ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 95 หลินผิงจือปากแข็ง
ตอนที่ 95 หลินผิงจือปากแข็ง
หัวขโมยนั่นจะมีรสนิยมจริงหรือไม่ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่รู้หรอก แต่เขากลับให้เหวยเสี่ยวเป่าไปหาคนมาประดิษฐ์งานตามแบบภาพเขียนอักษรที่ถูกขโมยไปเหล่านั้น
สมบัติประเภทภาพเขียนอักษร หากหน้าตาเหมือนของแท้ทุกประการก็จะเรียกว่าสินค้าเลียนแบบ และขั้นตอนการประดิษฐ์นี้ก็เรียกว่าลอกเลียนแบบ
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้นฉบับเดิมไม่อยู่แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ขอให้พวกเขาลอกเลียนแบบอย่างแนบเนียนไร้พิรุธ ตราบใดที่เหมือนของแท้สักแปดเก้าส่วนก็ไม่มีปัญหาแล้ว
เขาต้องการนำของเหล่านี้ไปทดสอบหาความจริงที่หมู่บ้านชื่อสยานั่นสักหน่อย
เมื่อออกจากพระราชวังแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งพิราบสื่อสารไปหาแม่นางไป่ตู้[1]ส่วนตัวอย่างอินปู้คุยเพื่อสอบถามสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทันที
อีกฝ่ายตอบกลับมาว่า เรื่องการปล้นของที่พระราชวังไม่นับเป็นเรื่องแปลกใหม่ในยุทธภพ มีโอกาสเกิดเยอะมาก เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
ส่วนหมู่บ้านชื่อสยา อินปู้คุยก็ถามกลับมาว่า ‘นั่นคือหมู่บ้านขยะอะไร’
ไม่เคยได้ยินมาก่อน!
เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่ออยู่ในเกมนี้ แม้จะเป็นแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ทุกเรื่อง
ดูท่าแล้ว ภารกิจที่ตัวเองรับมาคงไม่ใช่เรื่องราวตามแบบฉบับเดิมของนิยายยอดยุทธ์คุณธรรม แต่เป็นต้นฉบับเฉพาะ…ในเกมนี้เท่านั้น?
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วติดต่อไปหาซานเย่ว์เสียเลย [ศิษย์น้องเล็ก ทำอะไรอยู่]
ซานเย่ว์ [ภารกิจหยุดชะงักแล้ว เจ้าช่วยข้าหน่อยได้ไหม (˶˚ᗨ˚˶) ]
เยี่ยเว่ยหมิงตาเป็นประกาย [ต้องลงมือต่อสู้หรือ]
ซานเย่ว์ [อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว ว่าภารกิจของข้าคือทำให้หลินผิงจือสารภาพความจริง!]
เยี่ยเว่ยหมิง [Σ(°△°|||)︴ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะยังทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ อย่าบอกนะว่าทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ของเจ้ามีไว้ใช้เพียงต่อรองราคากับคนอื่นเท่านั้น]
ซานเย่ว์ [╮(╯_╰)╭ ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาพูดจริงหรือโกหก แต่ปัญหาก็คือเจ้าเวรนั่นทำท่าเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำเดือด[2] ถามอะไรก็ไม่บอกสักอย่าง!]
ก็ได้!
ยามเผชิญกับพวกที่แสร้งเป็นใบ้ตาบอด ทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ของซานเย่ว์ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากเคล็ดลับอย่างอื่นด้วย ทักษะนี้ถึงจะแสดงประโยชน์ได้จริง
เยี่ยเว่ยหมิง [เจ้าไปรอข้าที่ประตูคุกใหญ่ แล้วเราไปง้างปากเจ้าหมูตายนั่นด้วยกันเถอะ รอให้ภารกิจนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าก็มากับข้าสักครั้ง ภารกิจทางฝั่งข้าต้องการความช่วยเหลือจากทักษะของเจ้า]
ซานเย่ว์ [( ̄ˇ ̄)/ ไม่มีปัญหา!]
……
คุกใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลังเขตลานบ้านใหญ่ของสำนักมือปราบเทพ มีกำลังทหารเฝ้าอยู่เยอะมาก ต่อให้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพก็ไม่กล้าเข้าใกล้
เยี่ยเว่ยหมิงในฐานะผู้เล่นอันดับหนึ่งของสำนักมือปราบเทพ วันนี้ก็เพิ่งได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน
หลังจากแสดงป้ายอาญาสิทธิ์และเดินเข้าไปข้างในพร้อมซานเย่ว์ เยี่ยเว่ยหมิงก็เอ่ยว่า “ตอนนี้ครอบครัวของหลินผิงจือรอดพ้นอันตรายแล้ว ส่วนความผิดที่เขาก่อก็คือการฆาตกรรม แม้เขาอาจจะไม่เข้าใจกฎหมายเท่าไรนัก แต่การเอาชีวิตมาแลกชีวิต เขาก็เองก็เข้าใจหลักการนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเราก็ไม่มีพยานหลักฐานอย่างอื่น ขอเพียงเขายืนกรานไม่พูด พวกเราก็ไม่มีทางตัดสินโทษเขาได้”
“หลักการนี้ข้าเข้าใจ…” ซานเย่ว์แบมือยักไหล่อย่างจนใจ “ก็เพราะเหตุนี้ ข้าถึงไม่มีทางง้างปากเขาได้อย่างไรล่ะ! แล้วโหยวจิ้นก็ดันออกคำสั่งมาว่าทำได้เพียงสอบสวนเท่านั้น ห้ามใช้วิธีทรมาน เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”
“ก็ต้องพิชิตกลไกป้องกันทางจิตใจของเขาให้ได้น่ะสิ” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มอย่างมั่นใจ “อีกประเดี๋ยวดูการแสดงของข้านะ เจ้าแค่ต้องคอยสังเกตการณ์ แล้วจับภาพหน้าจอข้อมูลที่ทักษะนี้ส่งกลับมาให้ข้าดูก็พอ”
ขณะที่พูดคุยกัน ทั้งสองก็เดินมาถึงห้องที่ใช้คุมขังหลินผิงจือแล้ว
คดีของสำนักคุ้มภัยฝูเวยเป็นคดีใหญ่ที่หวงโส่วจุนเลือกผู้รับผิดชอบคดีด้วยตัวเอง หลินผิงจือในฐานะที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดคดีนี้ ย่อมได้รับการดูแลเป็นพิเศษอยู่แล้ว
ห้องขังที่เขาอยู่เป็นห้องเดี่ยวใต้ดินห้องหนึ่งที่มีการควบคุมเข้มงวด ผนังที่อยู่โดยรอบล้วนสร้างจากหินบลูสโตนอย่างมั่นคงแข็งแรง ทนทานไร้ที่เปรียบ รอบห้องขังเสียบคบเพลิงไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่องให้ห้องใต้ดินแห่งนี้สว่างชัดเจน
รู้สึกคุ้นตากับการบรรยายอย่างนี้หรือยัง
เยี่ยเว่ยหมิงเองก็เพิ่งจะนึกออกหลังจากชะงักไปชั่วขณะ ระหว่างหลินผิงจือกับอ๋าวป้าย ราวกับว่าสิ่งที่แตกต่างกันมีเพียงการใช้โซ่มัดแขนขาทั้งสี่เท่านั้น
สายตาเขาอดมองไปยังโซ่ที่วางอยู่ข้างผนังไม่ได้ อธิบายได้เพียงว่า เนื่องจากหลินผิงจือมีทักษะยุทธ์ต้อยต่ำ พวกเขาจึงมองข้ามขั้นตอนนี้ไปก็เท่านั้นเอง
เพียงแต่เมื่อเทียบกับในห้องขังของอ๋าวป้ายที่มีเพียงหญ้าแห้งให้ปูนอน ห้องขังของหลินผิงจือกลับอยู่สบายกว่ามาก อย่างน้อยก็มีหมอนผ้าห่มครบชุด ทำให้หนุ่มน้อยเนื้ออ่อนละเอียดคนนี้ไม่ถึงขั้นทรมานจนป่วย
ตอนนี้หลินผิงจือกำลังนั่งชิดกำแพงและหลับตาพักผ่อน หลังจากได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็มองไปทางเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ที่เดินเข้ามาแวบหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงเหมือนเดิม
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางไม่ยอมให้ความร่วมมือขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็หลุดหัวเราะทันที แล้วกล่าวอย่างดูถูกว่า “กำลังจะถูกฆ่าล้างตระกูลอยู่แล้ว เจ้ายังมีอารมณ์มานั่งสมาธิฝึกปราณอยู่ที่นี่อีก ช่างได้รับการฝึกมาดีจริงๆ”
ประโยคนี้ของเยี่ยเว่ยหมิงเรียกได้ว่า ‘หากวาจามิทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจ ก็จะมิยอมหยุดพัก’ หลินผิงจือได้ยินแล้วลืมตาทันที จ้องเขาอย่างโกรธเคือง “เจ้าว่าอะไรนะ”
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่หลบตาเขาสักนิด พร้อมกล่าวยืนยันอีกครั้ง “ข้าก็กำลังบอกว่าตระกูลหลินของพวกเจ้าใกล้จะถูกสังหารล้างตระกูลแล้ว ทั้งระดับล่างระดับบนไม่มีใครรอดทั้งนั้น!”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!”
“พูดจาเหลวไหล?” เยี่ยเว่ยหมิแสยะยิ้มเหย้ยหยัน “ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อ เช่นนั้นข้าก็จะวิเคราะห์ให้เจ้าฟังแล้วกัน”
ขณะที่พูดก็ถลกชายเสื้อ นั่งขัดสมาธิลงตรงจุดที่ห่างจากหลินผิงจือสามเมตร ส่วนซานเย่ว์ก็ยืนกอดอกอยู่ข้างหลังเขา เหมือนเป็นราชองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่ง
ขณะมองสายตาร้อนรนของหลินผิงจือ เยี่ยเว่ยหมิงกลับกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไปว่า “ท่านตาของเจ้า หรือหวังหยวนป้า เจ้าสำนักดาบทองลั่วหยาง แม้จะเป็นตัวละครอันดับหนึ่งของยุทธภพ แต่ไม่ว่าจะเป็นทักษะยุทธ์ อำนาจของสำนัก หรืออำนาจในยุทธภพ เขามีคุณสมบัติอะไรไปเทียบกับสำนักชิงเฉิงที่ยืนหยัดอยู่ในยุทธภพมาเกินร้อยปีอย่างนั้นหรือ”
หลินผิงจือได้ยินแล้วสีหน้าก็ชะงักไปทันที
หลังจากผ่านเรื่องราวก่อนหน้านี้มา เขาก็รับรู้ถึงความน่ากลัวของสำนักชิงเฉิงพอสมควรแล้ว เขาไม่ใช่คุณชายที่คิดเข้าข้างตัวเองเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
สำนักดาบทองแล้วอย่างไร สำนักชิงเฉิงแล้วอย่างไร ในใจเขาย่อมมีการพิจารณาเป็นของตัวเองเช่นกัน
และผลลัพธ์ของการพิจารณานี้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
สีหน้าหลินผิงจือเปลี่ยนไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังกล่าวอย่างดื้นรั้นว่า “พวกเขาไม่กล้าหรอก!”
“ไม่กล้าหรือ” เยี่ยเว่ยหมิงเอานิ้วก้อยแคะหูตัวเอง แล้วดึงออกมาเป่าพร้อมบอกว่า “คนที่พูดอย่างนี้ได้ แสดงว่าไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับยุทธภพเลยแม้แต่น้อย”
“ที่จริงแล้ว คนที่จ้องอยากได้ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ของตระกูลหลินมีไม่น้อย สาเหตุที่จนป่านนี้ยังไม่มีใครได้ไป ก็เพราะยังไม่มีข้ออ้างเท่านั้นเอง…
…นี่คือยุทธภพ ตอนนี้หากบรรดาสำนักดังที่จ้องอยากได้เคล็ดกระบี่ของตระกูลเจ้ากล้าลงมือช่วงชิงขึ้นมา วันพรุ่งนี้พวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูของยุทธภพ แล้วถึงตอนนั้นก็ย่อมอ้างได้ว่าจะกำจัดภัยของยุทธภพ เพื่อถือโอกาสครอบครองสุดยอดวิชาของยุทธภพอย่าง ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ อย่างชอบธรรม…
…ดังนั้น สำนักที่จ้องอยากได้ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ของตระกูลหลินมีมากเกินไป แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากกลายเป็นคนโง่ที่ยกผลงานของตัวเองให้ผู้อื่น…
…สิ่งเหล่านี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พวกเขาไม่มีข้ออ้างที่ชอบธรรมในการลงมือกับพวกเจ้า…
…แต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เจ้ากลับส่งข้ออ้างนั้นให้สำนักชิงเฉิงด้วยตัวเจ้าเองแล้ว”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็โยนข้อความที่เหมือนระเบิดออกมาแล้ว “เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังจากเกิดเรื่อง ในยุทธภพก็มีข่าวแพร่ออกไปแล้ว ว่าเจ้าลูกผู้ดีมีเงินพูดสำเนียงเสฉวนที่ถูกเจ้าสังหารตายนอกเมืองฝูเวยนั่นน่ะ คืออวี๋เหรินเยี่ยน บุตรชายของอวี๋ชางไห่!…
…บุตรชายของอวี๋ชางไห่ตายไปทั้งคน!…
…ยุทธภพให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ’ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร..
…ดังนั้น ต่อให้อวี๋ชางไห่ฆ่าล้างสำนักคุ้มภัยฝูเวยจนไม่เหลือแม้กระทั่งไก่หรือสุนัข อย่างมากคนอื่นในยุทธภพก็เพียงตำหนิเขาสองสามประโยคว่าทำเกินไป แต่จะไม่มีคนกล่าวหรอกว่าเขาไม่ควรล้างแค้น และยิ่งไม่มีใครใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อลงมือกับสำนักชิงเฉิงด้วย…
…เพราะความแค้นที่ฆ่าลูกชาย มิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน!”
หลังจากฟังเยี่ยเว่ยหมิงพูดจบ หลินผิงจือก็นิ่งงันเป็นไก่ไม้ตั้งนานแล้ว ใบหน้าเล็กๆ ที่เดิมทีขาวบริสุทธิ์ ตอนนี้ก็ยิ่งเหลือเลือดฝาดอยู่ไม่ถึงครึ่งแล้ว
[1] แม่นางไป่ตู้ 度娘 ‘ไป่ตู้’ เป็นเว็บไซต์สำหรับค้นหาข้อมูลต่างๆ คล้าย google
[2] หมูตายไม่กลัวน้ำเดือด 死猪不怕开水烫 เปรียบเปรยว่าหนังหนา ไม่หวาดกลัวอะไรทั้งนั้น