ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 94 อุปกรณ์คุณภาพสูงสุด
ตอนที่ 94 อุปกรณ์คุณภาพสูงสุด
เหวยเสี่ยวเป่าคนนี้ก็จริงๆ เลย ในเมื่อนายแค่เชิญฉันมากินข้าว ก็อย่านำอาหารที่เพิ่มค่าสเตตัสชั่วคราวมาเรียกฉันสิ!
ถ้าลบโบนัสค่าสเตตัสออก เยี่ยเว่ยหมิงก็จะถือโอกาสกินให้สะใจสักมื้อ แต่พอเห็นค่าสเตตัสของตัวเองกระโดดไปกระโดดมาแบบนี้ นายจะให้ฉันกินของอร่อยอย่างสงบใจได้ยังไง
นี่มันเป็นวิธีการทรมานรูปแบบหนึ่งแท้ๆ
เพื่อแบ่งสมาธิออกจากสิ่งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงเตรียมดึงบทสนทนาไปที่ประเด็น ‘คดีขโมยของในวังหลวง’ อยู่หลายครั้ง แต่กลับถูกเหวยเสี่ยวเป่าตัดบททุกครั้ง ตามที่ฝ่ายบอก ตอนกินข้าวคุยแค่เรื่องความสัมพันธ์ ไม่คุยเรื่องงาน
ในระหว่างที่กินข้าว เหวยเสี่ยวเป่าถามเยี่ยเว่ยหมิงเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างในยุทธภพ หลักๆ เลยก็คือประสบการณ์ในการไขคดีหลายครั้งที่ผ่านมาของเยี่ยเว่ยหมิง เรื่องแบบนี้เดิมทีก็ไม่มีอะไรต้องเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงจึงเล่าออกมาหมด อีกฝ่ายฟังแล้วกล่าวชมไม่หยุด ตะโกนอย่างถึงอกถึงใจ
แน่นอนว่า ทุกครั้งที่เล่าเรื่องราวแต่ละเรื่องจบ เหวยเสี่ยวเป่าก็ยังไม่ลืมที่จะยกยอปอปั้นเยี่ยเว่ยหมิง
เปิดเผยนิสัยขี้ประจบเหมือนสุนัขที่ชอบเลียออกมาหมด!
ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กินอาหารดีๆ สักมื้อ สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็ได้รับภารกิจที่ตัวเองรอมานาน แล้วก็ถูกเหวยเสี่ยวเป่าพาเข้าไปในวังหลวง
[คดีขโมยของในวังหลวง]
ระดับภารกิจ: 5 ดาว
ของล้ำค่าถูกขโมยไปจากวังหลวง สภาพการณ์เลวร้ายมาก สืบหาความจริงให้กระจ่าง และนำตัวหัวขโมยมาดำเนินคดี
รางวัลภารกิจ:
ค่าประสบการณ์10000 แต้ม
ค่าตบะ 3000 แต้ม
ลู่ติ่งกงเหวยเสี่ยวเป่าเตรียมอุปกรณ์คุณภาพสูงสุดให้คุณ 1 ชิ้นด้วยความใส่ใจ]
ภารกิจและรางวัลล้วนเป็นไปตามกติกา สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การรอก็คือ อุปกรณ์คุณภาพสูงสุดที่เหวยเสี่ยวเป่าตั้งใจเตรียมไว้ให้
หลังจากได้คลุกคลีกันก่อนหน้านี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ประเมินเหวยเสี่ยวเป่าได้คร่าวๆ ว่า: ปากมันลิ้นลื่น เจ้าแผนการ หรือไม่ก็วางกับดักคนอื่นเก่ง แต่กลับไม่ขี้ตระหนี่เลย!
ดังนั้นเขาจึงมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าอุปกรณ์คุณภาพสูงสุดลึกลับชิ้นนั้นจะทำให้เขารู้สึกเซอร์ไพรส์มากแน่นอน
ถ้าจะให้กังวลเรื่องคุณภาพของอุปกรณ์ชิ้นนั้น ไม่สู้กังวลเรื่องระดับความยากของภารกิจนี้ดีกว่า
วังหลวงในเกมก็ย่อมมีสง่าราศีไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ คล้ายกับพระราชวังกู้กงในชีวิตจริง แต่ก็ไม่ได้น่าตกตะลึงอย่างที่เยี่ยเว่ยหมิงคิดไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ก็ไม่ใช่พระราชวังกู้กง แล้วเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้มาเพื่อเที่ยวเล่นด้วย สถานที่อย่างวังหลวง แม้แต่เหวยเสี่ยวเป่าเองก็ยังต้องเดินอย่างระมัดระวังตัว เยี่ยเว่ยหมิงย่อมทำได้เพียงเดินตามเขาไปอย่างว่านอนสอนง่าย
ถึงขนาดว่า เพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ก่อนที่เขาจะเข้าพระราชวัง ก็ต้องเปลี่ยนใส่ชุดเฟยอวี๋แทนชุดเต๋าปากว้าก่อน
ทั้งคู่เงียบงันตลอดทาง เหวยเสี่ยวเป่าพาเยี่ยเว่ยหมิงมาถึงหน้าอาคารแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าหอสมบัติ “นี่ก็คือสถานที่เก็บรักษาของล้ำค่าหายากบางอย่างในพระราชวัง แน่นอนว่าไม่ใช่ของล้ำค่าทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ที่นี่ ที่จริงที่นี่ก็เหมือนคลังแห่งหนึ่ง มีไว้ใช้เก็บของบางอย่างที่ไม่ได้ใช้งานชั่วคราวเท่านั้น”
ตอนนี้ทหารยามสองคนที่เฝ้าอยู่นอกหอสมบัติทำความเคารพเหวยเสี่ยวเป่า หลังจากเจ้าตัวกล่าวทักทายกลับตามมารยาท ก็บอกเยี่ยเว่ยหมิงว่า “พวกเขาก็คือทหารยามที่ถูกลอบจู่โจมก่อนหน้านี้ ส่วนรายละเอียด พี่ใหญ่เยี่ยถามพวกเขาได้โดยตรง ยังมีอีกสองคนที่ถูกส่งไปเฝ้าอยู่ด้านในหอสมบัติ”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วถามไปเรื่อยเปื่อยว่า “หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ในแต่ละวันหอสมบัติจะมีทหารยามเฝ้าอยู่สี่คน?”
สำหรับปัญหาเรื่องคำเรียกที่เยี่ยเว่ยหมิงเรียกเหวยเสี่ยวเป่า ทั้งสองถกเถียงกันมาตลอดทาง เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าหากเรียกเขาว่าเสี่ยวเป่าโดยตรง ก็จะถูกวางกับดักได้ง่ายมาก เขาจึงอยากจะเรียกว่าลู่ติ่งกงตามกฎ แต่เหวยเสี่ยวเป่ากลับยืนกรานไม่ตอบรับ
สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงจึงละชื่อเรียกไปเสียเลย พูดคุยแต่ธุระเท่านั้น
“ที่จริงแต่ไหนแต่ไรมา หอสมบัติจะมีทหารยามเฝ้าแค่สองคน จนกระทั่งเมื่อวานถึงได้เพิ่มจำนวน” หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เหวยเสี่ยวเป่าก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ที่ข้าบอกว่าพวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็เพราะโจรน่ารังเกียจนั่นมาต่อเนื่องสองครั้ง!”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วถามอย่างตะลึง “กําเริบเสิบสานขนาดนี้เชียวหรือ”
สถานที่อย่างวังหลวง ถ้าเจ้าอยากจะขโมยของ ขโมยแค่หนึ่งครั้งก็คืนทุนแล้ว ยังจะก่อคดีซ้ำอีกหรือ
เป็นโจรอย่างไรกันแน่ ทำไมมันเก่งขนาดนี้!
เยี่ยเว่ยหมิงแอบบ่นในใจว่าภารกิจนี้ไม่ง่ายแน่นอน เขาเริ่มถามทหารยามทั้งสองคน ทหารยามให้ความร่วมมือดีมาก รู้อะไรก็บอกหมด แต่ตอนที่เกิดคดีพวกเขาถูกทำร้ายจนสลบไปแล้ว แม้แต่เงาของโจรก็ไม่ทันได้เห็น จึงให้เบาะแสอะไรที่มีประโยชน์ไม่ได้เลย
จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงกับเหวยเสี่ยวเป่าก็เข้าไปในหอสมบัติด้วยกัน แล้วก็ถามทหารยามสองคนข้างในเกี่ยวกับสถานการณ์การลอบโจมตี เมื่อได้คำตอบแล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับคำตอบของสองคนด้านนอก
เพราะไม่ได้เบาะแสที่มีประโยชน์จากปากทหารยาม เยี่ยเว่ยหมิงจึงสำรวจที่เกิดเหตุอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ภายใต้การใช้สกิล ‘เวทชันสูตรศพ’ เขาพบเศษโคลนประหลาดหลายจุด ดูจากสภาพแล้วไม่ใช่รอยเท้า แต่เหมือนรอยที่ไม้กระบองทิ้งไว้มากกว่า
พอหันกลับมามองทหารยามที่อยู่ข้างกาย เยี่ยเว่ยหมิงก็ถามไปเรื่อยว่า “นี่เป็นร่องรอยทั้งหมดที่โจรทิ้งไว้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ” เป็นเพราะอยู่ข้างกายเหวยเสี่ยวเป่า เหมือนเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ทหารยามในวังจึงมีท่าทีเกรงใจมือปราบขั้นเจ็ดเล็กๆ อย่างเยี่ยเว่ยหมิงมาก “วันที่โจรปรากฏตัวครั้งแรก ด้านนอกฝนตกหนักมาก แม่น้ำฝนจะชะล้างร่องรอยด้านนอกไปแล้ว แต่กลับยังทิ้งรอยนี้ไว้ในหอสมบัติ”
“และในตอนนั้น โจรยัทิ้งรอยโคลนแบบเดียวกันนี้ไว้บนตัวพวกเราสองคนไว้ด้วย พวกเราจึงไม่ได้ซักเสื้อผ้าที่ใส่วันนั้นเพื่อเก็บรักษาเป็นหลักฐาน เก็บรักษาไว้ตลอด” ขณะที่พูด ก็นำชุดสองตัวส่งให้เยี่ยเว่ยหมิง
[เครื่องแบบทหารยาม: เครื่องแบบทหารยามในพระราชวัง ด้านบนมีรอยโคลนรูปวงกลมชัดเจน (หลักฐาน)]
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงรับเครื่องแบบสองชุดมาแล้ว เหวยเสี่ยวเป่าที่อยู่ข้างกันก็รีบถามว่า “พี่ใหญ่เยี่ย ท่านตรวจสอบเจอเบาะแสอะไรบ้างไหม”
เยี่ยเว่ยหมิงหลุดขำ “ท่านเองก็เห็นขั้นตอนที่ข้าตรวจสอบชัดเจนแล้วนี่ เบาะแสน้อยขนาดนี้ข้าจะหาเจอได้อย่างไร ดูท่าแล้ว ถ้าอยากจะสืบหาตัวตนของโจร ก็ต้องเริ่มจากของล้ำค่าที่ถูกขโมยไป”
เหวยเสี่ยวเป่าได้ยินแล้วไม่เข้าใจสักนิด “ตามหลักแล้ว ไม่ใช่ว่าควรหาตัวโจรก่อน แล้วถึงจะได้ของล้ำค่ากลับมาหรอกหรือ พี่ใหญ่เยี่ย นี่ท่านทำตรงกันข้ามนะ นี่เป็นวิธีการสืบคดีอะไรกัน”
“เป็นวิธีการที่โง่ที่สุด” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แล้วอธิบายว่า “ในเมื่อพวกเราหาเบาะแสของโจรไม่เจอ ก็ทำได้เพียงเปลี่ยนแนวคิดใหม่แล้ว มาพิจารณากันว่าเขาจะเอาของไปขายต่อที่ไหนกันแน่”
“ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่หลิวเคยบอกไว้ว่าสองครั้งที่หัวขโมยลงมือนั้นเว้นระยะห่างกันครึ่งเดือน คาดเดาว่าเขาจะต้องนำของล้ำค่าชุดแรกที่ปล้นได้ไปขายเป็นเงินตำลึงแล้วแน่นอน หลังจากใช้ไปหมดแล้วถึงได้มาขโมยอีกครั้ง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็หันตัวมาบอกเหวยเสี่ยวเป่าว่า “ของล้ำค่าที่ถูกขโมยออกไปจากวังหลวง ร้านค้าทั่วไปไม่กล้ารับซื้อไว้ในจำนวนมากแน่นอน หรือไม่โจรนั่นก็อาจจะแบ่งขาย จุดนี้ต้องให้ลู่ติ่งกงให้ความร่วมมือตรวจสอบสักหน่อย”
“ตอนนี้ช่วยบอกข้าหน่อยว่า มีสถานที่ไหนบ้างที่จะนำของล้ำค่าจากวังหลวงไปขายได้ในรวดเดียว”
เมื่อได้ฟังแนวคิดการจัดการคดีของเยี่ยเว่ยหมิง เหวยเสี่ยวเป่าก็แสดงออกทันทีว่าจะให้ความร่วมมือเต็มที่ เขาตบอกรับประกันว่าจะจัดการเรื่องตรวจสอบโรงจํานําเอง จากนั้นก็ไปหาหัวหน้ากลุ่มทหารยามที่รับหน้าที่เฝ้าเขตพระราชวังให้วิเคราะห์สถานการณ์ให้เยี่ยเว่ยหมิงฟังโดยเฉพาะ
ส่วนสาเหตุว่าทำไมเหวยเสี่ยวเป่าไม่วิเคราะห์ด้วยตัวเองน่ะหรือ
ก็ย่อมเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องทำนองนี้เลย เขาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมามากว่าตัวเองไม่แสร้งทำตัวเป็นหมาป่าอวดหาง
หัวหน้ากลุ่มทหารยามคนนี้ชื่อว่าสือเยี่ยนหมิง หลังจากได้ฟังที่เหวยเสี่ยวเป่ากำชับแล้ว ก็วิเคราะห์ให้เยี่ยเว่ยหมิงฟังทันที
“ประการแรก แคว้นรอบๆ ล้วนมีอำนาจสอดคล้องกับเงื่อนไข” สือเยี่ยนหมิงอธิบายอย่างจริงจัง “เหลียว จิน มองโกล ซีเซี่ย ทิเบต ต้าหลี่…แคว้นเหล่านี้ล้วนมีกำลังทรัพย์มากพอ ทั้งยังอาจจะไม่กลัวพวกเราเอาเรื่องด้วย”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ฟังแล้วกลับส่ายหน้าซ้ำๆ “ดูจากเวลาที่โจรก่อคดี การนำของไปขายนอกเขตแดนนั้นมีความเป็นไปได้น้อย เน้นพูดในแคว้นเถอะ”
“เช่นนั้นก็เหลือเพียงหมู่บ้านชื่อสยาแล้ว”
สือเยี่ยนหมิงกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านชื่อสยาชื่นชอบคบค้ากับผู้มีฝีมือในใต้หล้า สะสมของล้ำค่าหายาก ทั้งยังมีกำลังทรัพย์เยอะมากขอรับ”
“หมู่บ้านชื่อสยา?” เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วถามอีกว่า “แล้วสองครั้งนั้นโจรปล้นของอะไรไปบ้าง””ภาชนะทองและเงิน เครื่องประดับอัญมณี…แต่ที่มากกว่านั้นคือภาพเขียนอักษรโบราณ” สือเยี่ยนหมิงกล่าวอย่างจนใจ “ต้องยอมรับเลยว่าโจรนั่นเหมือนจะรสนิยมดีมาก”