ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 81 เจ้าอ้วนชนะฟ้า
ตอนที่ 81 เจ้าอ้วนชนะฟ้า
นอกเมืองลั่วหยาง ศาลายาวสิบลี้
สถานที่ที่ผู้เล่นมาไม่บ่อย ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งนั่งลำพังอยู่ในศาลา บนโต๊ะม้าหินตรงหน้าเขาวางกระดานหมากล้อมโบราณเรียบง่ายอยู่แผ่นหนึ่ง
อยู่ห่างกันไกล แต่ก็ยังได้กลิ่นหอมไม้จันทน์ขาวอ่อนๆ โชยมาจากบนกระดานหมากล้อม
ไม้จันทน์ขาวช่วยรวบรวมสมาธิ วางไว้ข้างกายจะช่วยรักษาสภาพจิตใจให้สงบได้ เพียงแต่ราคาแพงมาก แม้จะไม่สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ให้ผู้เล่นได้จริงๆ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นทั่วไปจะเสพสุขไหวเช่นกัน
สายตาของชายหนุ่มชุดขาวกำลังจ้องกระดานหมากล้อมตรงหน้า ตรงหว่างคิ้วเผยอาการครุ่นคิด วางตัวหมากลงเป็ยระยะ ส่งเสียงแผ่วเบาทว่าไพเราะ
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเล่นหมากล้อมกับตัวเอง!
ทันใดนั้น! เงาร่างสีแดงสายหนึ่งก็แล่นเข้ามา บนใบหน้าชายหนุ่มชุดขาวเผยสีหน้าจนใจ พอเงยหน้ามอง ก็พบว่าเด็กสาวคนนั้นที่ทำให้เขาปวดหัวมาอีกแล้ว
หากเยี่ยเว่ยหมิงอยู่ตรงนี้ จะต้องเตรียมพร้อมต่อสู้กับนางทันทีแน่นอน เพราะสาวน้อยที่ปรากฏตัวกะทันหันคนนี้ ก็คือสาวน้อยชุดแดงที่เคยสู้กับพวกเขาก่อนหน้านี้นั่นเอง!
พอหย่อนก้นนั่งลงบนม้านั่งหินตรงหน้าชายหนุ่มชุดขาว สาวน้อยชุดแดงกล่าวอย่างกระฟัดกระเฟียด “ท่านพี่ ข้าถูกคนรังแกแล้ว!”
“อ้อ” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยรับ จากนั้นก็ลงตัวหมากสีขาวตรงจุดหนึ่งบนกระดานหมากล้อมอีกครั้ง
“อ้อ! อ้อ! อ้อ! ท่านเป็นยายแก่หรืออย่างไร!” สาวน้อยชุดแดงกล่าวอย่างหงุดหงิด “ตั้งแต่เข้าเกมมา ท่านเอาแต่เดินหมากทั้งวัน ในหัวไม่มีอย่างอื่นเลย ตอนนี้คนที่โดนรังแกคือน้องสาวของท่านนะ! ท่านจะไม่แสดงท่าทีอะไรสักหน่อยเชียวหรือ”
ชายหนุ่มชุดขาวเก็บสายตากลับมาอย่างจนใจอีกครั้ง แล้วยักไหล่ถามว่า “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร ให้ข้าเอาชีวิตไปทิ้งให้คนที่รังแกเจ้าหรือ”
ขณะที่พูดก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ “แต่ฟังจากที่เจ้าพูด ครั้งนี้เหมือนเจ้าจะเจอยอดฝีมือเข้าแล้ว?”
“อาจจะนับว่าเป็นยอดฝีมือไม่ได้หรอกกระมัง ถ้าจะให้พูด ก็เป็นเพียงยอดฝีมือคนหนึ่งในบรรดาผู้เล่นเท่านั้น” สาวน้อยชุดแดงเล่าเรื่องที่สู้กับเยี่ยเว่ยหมิงก่อนหน้านี้ให้พี่ชายฟัง แล้วกล่าวอย่างโมโหมากว่า “วิธีการต่อสู้ของเจ้าหมอนั่นอันธพาลเกินไปแล้ว ถ้าเป็นในชีวิตล่ะก็…”
ไม่รอให้สาวน้อยชุดแดงพูดจบ พี่ชายของนางก็พูดตัดบทแล้ว “ถ้าเป็นในชีวิตจริง พฤติกรรมอย่างเจ้าก็นับเป็นการทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธ ทั้งยังจู่โจมเจ้าหน้าที่ด้วย ต้องไปกินข้าวในคุก”
สาวน้อยชุดแดง “(╯‵□′)╯︵┴─┴”
“ท่านก็รู้ดีว่าข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้!”
ชายหนุ่มชุดขาวยิ้มบางๆ ก่อนจะกลับมากล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ก่อนหน้านี้ข้าเล่นหมากล้อมกับทาสหมากล้อมฝีมือกากอย่างนักพรตเต๋ามู่ซางต่อเนื่องไปหนึ่งร้อยแปดกระดาน แถมทุกครั้งยังแสร้งว่าฝีมืออ่อนด้อยแต่เอาชนะได้ ทำให้เขากอดความหวังเอาไว้ ข้าถึงชนะแล้วได้ ‘เทพท่องร้อยแปรเปลี่ยน’ เล่มหนึ่งมาจากมือเขา ผลสุดท้ายข้าก็ให้เจ้าไปแล้วไม่ใช่หรอกหรือ”
“พวกเราแบ่งงานกันทำ ข้ารับหน้าที่ทำภารกิจหาผลประโยชน์ และผลประโยชน์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับทักษะยุทธ์ ข้าก็มอบให้ท่านใช้หมด ยังเอาใจท่านไม่พออีกหรือ”
“เอะอะก็มารบกวนข้าเล่นหมากล้อม เจ้าไม่รู้สึกว่ามโนธรรมของตัวเองเจ็บปวดบ้างหรือ”
เมื่อถูกชายหนุ่มชุดขาวต่อว่าไปยกหนึ่ง สาวน้อยชุดแดงก็เริ่มหน้าแดงก่ำแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าไม่สนใจหรอก ใครใช้ให้ท่านเป็นพี่ชายของข้าล่ะ!”
“ข้าถูกค่าสเตตัสของอีกฝ่ายข่มแล้ว ถูกรังแกในเกมแล้ว ท่านต้องหาทางช่วยข้ากู้หน้ากลับมานะ”
“ตัวเองแพ้เอง ก็ต้องกู้หน้ากลับมาเองสิ ปกติท่านพ่อสั่งสอนเจ้าอย่างไรกัน” ปากก็พูดจาร้ายๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจของน้องสาว ชายหนุ่มชุดขาวก็ยังถอนหายใจอย่างจนใจ ขณะที่ในใจแอบปลงกับน้องสาวที่ถูกตัวเองตามใจจนเสียคน เขาก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ภารกิจก่อนหน้านี้ของเจ้า ข้าพอจะมีเบาะแสบ้างแล้ว”
สาวน้อยชุดแดงได้ยินแล้วตาเป็นประกาย ถามอย่างตื่นเต้นว่า “จริงหรือ”
ชายหนุ่มชุดขาวพยักหน้า แล้วบอกว่า “ภารกิจนั้นของเจ้าต้องใช้ของเยอะมาก ในจำนวนนั้นมีของบางอย่างที่มีแค่ชิ้นเดียว รายการไอเทมข้าช่วยเจ้าเขียนออกมาแล้ว แต่ไอเทมที่ได้จากการตีมอนสเตอร์ จะต้องให้เจ้าลงมือแล้ว จำไว้ว่าในจำนวนนั้นมีของหายากอยู่สามอย่าง ถ้าอยากจะได้มาก็ยากมาก ในจำนวนของสามอย่างนี้ มีอยู่อย่างหนึ่งที่มีเพียงชิ้นเดียว ถ้าพลาดแล้วจะหมดโอกาสเลย”
“ของอะไร”
“ชื่อของสิ่งนั้นแปลกมาก มันชื่อว่า ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’ อะไรสักอย่าง มีโอกาสดรอปจากตัวสี่ BOSS แห่งค่ายดอกบัวเท่านั้น แน่นอน ถ้าทำเฟิร์สคิลได้ก็จะมีโอกาสได้มากกว่า…
…เฮ้อ…เจ้ารู้หรือเปล่า ว่าเพื่อให้ได้ข่าวนี้มา ข้าต้องไปเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเจ้าทาสหมากล้อมฝีมือกากอย่างมู่ซางตั้งสามสิบกระดาน ในจำนวนนั้นข้ายังแสร้งแพ้แบบเนียนๆ ไปสิบกระดาน ทำให้เขารู้สึกว่าฝีมือสูสีกัน หลังจากทำให้เขาติดลมแล้ว เขาถึงได้บอกเรื่องนี้กับข้า!”
“เหอะๆ…ลูกพี่ ท่านลำบากลำบนแล้วจริงๆ”
ในดวงตากลมโตฉ่ำน้ำของสาวน้อยชุดแดงเบ่งบานไปด้วยความตื่นเต้น
เจ้าคนอันธพาลที่ชื่อเยี่ยเว่ยหมิงนั่น รอข้าก่อนเถอะ!
รอให้ข้าได้ ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’ อะไรนั่นมาก่อน เป็นรางวัลที่ปลดล็อกภารกิจต่อเนื่องได้ รอให้เพิ่มค่าสเตตัสได้ก่อนเถอะ
หึๆๆ…
…
เมืองเปี้ยนเหลียง โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล
สมาชิกหกคนของทีมเฉพาะกิจสำนักมือปราบเทพมารวมตัวกันในห้องเดี่ยวที่ชื่อว่าหอลมวสันตฤดู มีโต๊ะกลมตั้งอยู่โต๊ะหนึ่ง บนโต๊ะไม่มีน้ำชาหรือสุราอาหาร มีเพียงจีวรที่ขาดชำรุดผืนหนึ่ง ยอดฝีมือทั้งหกคนกำลังนั่งล้อมวง ฟังโหยวโหยวเล่าถึงประวัติความเป็นมาของจีวรผืนนี้
เดิมที หลังจากทุกคนมาเจอกันแล้วก็กลับไปรายงานผลภารกิจที่สำนักมือปราบเทพทันที แต่เนื่องจากปัญหาเรื่องจัดการตำราลับตำราลับสุดยอดวิชาเล่มหนึ่ง ทำให้ทุกคนยังหาวิธีการจัดการไม่ได้
สุดท้ายก็ยังเป็นซานเย่ว์ หัวหน้าทีมเฉพาะกิจที่เยี่ยเว่ยหมิงเสนอชื่อประกาศว่า [ทุกคนหาสถานที่ปรึกษาปัญหาเรื่องแบ่งไอเทมในช่วงทำภารกิจกันก่อน]
ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกจองโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลที่มีสาขาทั่วโลก
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของทุกคน โหยวโหยวเริ่มเล่าประวัติของนางอย่างช้าๆ
ที่จริงเมื่อเทียบกับเรื่องที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงไล่สังหารอวี๋ชางไห่ แล้วก็เจอกับสาวน้อยชุดแดงมาข่ม จากนั้นก็โดนเยี่ยเว่ยหมิงใช้กลยุทธ์คนโหดเวอร์ชั่นอัปเกรดสั่งสอนไป ภารกิจของฝั่งโหยวโหยวก็กล่าวได้ว่าราบรื่นมาก
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ศัตรูสุดแข็งแกร่งอย่างอวี๋ชางไห่โดนประหารแล้ว สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงไปยมโลกพร้อมกันแล้ว ก็ไม่มีใครมาขัดขวางนางตอนนำตัว NPC สามคนไปยังสำนักคุ้มภัยทงเทียนเลย
อีกทั้งหลังจากเข้าสำนักคุ้มภัยทงเทียนแล้ว เรื่องราวก็ยิ่งราบรื่นกว่าเดิม
ขั้นตอนการทำงานที่เป็นกิจวัตรประจำวัน ลงทะเบียน คุ้มกันขนส่งสินค้ารวมทั้งยืนยันเป้าหมาย…มีผู้ชำนาญการในด้านต่างๆ อย่างหลินเจิ้นหนานถือดาบด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้โหยวโหยวสิ้นเปลืองพลังความคิดแม้แต่น้อย
สิ่งที่นางต้องทำ ก็แค่ยืนยันว่าหลินผิงจือจะถูกส่งตัวไปถึงสำนักมือปราบเทพเมืองเปี้ยนเหลียงแน่นอน ไม่ใช่สำนักดาบทองลั่วหยาง
“หลังจากข้าจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว เดิมทีก็คิดจะออกมารวมตัวกับพวกเจ้าทันที แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหลินเจิ้นหนานนั่นจะเรียกข้าไว้ บอกว่าจีวรเป็นนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้ร้ายคดีฆาตกรรมต่อเนื่องของสำนักคุ้มภัยฝูเวย ข้าจึงนำมามาส่งให้สำนักมือปราบเทพจัดการ”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่จีวรบนโต๊ะอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
เนื่องจากข้างในเป็นจีวรล้ำค่าที่เต็มไปด้วยตัวอักษร เป็นบันทึกสุดยอดตำราลับในยุทธภพ ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ …หรือ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ อันเลื่องชื่อ!
บอกว่าเป็นสุดยอดวิชา แต่ได้มาอย่างง่ายดายเกินไปหน่อยหรือเปล่า
เมื่อได้ฟังโหยวโหยวเล่า ทุกคนก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อนิดหน่อย
ในบรรดาพวกเขา ถังซานไฉ่เป็นคนแรกที่นึกถึงประเด็นสำคัญได้ เขาบอกว่า “ข้าคิดว่า ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ น่าจะเป็นรางวัลที่ได้จากการพาครอบครัวหลินเจิ้นหนานออกจากเมืองฝูโจวที่ควบคุมโดยสำนักชิงเฉิงได้ เพียงแต่ตอนแรกพวกเราสนใจแค่อวี๋ชางไห่ที่ค่าพลังชีวิตต่ำ มองข้ามสามพ่อแม่ลูกตระกูลหลินไป เกือบพลาดรางวัลนี้ไปแล้ว”
เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของถังซานไฉ่ ทุกคนก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่ปัญหาที่โหยวโหยวสนใจยิ่งกว่ากันก็คือ “ดังนั้น ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ นี้ พวกเราควรจะทำอย่างไรกับมันดี”