ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 634 ใช้นิ้วกลางคำนับพิษประจิม
ตอนที่ 634 ใช้นิ้วกลางคำนับพิษประจิม
รู้สึกได้ถึงอารมณ์หวาดกลัวที่โอวหยางเค่อแสดงออกมากะทันหัน สายตาคมกริบของโอวหยางเฟิงมองตามสายตาของเขาไปบนตัวเยี่ยเว่ยหมิงทันที เมื่อเห็นท่าทางที่มีเจตนาไม่ซื่อของเยี่ยเว่ยหมิง ก็ทำเสียงฮึดฮัดแล้วตะคอกว่า “เจ้าเด็กนี่ รนหาที่ตาย!”
อี้เติงเห็นสถานการณ์ดังนั้น จึงก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวทันที “อามิตตาพุทธ!”
สายตาโอวหยางเฟิงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น “ต้วนจื้อซิง เจ้าเด็กมอมที่เจ้าพามาเกิดจิตสังหารต่อเค่อเอ๋อร์ของข้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากเข้ามาอยู่ในความขัดแย้ง ทางที่ดีก็หลีกไป อย่านึกว่าข้าโอวหยางเฟิงกลัวเจ้านะ”
อี้เติงเห็นดังนั้น กลับไม่มีท่าทีว่าจะหลบหลีก เพียงประนมมือกล่าวว่า “ในฐานะที่อาตมาเป็นพระ ไม่ได้อยากต่อสู้กับใครทั้งนั้น แต่จอมยุทธ์น้อยเยี่ยได้รับการไหว้วานจากอาตมาให้มาเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ อาตมาย่อมมีหน้าที่ปกป้องเขาทุกด้าน”
ตอนนี้โอวหยางเฟิงนำไม้เท้างูออกมาแล้ว “ต้วนจื้อซิง เจ้าคิดดีแล้วจริงหรือ”
“อามิตตาพุทธ!”
“ช้าก่อน!”
เมื่อเห็นพิษประจิมกับราชันย์ทักษิณพูดจาไม่เข้าหูกันแล้วเตรียมจะลงมือ ในที่สุดหวงเย่าซือก็กระโดดลงมาจากหลังคาของศาลาฝึกกระบี่พร้อมเอ่ยว่า “วันนี้คือการประลองยุทธ์เลือกคู่ของลูกสาวข้า ไม่ใช่งานวิจารณ์ที่หัวซาน หากทั้งสองต้องการจะลงมือ ก็ไม่ต้องรีบตอนนี้ วันนี้โปรดไว้หน้าหวงเย่าซือสักหน่อย หยุดเท่านี้เถิด”
เมื่อทั้งสองได้ยินดังนั้น ก็ต่างคนต่างถอยก้าวหนึ่ง แสดงออกว่าพวกเขาไว้หน้าหวงเย่าซือแล้ว
ตอนนี้เอง ผู้เล่นหลายคนที่สะเทือนกลายเป็นแสงสีขาวหายไปก่อนหน้านี้ หลังจากได้ยินว่าเสียงเสียงอื้ออึงตรงนี้เงียบลง ก็ทยอยกลับกันมาแล้ว
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคน สะพานสวรรค์น้อยก็เข้าใกล้เยี่ยเว่ยหมิงแล้วกระซิบเบาๆ “พี่ใหญ่เยี่ย ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เท่าไร”
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงเก็บมีดสั้นของกัวจิ้งแล้ว เขาถามอย่างสบายๆ ว่า “ทำไมถึงไม่เข้าใจแล้วล่ะ”
“คืออย่างนี้นะ” สะพานสวรรค์น้อยกล่าวด้วยเสียงต่ำเบา “วันนี้มารบูรพา พิษประจิม ราชันย์ทักษิณ ยาจกอุดรและเฒ่าทารกมารวมตัวกันแล้ว ถึงขั้นว่าแม้แต่งานวิจารณ์กระบี่ที่เขาหัวซาน ยอดฝีมือกลุ่มนี้ก็อาจจะมาไม่ครบเท่านี้ก็ได้…
…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะรอให้ถึงงานวิจารณ์กระบี่ที่เขาหัวซานทำไม…
…วันนี้ทำศึกใหญ่บนเกาะดอกท้อเสียเลย ตัดสินแพ้ชนะไปเลยก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วหลุดขำ “นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร”
“จะไม่เหมือนกันได้อย่างไร” สะพานสวรรค์น้อยถาม
เยี่ยเว่ยหมิงครุ่นคิด จากนั้นอธิบาย “เรื่องนี้หากอธิบายขึ้นมาก็ซับซ้อน ข้ายกตัวอย่างแล้วเจ้าก็จะรู้เอง ใครก็รู้ว่าการแชมป์ชายเดี่ยวแบดมินตันโอลิมปิก เมื่อเล่นจนถึงตอนสุดท้ายแล้ว ต้องเป็น Xตัน สู้กับ XXเหว่ย เจ้าก็ยอมรับใช่ไหม”
สะพานสวรรค์น้อยพยักหน้า “ถึงข้าจะไม่สนใจกีฬา แต่เรื่องนี้ข้าก็รู้”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วถามอีก “เช่นนั้นหากพวกเขาสองคนไปรวมแข่งขันโอลิมปิก แล้วพบกันเป็นการส่วนตัวครั้งหนึ่ง แอบกำหนดแชมป์กันเองในการแข่งรอบต่อไป เจ้าคิดว่าชัยชนะแบบนี้ จะได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลกหรือเปล่า”
“ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” สะพานสวรรค์น้อยกล่าวอย่างหมดสนุก “เดิมทีข้านึกว่ายอดฝีมือบู๊ลิ้มพวกนี้ไม่สนใจผลประโยชน์กับชื่อเสียง เพียงทำไปเพื่อจุดสูงสุดของวิถีชาวยุทธ์ ถึงได้ไปเข้าร่วมงานวิจารณ์กระบี่หัวซาน พอมาดูตอนนี้ เหมือนจะไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป!”
“แค่กๆ!” เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงกับสะพานสวรรค์น้อยพูดจาเหลวไหลกันอยู่ตรงนั้น หวงเย่าซือในฐานะผู้จัดการประลองก็กระแอมหนึ่งที บอกใบ้ให้ทั้งสองระวังคำพูด จากนั้นเพื่อที่จะคลายความอึดอัด เขาก็เปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที “ในเมื่อพวกเจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นวันนี้ก็เริ่มการประลองสนามที่สองของวันนี้เลย เป็นการประลองกระบวนท่า”
ระหว่างที่พูด หวงเย่าซือก็นำห่อผ้าสีดำที่ห่อของบางอย่างเอาไว้ออกมาจากหน้าอก แล้วพูดต่อ “ก่อนการประลอง จะให้ผู้เข้าร่วมประลองห้าคนจับฉลากเพื่อกำหนดคู่ต่อสู้ของพวกเจ้า แต่ก่อนจะจับฉลาก ข้าจะประกาศกติกาเพิ่มเติมอีกรายการ นั่นก็คือก่อนที่ผู้เข้าร่วมประลองทุกคนจะจับฉลาก ข้าจะคัดชื่อผู้อาวุโสที่อยู่ฝ่ายอำนาจเดียวกันออกก่อนล่วงหน้า…
…ดังนั้น หากมีใครคิดว่าโชคดี ข้าแนะนำให้พวกเจ้าปรับทัศนคติให้ถูกต้องไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่า!…
…เช่นนั้น จะเริ่มจากเยี่ยเว่ยหมิงที่ชนะเลิศในการประลองกำลังภายในสนามแรก”
“ท่านพ่อ!” เมื่อเห็นหวงเย่าซือประกาศกติกาการประลองช้าไป หวงหรงกลับก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างน่าเอ็นดู หัวเราะคิกคักพร้อมเอ่ยว่า “เรื่องเล็กๆ เช่นนี้ ให้หรงเอ๋อร์จัดการแทนก็ได้”
หวงเย่าซือแม้จะรู้ว่าหวงหรงฉลาดไหวพริบดี แต่คิดว่าตนเองประกาศกติกาได้อย่างไม่ตกหล่นอะไรหลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ตัดสินใจที่จะตามใจลูกสาว ส่งห่อผ้าสีดำให้หวงหรง “จำไว้นะ ต้องทำตามกติกาอย่างเคร่งครัด”
“ไม่มีปัญหา!”
หลังจากหวงหรงรับห่อนั่นมาแล้ว ก็นำป้ายไม้เล็กห้าแผ่นที่เขียนชื่อหวงเย่าซือ โอวหยางเฟิง อี้เติง หงชีกงและโจวปั๋วทงออกมาจากหน้าอก จากนั้นส่งป้ายไม้ที่เขียนชื่ออี้เติงให้หวงเย่าซือ แล้วนำแผ่นป้ายอีกสี่แผ่นที่เหลือกลับไปในห่อผ้าดำนั้น
นางเคลื่อนไหวช้ามาก เห็นได้ว่าเคารพยำเกรงขั้นตอนนี้
ขณะถือห่อผ้าสีดำที่ใส่แผ่นไม้สี่แผ่นเอาไว้ หวงหรงก็เดินมาตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง ยื่นห่อผ้าไปข้างหน้า “กติกาจับฉลากคือใช้มือคลำ ห้ามแอบดูนะ”
ระหว่างที่พูด ก็ขยิบตาให้เยี่ยเว่ยหมิงอย่างแนบเนียน
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ แล้วล้วงมือขวาเข้ามาในห่อผ้าดำตามกติกา จากนั้นคว้าป้ายไม้ออกมาแผ่นหนึ่ง จุดที่มือสัมผัสมีแต่ความเรียบลื่น
ถึงอย่างไรหวงเย่าซือก็ทำป้ายไม้เหล่านี้ขึ้นมาอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากเขียนด้วยน้ำหมึกดำแล้วก็เป่าให้แห้ง เมื่อใช้มือสัมผัสจุดนั้นก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างใดๆ ถ้าอยากจะใช้มือ ‘คลำ’ เพื่อตัดสินตัวอักษรที่อยู่บนนั้น ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย
เมื่อเปลี่ยนไปคลำอีกแผ่น ก็ยังไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงคว้าแผ่นที่สาม กลับเคลื่อนย้ายมันไม่ได้
พอก้มหน้าดู ที่แท้มือซ้ายของหวงหรงที่ดูเหมือนกำลังรองผ้าดำโดยไม่ได้ตั้งใจ กำลังกำป้ายไม้แผ่นนี้ไว้แน่นโดยมีห่อผ้ากั้นอยู่
เยี่ยเว่ยหมิงเข้าใจทันที ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางหนีบป้ายไม้แผ่นนั้นไว้ พร้อมใช้นิ้วชี้แตะบนมือเล็กๆ ของหวงหรงต่อเนื่องสามที
นางถึงได้ปล่อยป้ายไม้แผ่นนั้นอย่างเข้าใจ
จากนั้นทั้งสองก็สบตากัน
สบตากันและยืนยันผ่านทางสายตา…
สมบูรณ์แบบ!
เยี่ยเว่ยหมิงนำป้ายไม้แผ่นนั้นออกมาดูทันที บนนั้นเขียนไว้ว่า โอวหยางเฟิง!
โชคชะตานี้!
เจ้าว่ามหัศจรรย์ไหม
การกระทำเล็กน้อยระหว่างหวงหรงและเยี่ยเว่ยหมิง ย่อมปิดบังสายตาของผู้ที่ตั้งใจมองไม่ได้อยู่แล้ว
หงชีกง อี้เติง เฒ่าทารกไม่ได้สนใจเรื่องการจับฉลากนี้เกินไป จึงไม่สังเกตเห็นอะไร แต่มารบูรพากับพิษประจิมกลับพบว่าพวกเขาสองคนเหมือนรวมหัวกันเล่นตุกติกอะไรบางอย่าง
เพียงแต่ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงแสดงป้ายไม้ในมือ โอวหยางเฟิงที่เดิมทีระแวงนิดหน่อยก็ปล่อยวางทันที แสยะยิ้มให้เยี่ยเว่ยหมิง แล้วใช้น้ำเสียงข่มขู่กล่าวว่า “เจ้าเด็กมอม อีกประเดี๋ยวจะให้เจ้ารู้จักความร้ายกาจของข้า!”
สำหรับคำขู่ของโอวหยางเฟิง เยี่ยเว่ยหมิงยื่นมือขวาขึ้นมาช้าๆ แล้วตอบกลับด้วยนิ้วกลาง
โอวหยางเฟิงเห็นแล้วขมวดคิ้ว “สัญลักษณ์มือนี้หมายความว่าอย่างไร”
“หมายถึงกำลังด่ามารดาของเจ้า” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างจริงใจมาก
โอวหยางเฟิงยิ้มเย็น “ปล่อยให้เจ้าลำพองใจไปก่อนเถอะ การประลองสนามที่สองเจ้ารอรับหนึ่งคะแนนก็แล้วกัน!”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ เก็บมือขวากลับมาช้าๆ ตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาจะไม่ท้าทายต่อแล้ว จู่ๆ กลับชูนิ้วกลางขึ้นมาอีกครั้ง ทำท่าทางยียวนชวนเจ็บตัวมาก พร้อมพ่นลมหายใจหอมสดชื่น “ไปกินอึไป!”