบับเดิม นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ศิษย์ลุงห้าฆ่าตัวตาย หากจัดการไม่ดี ความพยายามก่อนหน้านี้ของพวกเราก็สูญเปล่านะ!]
เยี่ยเว่ยหมิงมองทั้งสองคนด้วยสายตาแปลกๆ พร้อมส่งข้อความ [ดังนั้น พวกเจ้าก็ใช้วิธีการต่างๆ ทำให้สองคนนี้แยกจากกัน กระทั่งตอนนี้ก็ไม่ให้พวกเขาเจอหน้ากันอย่างเป็นทางการเช่นกัน]
ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
จางซานเฟิงเป็นยอดคนที่อายุหนึ่งร้อยปี รู้เรื่องราวมากมายที่ NPC คนอื่นไม่รู้ เมื่อเห็นทั้งสามเริ่มใช้สายตาสื่อสารกัน ก็รู้แล้วว่าพวกเขาใช้วิธีการสื่อสารที่มีเฉพาะในผู้เล่นเท่านั้น จึงไม่เอ่ยปากรบกวน หลับตาพักผ่อนและหันหลังให้เสียเลย
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้น ก็ส่งข้อความอย่างจนใจอีกว่า [พวกเจ้านี่เลอะเลือน!]
เมื่อเห็นทั้งสองยังไม่สะทกสะท้าน เยี่ยเว่ยหมิงก็ทำได้เพียงพร่ำอธิบาย [ตอนนี้ที่เขาอู่ตังมีทั้งศึกภายในและศึกภายนอก ถ้าอยากแก้ไขปัญหาโดยลงทุนให้น้อยที่สุด พวกเราก็ต้องรอบคอบทุกก้าว หาภัยคุกคามแฝงทั้งหมดที่อาจมีอยู่ออกมาแล้วแก้ไขทีละอย่าง…
…มีแต่ต้องทำอย่างนี้ ถึงจะทำได้ถึงขั้นที่ไม่หลงเหลือภัยคุกคามแฝงใดๆ…
…ไม่ใช่นำระเบิดที่จะทำลายป้อมปราการภายในมาฝังไว้ ทำเช่นนี้เหมือนปิดหูขโมยกระดิ่ง[2]!]
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเช่นนี้ ฉางซิงอวี่ก็ตอบอย่างจนใจ [ปัญหาก็คือพวกเราคิดวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้เลย…
…ดังนั้น ข้ากับปู้คุยแล้วก็ไต้ซือถึงได้ปรึกษากันว่าจะระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน ไม่ให้อินซู่ซู่มีโอกาสเจอหน้าอาจารย์ลุงสาม รอให้แก้ไขปัญหาข้างนอกเรียบร้อยแล้ว ค่อยคิดอีกทีว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร]
อินปู้คุยกล่าวเสริม [ที่จริงแล้ว พวกเขาสองใช่ว่าจะต้องพบหน้ากันเสมอไป ถึงขั้นว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลยด้วย…
…ในต้นฉบับเดิม เจ็ดจอมยุทธ์อู่ตังต้องการให้อินซู่ซู่เรียนกระบวนท่า ‘ค่ายกลเจ็ดสะบั้น’ จากอาจารย์ลุงสาม ให้นางใช้ฐานะผู้สืบทอดวิชาของอาจารย์ลุงสามร่วมมือกับอีกหกจอมยุทธ์สู้กับศัตรู ทำให้อาจารย์ลุงสามที่เสียทักษะยุทธ์ไปแล้วได้ช่วยอีกแรงยามเกิดวิกฤตกับสำนัก จะได้ทรมานใจน้อยลงสักหน่อย ถึงได้เร่งให้ทั้งสองพบหน้า ทำให้อาจารย์ลุงสามจำเสียงได้ว่าอินซู่ซู่คือใคร…
…เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์นั้น ศิษย์พี่ใหญ่จึงทำภารกิจค่ายกลเจ็ดสะบั้นสำเร็จนานแล้ว ทั้งยังฝึกวิชาดาบลึกลับของอาจารย์ลุงสามที่อยู่ใน ‘ค่ายกลเจ็ดสะบั้น’ จนถึงระดับที่ไม่เป็นรองพวกอาจารย์ลุงด้วย…
…ดังนั้น…ต้องโทษที่พวกเราลืมบอกสหายเยี่ยล่วงหน้า ควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี]
แต่คาดไม่ถึง หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงเห็นข้อความจากทั้งสองแล้ว นอกจากจะไม่เผยสีหน้ารู้สึกผิด กลับตอบข้อความว่า [พวกเจ้าคงไม่ได้คิดจริงๆ ใช่ไหมว่าถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงทิศทางการดำเนินเรื่องจะทำได้ง่ายอย่างที่เจ้าพูด]
อินปู้คุยได้ยินแล้วตะลึงงัน นึกขึ้นได้ทันทีว่าเยี่ยเว่ยหมิงคือผู้มีประสบการณ์เรื่องนี้อย่างเป็นทางการ จึงถามทันทีว่า [มีอะไรไม่เหมาะสมตรงไหนหรือ]
[ปัญหาใหญ่แล้ว!] เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างเจ็บใจที่อีกฝ่ายไม่ได้เรื่องอย่างที่ตนหวังไว้ [เรื่องที่ข้าทำหยางคังตายก่อนหน้านี้ ข้าก็เคยบอกเจ้าแล้วว่าวิธีการปรับแก้เนื้อเรื่องของระบบนั้นหน้าไม่อายขนาดไหน เจ้าน่าจะจินตนาการออกนะ]
เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างใจเย็น [การตายของจางชุ่ยซานและฮูหยินแม้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่องมากเท่าการตายของหยางคัง ตามหลักการแล้วคงอยู่ต่อไปได้ แต่ระบบกลับไม่ปล่อยให้เจ้าบรรลุเป้าหมายด้วยวิธีการนี้ง่ายๆ หรอก…
…แล้วก็…] เยี่ยเว่ยหมิงมองทั้งสองด้วยสายตาจริงจัง [พวกเจ้าแน่ใจขนาดนั้นเชียวหรือว่าในบรรดาผู้เล่นจากหกสำนักใหญ่ที่เข้าร่วมภารกิจนี้ ไม่มีใครรู้จักเนื้อเรื่องตามต้นฉบับเดิมแล้วใช้ประโยชน์จากจุดนี้เมื่อถึงยามคับขัน]
[เอ่อ…]
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงโยนคำถามสุดท้ายออกมา อินปู้คุยกับฉางซิงอวี่ก็มองหน้ากันเลิกลั่ก พอนึกถึงความเป็นไปได้ที่เขาบอกก็นึกกลัวขึ้นมาทีหลังพร้อมกัน
ตอนนี้เอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ซ่งหย่วนเฉียวเดินนำบรรดาบุคคลที่เยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึงก่อนหน้านี้กลับมาพร้อมกันแล้ว
[1] ขวางกั้นมิสู้ขุดลอก 堵不如疏 หมายถึง เมื่อเจอปัญหาก็ไม่ควรระงับไว้ เพราะจะทำให้แก้ไขยากกว่าเดิม
[2] ปิดหูขโมยกระดิ่ง 掩耳盜鈴 หมายถึงคนโง่ที่คิดว่าตนเองจะหลอกผู้อื่นสำเร็จ