ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 622 ภารกิจของอี้เติง!
ตอนที่ 622 ภารกิจของอี้เติง!
เมื่อเห็นน้องดาบเริ่มเถียงคอเป็นเอ็นแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็โบกมือบอกใบ้ว่าอย่าใจร้อน พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นของตนเองต่อเรื่องนี้อย่างสุขุมมาก
“ที่จริงข้ารู้สึกว่า การจะแก้ปัญหานี้อย่างไรนั้น ประเด็นสำคัญคือต้องดูท่าทีของหวังฉงหยาง นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงบอกว่าหลังจากเกิดเรื่องแล้วให้ถามหวังฉงหยางทันที ต้องให้เขาแสดงท่าทีที่ชัดเจน”
หากเทียบกับความหัวรุนแรงของน้องดาบ การวิเคราะห์ของเยี่ยเว่ยหมิงกลับดูใจเย็นกว่ามาก “หากหวังฉงหยางรู้จักวางตัวเป็น ไม่ดันทุรังปกป้องคนของตัวเอง ฆ่าสุนัขตัวผู้ตัวเมียคู่นี้ทิ้งก็สิ้นเรื่องแล้ว”
น้องดาบได้ยินแล้วซักไซ้อย่างสงสัย “หากหวังฉงหยางเข้าข้างคนของตนเองล่ะ”
“เช่นนั้นก็ระดมทัพ ใช้กำลังทหารพูดคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผล” เยี่ยเว่ยหมิงวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน “แต่ด้วยทักษะยุทธ์ของหวังฉงหยางกับโจวปั๋วทง หากพวกเขาสองคนร่วมมือกัน เกรงว่าต่อให้เป็นราชันทักษิณร่วมมือกับกองทัพต้าหลี่ ก็ยังทำอะไรพวกเขาไม่ได้อยู่ดี…
…แต่นั่นก็ไม่สำคัญ แค่ฆ่าผู้หญิงคนนั้นทิ้งก็สิ้นเรื่องแล้ว…
…หากหวังฉงหยางช่วยให้โจวปั๋วทงพาอิ๋งกูหนีไป เช่นนั้นก็แสดงว่าหวังฉงหยางก็ไม่ใช่คนดีอะไร จัดให้พวกเขากลายเป็นศัตรูเหมือนกันได้เลย…
…รับมือกับคนประเภทนี้ ก็ไม่ต้องให้ความสำคัญกับศีลธรรมในยุทธภพแล้ว…
…ราชันทักษิณใช้ฐานะกษัตริย์ของต้าหลี่ส่งสาสน์ไปที่ภาคกลาง ประนามพฤติกรรมชั่วช้าของหวังฉงหยางและศิษย์น้องของเขา…
…พร้อมประกาศไล่ฆ่าในยุทธภพ ตบรางวัลหนักๆ แลกกับชีวิตศิษย์ของฉวนเจิน…
…กดดันจากทางฝั่งราชสำนักและยุทธภพ!…
…ประกอบกับราชันทักษิณมีความได้เปรียบด้านคุณธรรมโดยสมบูรณ์ คิดว่าหากจะถอนรากถอนโคนสำนักฉวนเจินก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่”
“มารร้าย!” พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน อิ๋งกูที่เดิมสีหน้าเคียดแค้นสังคม ในที่สุดตอนนี้ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวแล้ว “ไม่สิ! เจ้าไม่ใช่มารร้าย พวกนางสองคนต่างหากที่เป็นมารร้าย ส่วนเจ้าคือจอมมาร! แม้แต่วิธีการเช่นนี้ก็ยังคิดได้ เจ้าเป็นจอมมารที่ไร้ความเป็นมนุษย์!”
“ทำไมข้าาเป็นจอมมารไปได้ล่ะ”
เยี่ยเว่ยหมิงนวดจมูกอย่างรู้สึกไม่ยุติธรรม กล่าวอย่างจนใจมากว่า “หลอกลวงกษัตริย์ ประหารเก้าชั่วโคตร นี่คือวิธีการคือขั้นพื้นฐานของกษัตริย์ไม่ใช่หรอกหรือ”
ขี้คร้านจะเปลืองน้ำลายกับผู้หญิงที่คิดเข้าข้างตัวเอง เยี่ยเว่ยหมิงหันไปบอกอี้เติง “แต่ฟังจากคำพูดของพวกท่าน ข้าเดาว่าท่านคงไม่ได้ใช้วิธีการที่ข้ากล่าวไปก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่”
“ไม่ผิดหรอก” อี้เติงประนมมือแล้วตอบอย่างจริงใจมาก “อาตมาเลือกให้อภัยพวกเขา ช่วยให้พวกเขาสมหวัง”
มารดาเจ้าเถอะ!
แม้จะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเนื้อเรื่องเป็นเช่นนี้ แต่พอได้ยินอี้เติงกล่าวคำนี้ออกมาอย่างผ่อนคลาย เยี่ยเว่ยหมิงก็พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
เรื่องแบบนี้ให้อภัยกันได้ด้วยเหรอ
เจ้าอย่าเรียกตัวเองว่าราชันทักษิณเลย เปลี่ยนชื่อเป็นราชันให้อภัยเสียเลยสิ!
แต่ในเมื่อคู่กรณีอย่างอี้เติงไม่โกรธ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน จึงไม่พูดอีกแล้ว แต่ฟังเขาเล่าเรื่องให้อภัยนั่นต่อ
จะว่าไปแล้ว ในกลยุทธ์ของอินปู้คุยก็ไม่ได้เน้นบรรยายในเรื่องส่วนนี้มาก เขารู้มาเพียงคร่าวๆ เท่านั้น ในเมื่อกำลังจะรับภารกิจ ไม่สู้ฟังเรื่องนี้ให้ละเอียดหน่อยดีกว่า
ซึ่งเรื่องราวหลังจากนั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ราชันทักษิณเลือกให้อภัยพวกเขา ทำให้พวกเขาสมหวัง แต่ทางฝั่งโจวปั๋วทงกลับเล่นพิเรนทร์อีกแล้ว
หลังจากถูกหวังฉงหยางตำหนิสั่งสอน โจวปั๋วทงก็รับรู้ถึงความผิดของตัวเองอย่างลึกซึ้ง รู้สึกผิดมากกับพฤติกรรมที่ตัวเองกระทำต่อภรรยาของสหาย
99-*
สำหรับพฤติกรรมของผู้ชายเลวประเภทนี้ เยี่ยเว่ยหมิงตัดสินใจไม่วิจารณ์
ตามหลักการแล้ว การกระทำของโจวปั๋วทงแม้ชั่วช้ามาก แต่เนื่องจากสภาพจิตใจของเขายังเป็นเด็ก ก็วิจารณ์เขาในฐานะ ‘ผู้ชาย’ คนหนึ่งไม่ได้จริงๆ
หากเทียบกับโจวปั๋วทงที่บกพร่องโดยกำเนิด ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือรสนิยมของอิ๋งกู
นับเป็นโรคใคร่เด็กได้หรือเปล่า
โจวปั๋วทงหนีไปแล้ว แต่ผู้หญิงที่นอกใจสามีอย่างอิ๋งกูยังหน้าด้านอยู่ในวังของอดีตสามี เสพสุขกับชีวิตที่เต็มไปด้วยอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ทุกวัน ทั้งยังขับร้องเพลง ‘ซื่อจางจี’ สร้างความบันเทิงให้ตนเองเป็นระยะ ถือโอกาสสร้างความรำคาญใจให้ต้วนจื้อซิง
ซึ่งต้วนจื้อซิงก็เลี้ยงดูนางเช่นนี้มาตลอด กระทั่งหลังจากผ่านไปสิบเดือน อิ๋งกูก็ให้กำเนิดบุตรของโจวปั๋วทง
หากได้อ่านแค่เรื่องราวตรงนี้อย่างเดียว เกรงว่าทุกคนคงคิดว่าเด็กคนนี้เป็นพระเอกของเรื่องแน่ๆ ในอนาคตจะต้องทำเรื่องใหญ่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินแน่นอน
แต่ความจริงก็คือเขาเกิดมาได้ไม่นานก็ตายตั้งแต่ยังเด็กแล้ว
คนที่ลงมือร้ายกาจมาก เขาเพียงใช้พลังฝ่ามือโจมตีเด็กคนนั้นให้บาดเจ็บ แต่กลับไม่ได้เอาชีวิตเด็กคนนั้นในทันที
ขณะที่อิ๋งกูกำลังเศร้าโศก จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่ต้วนจื้อซิงเคยบอกนาง เขาบอกว่า ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ของเขาไม่เพียงแค่เป็นวิทยายุทธ์ที่ร้ายกาจ ทั้งยังช่วยเหลือคนได้ไม่แพ้ใคร ไม่ว่าอาการบาดเจ็บภายในจะร้ายแรงแค่ไหนก็ช่วยกลับมาได้
เพียงแต่ถ้าจะใช้ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ช่วยชีวิตคน ผลข้างเคียงของมันก็ไม่ต่างกับ ‘มารสวรรค์ทลาย’ เท่าไร อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นฟูพลังกลับมาได้
สำหรับผู้หญิงที่หน้าไม่อายคนนี้ ต้วนจื้อซิงจะยอมให้ตัวเองสูญเสียพลังหลายปีเพื่อช่วยชีวิตตัวบาปกรรมที่นางกับชายชู้สร้างขึ้นมาอย่างนั้นหรือ
ใช่แล้ว เขาทำอย่างนั้น!
แต่ตอนที่เขารับปากว่าจะช่วยคน นำเด็กคนนั้นกลับมาที่ห้องแล้วแกะผ้าห่อตัวออก กลับพบว่าบนตัวเด็กคนนั้นยังสวมชุดชั้นในสีแดงตัวหนึ่งด้วย บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ซื่อจางจี นกยวนยางปรารถนาบินเคียงคู่ อนาถเกศาขาวก่อนวัยชรา ระลอกคลื่นสารทฤดู หญ้าขจีริมสระ รุ่งอรุณอันเหน็บหนาว นกยวนยางเคียงคู่เล่นน้ำ’
เมื่อได้เห็นชุดชั้นในสีแดงตัวนี้ ต้วนจื้อซิงก็รู้สึกแย่ไปทั้งตัว
นี่เจ้ากำลังขอให้เขาช่วยชีวิตคน หรือกำลังทำให้เขาสะอิดสะเอียนกันแน่
ภายใต้ความเดือดดาล ต้วนจื้อซิงจึงคืนลูกให้อิ๋งกู ให้นางไปอธิษฐานขอพรเอาเอง!
จากนั้นก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เด็กคนนั้นตายตั้งแต่อายุยังน้อย
จากนั้นอิ๋งกูก็เคียดแค้นต้วนจื้อซิงมาตลอด
ส่วนต้วนจื้อซิงก็รู้สึกผิดต่ออิ๋งกูเช่นกัน ถึงขั้นละทิ้งตำแหน่งฮ่องเต้ ไปออกผนวชที่วัดเทียนหลงตามธรรมเนียมของสกุลต้วน
เรื่องราวช่วงแรกจบแล้ว
เมื่อฟังเรื่องราวจบ จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าราชันทักษิณจอมปลอมเกินไป
คนที่ใจอ่อนแอเหมือนสตรีขนาดนี้ เหมาะสมจะเป็นกษัตริย์จริงหรือ
หากพูดจากมุมนี้ การที่เขาบวชเป็นพระก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
เกมแย่งชิงอำนาจไม่เหมาะกับเขาจริงๆ!
ส่วนอิ๋งกูนั่น เยี่ยเว่ยหมิงก็ขี้คร้านจะชายตามอง
แม่หม้ายจอมอาฆาตที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ วางตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางทุกอย่าง ไม่รู้จักมารยาท ไร้ยางอาย นับเป็นมลพิษทางสายตาจริงๆ!
ตอนนี้เอง น้องดาบที่อยู่ข้างๆ พลันส่งข้อความในช่องทีม [อิ๋งกูคนนี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว ทั้งยังวางท่าเหมือนตัวเองมีเหตุผลมาก ที่ข้าอึ้งกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะอี้เติงจะรู้สึกผิดต่อผู้หญิงประเภทนี้!…
…ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องสังหารนาง!]
[สังหารนางย่อมทำได้] เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า [แต่เรื่องนั้นไม่ต้องรีบหรอก ภารกิจสำคัญกว่า]
น้องดาบกับสะพานสวรรค์น้อยพยักหน้าพร้อมกัน นับว่าเห็นด้วยกับเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
ตอนนี้กลับได้ยินต้วนจื้อซิงบอกว่า “ช่วงนี้อาตมาได้ข่าวมาว่าเกาะดอกท้อทางทะเลตะวันออกจัดงานประลองยุทธ์เลือกคู่ สำหรับผู้ชนะการประลอง หวงเย่าซือจะทำตามคำขอบางอย่างที่ไม่ถือว่ามากเกินไป เช่นเรียนทักษะยุทธ์ใดๆ ก็ได้ของเกาะดอกท้อ หรือขอให้เขาปล่อยตัวโจวปั๋วทงก็ได้…
…แต่เงื่อนไขก็คือ ผู้ที่เข้าร่วมประลองจะต้องถูกแนะนำโดยผู้สืบทอดวิชาของห้ายอดฝีมือใต้หล้า…
…ดังนั้น อาตมาหวังว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ยจะใช้ฐานะผู้สืบทอดวิชาของอาตมาไปเข้าร่วมการประลองเลือกคู่ครั้งนี้”