ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 631 คนไร้ยางอาย
ตอนที่ 631 คนไร้ยางอาย
ผู้พูดผมยาวคลุมไหล่ สวมชุดสีขาวทั้งตัว มัดผมด้วยผ้าสีทอง เมื่อสะท้อนกับชุดสีขาวดุจหิมะ ก็ยิ่งดูเปล่งประกายสวยงาม มองจากรูปลักษณ์ภายนอก นางน่าจะอายุประมาณสิบห้าสิบหกเท่านั้น ผิวขาวราวหิมะ สวยน่ารักไร้ที่เปรียบ ใบหน้างดงามโดดเด่น เปล่งประกายจนมิอาจมองใกล้ๆ
สตรีที่งดงามดุจเทพธิดาผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือตัวละครหลักของการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้ หวงหรง
เพียงแต่การปรากฎตัวของหวงหรงครั้งนี้ นางใช้น้ำเสียงที่เป็นกันเองคุยกัน ทำเอาเยี่ยเว่ยหมิงงุนงงราวกับมีหมอกควันในสมอง “เจ้ามาหาข้าทำไม”
“แน่นอนว่ามาด้วยเรื่องดีๆ” หวงหรงยิ้มบางๆ จากนั้นมองซ้ายมองขวาอีก “คุยตรงนี้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ไปคุยกันส่วนตัวได้ไหม”
ดูท่าแล้ว ข้าคงไปกระตุ้นภารกิจลับบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจสินะ
ในใจคิดเช่นนี้ แต่ปากเยี่ยเว่ยหมิงตอบไปเรื่อยเปื่อยว่า “เช่นนั้นก็มาคุยที่ห้องข้าแล้วกัน”
เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนถามอีก “จะว่าไปแล้ว หากสะพานสวรรค์น้อยฟังอยู่ข้างๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหม”
หวงหรงมองสะพานสวรรค์น้อยปราดหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบ “แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับนาง แต่ให้นางฟังอยู่ข้างๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มพอใจ ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เปิดห้องของตัวเองแล้วหันตัวมาผายมือ ‘เชิญ’ เชิญสตรีทั้งสองคนอย่างเป็นสุภาพบุรุษมาก
หลังจากทั้งสามเข้าห้องก็ต่างคนต่างนั่ง หวงหรงเข้าประเด็นทันที “เยี่ยเว่ยหมิง ระหว่างเราแม้เคยร่วมงานกันที่จวนอ๋องจ้าว แต่การร่วมงานกันก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้น่าพอใจนัก ทั้งยังไม่นับว่าสนิทสนมอะไรกัน ดังนั้นข้าจะไม่พูดจาสนิทสนมกับเจ้าให้รู้สึกน่ารำคาญ เราเข้าประเด็นหลักกันเลยเป็นอย่างไร”
“ดีมาก” เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่าแน่นอนอยู่แล้ว “ว่ากันว่าคนชัดเจนไม่พูดจาคลุมเครือ มีอะไรก็พูดกันตรงๆ นี่คือวิถีชาวยุทธ์ของข้า วิธีการสื่อสารที่แม่นางหวงเสนอมา ข้าชอบมาก”
เมื่อเห็นทั้งสองนั่งลงแล้วเตรียมจะเจรจาเงื่อนไขกันอย่างชัดเจน สะพานสวรรค์น้อยที่รู้ตัวว่าไม่ได้มีความสามารถด้านนี้จึงเลือกหุบปากอย่างลังไม่เล เพียงนั่งอยู่ข้างๆ อย่างว่าง่าย ดูการแสดงของเยี่ยเว่ยหมิงกับหวงหรงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ตอนนี้ หวงหรงจึงเอ่ยว่า “พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าจะมอบหมายภารกิจลับให้เจ้า ภารกิจอาจจะทำให้การประลองของเจ้าเพิ่มความยากขึ้นนิดหน่อย แต่หากทำสำเร็จได้ดี ก็อาจจะได้รางวัลพิเศษด้วยนะ”
“อ้อ?” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วเลิกคิ้วถาม “ลองอธิบายให้ข้าฟังที”
หวงหรงกลับส่ายหน้า “พวกเจ้าต้องรับประกันก่อน ว่าภารกิจนี้ไม่ว่าเจ้าจะรับหรือไม่ พวกเจ้าสองคนก็จะต้องเก็บเป็นความลับให้ข้า ก่อนที่การประลองยุทธ์ครั้งนี้จะจบลง ห้ามเอ่ยเรื่องนี้กับอีกสี่คนที่เหลือ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วหันไปมองสะพานสวรรค์น้อย อีกฝ่ายพยักหน้าสื่อว่าไม่มีปัญหา เสร็จแล้วถึงได้ตอบกลับว่า “ไม่มีปัญหา เจ้าพูดมาได้เลย”
เมื่อเห็นทั้งสองแสดงท่าทีแล้ว ในที่สุดหวงหรงก็บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของนาง “การประลองยุทธ์ ‘เลือกคู่’ ที่ก่อนหน้านี้พ่อข้าเลี่ยงเอ่ยถึง มีเพียงพี่กัวจิ้งกับเจ้าตัวพิษเข้ารวมสองคน กติกาประลองสนามแรกของพวกเขาเหมือนกับกติกาประลองสนามที่สองของพวกเจ้า ล้วนเป็นการประลองเลือกคู่บนต้นท้อ อาจารย์ข้าสู้กับโอวหยางเค่อ ตาเฒ่าพิษสู้กับพี่กัวจิ้ง…
…สภาพร่างกายของอาจารย์กับตาเฒ่าพิษ ระหว่างการต่อสู้สองสนามไม่มีทางฟื้นตัวได้เร็วแน่ อีกทั้งต้องสู้กับพวกเจ้าต่อ หลังจากนั้นค่อยมาสู้กับพี่กัวจิ้งและเจ้าตัวพิษ”
พอกล่าวถึงตรงนี้ ในดวงตาของหวงหรงก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ “ดังนั้น ข้าหวังว่าในการประลองสนามที่สองของพรุ่งนี้ พวกเจ้าจะพยายามลดกำลังภายในของตาเฒ่าพิษ หากทำให้เขาบาดเจ็บได้นิดหน่อยก็จะดีสุดๆ เลย”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วหลุดขำ “เป็นการประลองที่ยากขึ้นจริงๆ!”
ต้องทราบไว้ว่า เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ศัตรูแข็งแกร่งกว่าตัวเองแล้วอยากจะยืนหยัดต่อสู้ได้นานๆ ทางที่ดีที่สุดคือใช้กลยุทธ์สู้ไปด้วยหลบไปด้วย อย่าให้อีกฝ่ายแตะต้องได้
ซึ่งหากต้องการทำภารกิจของหวงหรงให้สำเร็จ ก็เห็นได้ชัดว่าขัดกับกลยุทธ์นี้ ระดับความยากก็ต้องเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
หวงหรงยิ้มบางๆ “เช่นนั้นเจ้าจะตอบตกลงหรือไม่ตกลงล่ะ”
“ข้ามีสามคำถาม” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างใจเย็นมาก
“หนึ่ง ก่อนหน้านี้พ่อเจ้าเคยบอกว่า การประลองสนามที่สองของวันพรุ่งนี้ จะกำหนดคู่ต่อสู้โดยการจับสลาก เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าคู่ต่อสู้ของข้าคือโอวหยางเฟิง”
หวงหรงตอบอย่างตรงไปตรงมามาก “เรื่องนี้ข้าจะคิดหาวิธีการเอง เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วถามต่อ “ข้อสอง ทำไมเจ้าถึงเลือกข้า แทนที่จะเลือกจันทราสะท้อนน้ำ ศิษย์เกาะดอกท้อของพวกเจ้า”
นี่คือคำถามที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่เข้าใจมาตลอด หากนับตามค่าความรู้สึกดีกับภารกิจย่อยก่อนหน้านี้ จันทราสะท้อนน้ำได้เปรียบมากกว่าแน่นอน
หวงหรงตอบอย่างสมเหตุสมผลว่า “เพราะในบรรดาห้าคน เจ้านับว่าสู้เก่งที่สุด อีกทั้งเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความสุขในชีวิตแต่งงานของข้า ไม่อาจตัดสินใจเลือกจากความดีความชั่วได้อยู่แล้ว แต่ต้องเลือกคนที่ตัวเองมั่นใจที่สุด”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วโยนคำถามที่ถามออกมา “ข้อสาม ข้าจะได้ประโยชน์อะไร”
“จะคำนวณตามระดับความสำเร็จของเจ้า” หวงหรงตอบอย่างจริงใจมาก “แต่ข้ารับประกันว่าจะเลือกรางวัลภารกิจที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดแน่นอน อีกทั้งจะมีของสามอย่างให้เจ้าเลือกเอง ส่วนคุณภาพของรางวัล เจ้าก็ยิ่งไม่ต้องกังวลเลย ถึงอย่างไรก็มีกติกาสูงสุดอยู่แล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าใช้อุบายหลอกลวงไม่ได้”
[ติ๊ง! พบภารกิจลับ ‘ตัดกำลังพิษประจิม’]
[ตัดกำลังพิษประจิม]
ในสนามที่สองของการประลอง พยายามตัดกำลังของพิษประจิมโอวหยางเฟิงให้มากที่สุด
ระดับภารกิจ: 7 ดาว
รางวัลภารกิจ: กำหนดตามระดับความสำเร็จในการทำภารกิจ
บทลงโทษภารกิจล้มเหลว: ค่าความรู้สึกดีของหวงหรงลดลง 20 แต้ม
จะรับภารกิจหรือไม่
อ่านข้อความแจ้งเตือนของระบบปราดหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ แล้วพ่นออกมาสองคำ “ตกลง! ”
……
ไม่ได้พูดอะไรเลยทั้งคืน เช้าวันต่อมา ผู้เล่นห้าคนก็เบียดกันอยู่ในศาลาฝึกกระบี่
คนสำคัญหลายคนก็มาดูการต่อสู้เช่นกัน กล่าวได้ว่านอกจากคนใช้หูหนวกเป็นใบ้ของเกาะดอกท้อ ทุกคนก็มารวมตัวที่นี่หมดแล้ว
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ปลายเท้าของหวงเย่าซือก็แตะบนพื้นเบาๆ หนึ่งที ร่างทะยานขึ้นไปเหยียบบนหลังคาเก่าๆ ของศาลาฝึกกระบี่ “ระหว่างต่อสู้ ไม่ว่าใครก็ห้ามเป็นฝ่ายลงมือโจมตีคนอื่นก่อน ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษตามกติกา…
…เช่นนั้นตอนนี้ การประลองเริ่มต้นแล้ว!”
พูดจบก็ไม่เสียเวลาอีก เขานำขลุ่ยหยกตรงเอวออกมาจดริมฝีปากแล้วเริ่มเป่าทันที
จากนั้นเพลงกวนกระแสทะเลครามก็ดังขึ้น ผู้เล่นทั้งห้าต่างคนต่างนั่งขัดสมาธิ แล้วเริ่มโคจรวิชาต้านเสียงขลุ่ยเงียบๆ
แต่ยิ่งจังหวะของเสียงขลุ่ยเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยอดฝีมือหลายคนที่อยู่รอบๆ ก็ค้นพบทันทีว่าการทดสอบนี้ของหวงเย่าซือมีลับลมคมใน!
แน่นอน ลับลมคมในนี้ไม่ใช่ว่าเขาเล่นตุกติกอะไรในเสียงขลุ่ย
แต่เป็นเพราะในบรรดาผู้เข้าประลองทั้งห้า ไม่น่าเชื่อว่าจันทราสะท้อนน้ำก็หยิบขลุ่ยทองออกมาเช่นกัน จากนั้นก็เริ่มเป่าขลุ่ย เพลงที่เป่าเหมือน ‘เพลงกวนกระแสทะเลคราม’ อีกทั้งจังหวะทำนองก็เหมือนกับเพลงของหวงเย่าซือไม่มีผิด ฟังแล้วเหมือนบรรเลงซ้อนกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเสียงขลุ่ยของหวงเย่าซือที่มีต้นกำหนดเดียวกันสร้างดาเมจต่อจันทราสะท้อนน้ำได้เพียงครึ่งเดียว ส่วนคนที่เหลือก็จะต้องแบกรับดาเมจจากเสียงขลุ่ยเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย
ถ้าบรรยายด้วยจำนวนง่ายๆ ความกดดันที่เดิมทีจันทราสะท้อนน้ำต้องแบกรับคือสิบ ตอนนี้กลายเป็นห้าแล้ว
ส่วนความกดดันที่คนอื่นแบกรับ จากสิบกลายเป็นสิบเอ็ด
แบบนี้เท่ากับเป็นการโกงที่อยู่ภายในกติกาจริงๆ!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนอื่นๆ จะรับไหวหรือ
เพื่อไม่ให้ตัวแทนของตนเสียเปรียบเกินไป โอวหยางเฟิงจึงนำกู่เจิงเหล็กออกมาตัวหนึ่ง เขาวางกู่เจิงเหล็กไว้ข้างหน้า นั่งขัดสมาธิตรงหน้ากู่เจิงเหล็กแล้วบอกว่า “พี่เย่า ข้าก็จะช่วยสร้างความบันเทิงเช่นกัน!”
ระหว่างที่พูดก็เริ่มดีดบรรเลงแล้ว
เมื่อเริ่มบรรเลงกู่เจิงเหล็ก เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกทันทีว่าทุกเสียงในเพลงกู่เจิงเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจเต้นของเขา เมื่อกู่เจิงเหล็กดังหนึ่งครั้ง หัวใจเขาก็เต้นหนึ่งครั้ง ยิ่งเสียงกู่เจิงเร็วเท่าไร หัวใจของเขาก็เต้นเร็วตามไปด้วย รู้สึกเพียงว่าหัวใจแต้นแรง อึดอัดเป็นอย่างมาก
ภายใต้แรงกดดันสองชั้นของกู่เจิงเหล็กกับขลุ่ยหยก แม้แต่ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้ ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ ต้านก็ยังรู้สึกว่าเปลืองแรง ทำได้เพียงโยนความคิดฟุ้งซ้านทิ้งไป แล้วโคจรกำลังภายในทั้งหมดปกป้องร่างกายและหัวใจ
เมื่อทำเช่นนี้ เขากลับประหลาดใจเมื่อพบว่าค่าประสบการณ์ของ ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากเทียบกับก่อนหน้าที่ถือว่าเร็วขึ้นหลายส่วน!
ที่โอวหยางเฟิงเข้ามายุ่งตอนนี้ ก็ย่อมทำเพื่อดูแลผู้ร่วมประลองของตนเอง เสียงกู่เจิงของเขาสร้างดาเมจกับผู้ร่วมประลองคนอื่นเหมือนกัน มีเพียงเมฆเคลื่อนเดียวดายที่ได้รับดาเมจต่ำกว่าคนอื่นเล็กน้อย
เมื่อเห็นเจ้าคนไร้ยางอายทั้งสองช่วยคนของตัวเองโกงอย่างโจ่งแจ้ง หงชีกงที่นิสัยตรงไปตรงมาก็ไม่สบอารมณ์แล้ว ถอยหลังก้าวหนึ่งทันที จากนั้นเงยหน้าลากเสียงยาวคำรามขึ้นฟ้า
เสียงของเขาไม่มีคุณค่าใดๆ ทางดนตรี แต่กลับทำลายจังหวะเดิมของขลุ่ยหยกและกู่เจิงเหล็กได้มาก แม้จะสร้างแรงกดดันต่อผู้เข้าร่วมประลองมากเช่นกัน แต่กลับลดความแตกต่างในการรับแรงกดดันระหว่างพวกเขาได้เยอะมาก นับว่าทำให้การแข่งขันที่เดิมทีไม่ยุติธรรม กลายเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรมขึ้นมาเล็กน้อย
ดาเมจคลื่นเสียงจากสามยอดฝีมือกำลังก่อกวนกันและกัน สลับกันเหมือนฟันปลา แรงกดดันบนตัวของทุกคนกำลังเพิ่มขึ้น!
แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงเอง เมื่ออยู่ภายใต้การโจมตีด้วยคลื่นเสียงของสามยอดฝีมือ ความเร็วในการฟื้นฟูพลังชีวิตก็ไม่ทันกับจำนวนที่เสียไปแล้ว แถบพลังชีวิตเหนือศีรษะไหลลดอย่างรวดเร็วจนตาเปล่าสังเกตเห็นได้
หลังจากนั้นพักหนึ่ง สะพานสวรรค์น้อยที่พื้นฐานกำลังภายในค่อนข้างแย่ก็เป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว ภายใต้การกดขี่จากเสียงดนตรีสามด้าน นางกลายเป็นแสงสีขาวหายไปแล้ว กลับไปรายงานตัวที่จุดคืนชีพของเกาะดอกท้อแล้ว
แต่เมื่อมีการปกป้องจากกติกาของระบบ นางไม่ได้ถูกลงโทษเพราะตายแต่อย่างใด ถึงขนาดว่าไม่ตัดจบภารกิจกลางคันด้วย นี่เป็นเพียงการประลองกำลังภายในยกแรกเท่านั้น นางถูกหักคะแนนเพียงหนึ่งคะแนน
หลังจากสะพานสวรรค์น้อยไปแล้ว เทียนหวังขอร้องเสือเจ้าถิ่นจากพรรคกระยาจกก็แทบจะตามหลังสะพานสวรรค์น้อยไปติดๆ
หลังจากนั้นก็เป็นเมฆเคลื่อนเดียวดายกับจันทราสะท้อนน้ำ
พวกเขาอดทนได้นานขึ้นหน่อย ไม่ใช่เพราะมีพื้นฐานกำลังภายในแข็งแกร่งกว่า เพียงแต่มีผู้อาวุโสสำนักเดียวกันช่วยโกง ย่อมแสดงออกได้ดีกว่าสะพานสวรรค์น้อยกับเทียนหวังขอร้องเสือเจ้าถิ่นอยู่แล้ว
หากเทียบกับแล้ว หงชีกง อี้เติงและโจวปั๋วทงก็จนใจมากเช่นกัน ใครใช้ให้พวกเขาไม่รู้จักวิธีการโจมตีด้วยคลื่นเสียง จึงไม่อาจทำประโยชน์ให้คนของตัวเองได้
ผู้เข้าร่วมประลองห้าคนตายไปแล้วสี่คน เหลือเพียงเยี่ยเว่ยหมิงคนเดียว เขากินยาฟื้นฟูพลังชีวิตอีกเม็ด แล้วอดทนต่อไปอย่างยากลำบาก
การกระทำนี้ทำให้ยอดฝีมือทั้งสามเริ่มไม่พอใจแล้ว
ตอนนี้คู่แข่งของเจ้าตายหมดแล้ว ต่อให้เจ้าตายตอนนี้ก็ยังได้รางวัลสูงสุดห้าคะแนนอยู่ดี
เจ้าจะไว้หน้าสักหน่อยไม่ได้หรือ ไปรวมตัวกับพวกเขาที่จุดคืนชีพอย่างสง่างามหน่อยไม่ใช่หรือ
เจ้ายังจะกินยาเพื่อทนต่ออีก!
เจ้าทำเช่นนี้ ทำให้พวกเราเสียหน้ามาก เจ้ารู้ไหม
เยี่ยเว่ยหมิงขี้คร้านจะสนใจว่าพวกเขาจะเสียหน้าหรือไม่
เขารู้เพียงว่า ภายใต้แรงกดดันสามชั้นของคลื่นเสียงนี้ ‘คัมภีร์เทพสาดส่อง’ กำลังจะเพิ่มเลเวลแล้ว!