ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 1 : กลับมาเกิดใหม่ เมียไม่อยู่บ้าน
ตอนที่ 1 : กลับมาเกิดใหม่ เมียไม่อยู่บ้าน
“นี่ก็ผ่านมา 20 ปีแล้ว ควรจบสักที ! ”
มองดูรูปถ่ายใบเก่าในมือที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีด เจียงเสี่ยวไป๋น้ำตาไหลรินออกจากหางตาของเขา
“ผู้คนในเจียงวานล้วนจากไปแล้ว พ่อตา แม่ยาย พ่อ แม่ ทุกคนต่างจากไปหมดแล้ว”
“ผมตอบแทนบุญคุณทุกคนหมดแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปหาทุกคนเสียที”
“เพียงแต่คุณกับลูกจะให้อภัยผมไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ลูบไล้รูปภาพในมือราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของภรรยาและลูกสาว ขณะที่พึมพำกับตัวเองอย่างเศร้าสร้อย
สามวันต่อมา
ในวัน April Fool’s Day วันที่ 1 เมษายน
ข่าวที่ช็อกโลกได้ถูกพูดถึงไปทั่ว
เจียงเสี่ยวไป๋ มหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านขับเครื่องบินส่วนตัวลงทะเลเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อฆ่าตัวตาย
พบซากเครื่องบินตกลงในทะเล แต่ไม่พบร่างของเจียงเสี่ยวไป๋
ตามรายงานข่าว เจียงเสี่ยวไป๋ทิ้งจดหมายลาตายไว้ก่อนเสียชีวิต และมรดกหลายหมื่นล้านของเขาได้ถูกบริจาคให้กับมหาวิทยาลัยการแพทย์ประเทศจีนเพื่อการวิจัยทางการแพทย์และความช่วยเหลือทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์
สื่อทุกสำนักข่าวรีบรายงาน ผู้คนทั่วโลกต่างเกิดความโกลาหล
ไม่มีใครคิดว่านักธุรกิจรุ่นใหญ่ระดับตำนานจะฆ่าตัวตายด้วยการขับเครื่องบินส่วนตัวลงทะเลในวัน April Fool’s Day สร้างเรื่องตลกให้กับคนทั้งโลก และยิ่งไม่มีใครคิดว่าพระเจ้าจะมาเล่นตลกกับชะตาชีวิตของเจียงเสี่ยวไป๋ มหาเศรษฐีผู้มีอำนาจอิทธิพลและความมั่งคั่งหลายหมื่นล้านคนนี้ ?
และเรื่องตลกนั้นได้เริ่มขึ้นในวันที่ 1 เมษายน ปี 1983
……
หลังจากลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง
แสงแดดส่องผ่านกระเบื้องบนหลังคาเข้ามาในห้องนอนที่เงียบเหงา ทำให้เกิดแสงพร่าตาระยิบระยับ
หลังคากระเบื้องมุง ผนังดิน บ้านเก่าที่ทรุดโทรม
ตู้เสื้อผ้าง่อย ๆ โต๊ะเก้าอี้ไม้ที่แสนธรรมดา เตียงไม้กระดาน……
นี่คือ……
บ้านเกิดของเขาในเจียงวานเมื่อ 20 ปีก่อน
เจียงเสี่ยวไป๋เกิดความสับสน เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
ฉันขับเครื่องบินลงทะเลฆ่าตัวตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ?
ทำไมถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ล่ะ ?
เขาออกแรงหยิกแขนตัวเอง
อั๊ยโหยว เจ็บ !
มันไม่ใช่ความฝัน
งั้นหมายความว่า……
ฉันเกิดใหม่อย่างนั้นหรือ !
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มจนน้ำตาไหลอาบแก้ม
เมื่อชาติที่แล้วเขาทำบาปต่อภรรยาและลูกสาว ทำให้พวกเธอต้องทนทุกข์ทรมานมาก และจากไปก่อนวัยอันควร
เดิมทีเขาคิดว่าคงไม่อาจชดใช้ให้พวกเธอได้ แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้กลับมาเกิดใหม่
“ในเมื่อพระเจ้าให้โอกาสผมมีชีวิตอีกครั้ง ครั้งนี้ผมจะต้องปกป้องคุณและลูก ไม่ให้คุณและลูกต้องได้รับอันตรายหรือความคับข้องใจใดๆ ให้คุณและลูกมีชีวิตที่ดีที่สุดและมีความสุขที่สุด”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกอยู่ในห้วงทุกข์และสุขไปในคราวเดียวกัน เขากำหมัดแน่นให้คำสาบานกับตนเอง
เขาเช็ดน้ำตาแล้วรีบลุกขึ้นจากเตียง รีบเดินออกไปนอกห้องนอน แทบรอไม่ไหวที่จะได้พบกับคนที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตลอด 20 ปี
นอกจากห้องนอนแล้ว ภายในบ้านหลังนี้ยังมีห้องโถงและห้องครัวขนาดเล็กอีกด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋รีบเดินหาทั้งในและนอกบ้าน แต่ก็ไม่พบหลินเจียอินและเจียงชานภรรยาและลูกสาวของเขา มีเพียงต้นดอกกุ้ยฮวาที่ส่งกลิ่นหอมหวานเพียงต้นเดียวที่สวนหน้าบ้านเท่านั้นที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์
“พวกเธอไปไหนนะ ? ”
เมื่อไม่เห็นภรรยาและลูกสาว ความสุขที่ได้กลับมาเกิดใหม่พลันหายไปทันที เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจอีกครั้ง
“คงไม่ใช่วันนั้นหรอกใช่ไหม ? ”
ทันใดนั้น ดูเหมือนเขาจะนึกบางอย่างขึ้นได้ จิตใจของเขาจมดิ่งลงไปโดยไม่รู้ตัว
แม้จะกลับมาเกิดใหม่แล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าตนเองกลับมาเกิดในวันไหน ปีอะไร ?
เจียงเสี่ยวไป๋ดูจากสภาพกิ่งก้านและใบของต้นดอกกุ้ยฮวาที่ส่งกลิ่นหอมในสวนและทิวทัศน์ของภูเขาและทุ่งนาจากที่ไกล ๆ แล้ว คาดว่าตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน
และเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าหลินเจียอินไปขายเลือดในวันที่ 1 เมษายน ปี 1983
และเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นเอง ทำให้หลินเจียอินติดโรคเอดส์มา
“สวรรค์ ขอร้องล่ะ ช่วยอย่าล้อผมเล่นแบบนี้ได้ไหม”
เมื่อนึกถึงโศกนาฏกรรมชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋เปลือกตากระตุก เหงื่อเย็น ๆ ไหลออกมาทั่วตัว เขารีบวิ่งออกไปข้างนอกทันที
ชื่อเมืองเจียงวานตั้งชื่อตามแม่น้ำชิงเจียง ซึ่งแม่น้ำชิงเจียงแห่งนี้ไหลตีเป็นวงโค้งใหญ่รอบภูเขาต้าชิง มองไกล ๆ ดูเหมือนรูปคันธนูขนาดใหญ่
พื้นที่ครึ่งหนึ่งถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำชิงเจียง เป็นที่ราบดินอุดมสมบูรณ์ เนินเขาอีกสองสามลูกถัดไปคือเชิงเขาต้าชิง บ้านส่วนใหญ่สร้างใกล้กับภูเขา ซึ่งมีมากกว่าร้อยครัวเรือน
ตระกูลเจียงเป็นตระกูลใหญ่ในเจียงวาน พื้นที่บ้านของคนตระกูลเจียงกว้างขวาง มีหลายสิบครัวเรือนที่แซ่เจียง หากไม่ใช่พวกลุงป้าน้าอาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
บ้านของคนในตระกูลเจียงอยู่ไม่ไกลกัน หากหน้าบ้านไม่เชื่อมหากัน สวนหลังบ้านก็เชื่อมหากัน ระหว่างบ้านมีแค่แปลงผักคั่น สามารถแวะเข้าไปพูดคุยกันได้อย่างสะดวกสบาย
เจียงเสี่ยวไป๋วิ่งไปตามถนนราวกับคนบ้า เขาอยากเจอใครสักคนเพื่อถามหาเจียอินและชานชาน หรือไม่ก็ถามวันเวลาเพื่อให้เขาแน่ใจเสียหน่อย
และสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ตอนนี้บ้านเกือบทุกหลังถูกปิดตาย ไม่มีใครอยู่บ้านในวันนี้
ก็จริง
กลางวันแสก ๆ แบบนี้ มีแต่คนเกียจคร้านอย่างเขาเท่านั้นที่ชอบนอนอยู่บ้าน ไม่ไปทำงาน
เมื่อหาใครไม่พบ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยิ่งกระวนกระวายใจยิ่งขึ้น
เขาวิ่งผ่านเขตบ้านของตระกูลเจียงไป แล้ววิ่งไปยังทุ่งทางใต้ของภูเขาอย่างรวดเร็ว
ช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนเป็นช่วงปลูกข้าวโพด เจียงเสี่ยวไป๋วิ่งไปด้วยพลางภาวนาไปด้วย: “ขออย่าให้เป็นวันนั้นเลย ขอให้เจียอินแค่พาชานชานไปปลูกข้าวโพดที่ไร่ด้วยเถอะ”
ในยุคสมัยนั้น ไม่มีใครว่างอยู่บ้านดูแลลูกหลาน ครอบครัวชาวนาส่วนใหญ่เวลาลงแปลงนาแปลงไร่จึงมักจะพาพวกเด็ก ๆ ไปด้วย ให้พวกเขาเล่นอยู่ในแปลงนา เด็กที่โตขึ้นมาหน่อยก็ให้มาช่วยงานง่าย ๆ ในไร่ในสวน
เจียงเสี่ยวไป๋คิดแบบนี้ ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลเช่นกัน
เมื่อลงจากเชิงเขามาแล้ว เขาก็พบว่าในแปลงนามีชาวบ้านมากมายกำลังง่วนอยู่กับงานของตน
“ลุงสาม เห็นเจียอินบ้างไหม ? ” เจียงเสี่ยวไป๋วิ่งไปถามชายร่างกำยำคนหนึ่งที่กำลังใช้จอบขุดอยู่ในทุ่ง
ชายคนนี้อายุประมาณ 40 ปีเศษ ชื่อเจียงไห่โป เป็นลุงสามของเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงไห่โปได้ยินเสียงของเจียงเสี่ยวไป๋ก็หยุดงานในมือ แล้วหันไปมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความสงสัย
ไอ้สารเลวนี่สนใจเมียตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
แถมดูเขายังมีท่าทีกระวนกระวายขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าไม่มีเงินเล่นการพนัน แล้วรีบร้อนจะมาขอเงินหลินเจียอินน่ะ ?
เจียงไห่โปถ่มน้ำลาย เขาปักจอบลงพื้นแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่เห็น”
เมื่อไม่ได้ข่าวของหลินเจียอิน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ผิดหวังทันที
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว เขาก็รีบถามต่อ “ลุงสาม วันนี้วันที่เท่าไหร่ ? ”
เจียงไห่โปได้ยินแบบนั้นก็โมโหทันที เขาตะโกนด่ากราดอย่างไม่สนฟ้าสนดิน “ไอ้เด็กสารเลว วัน ๆ เอาแต่กินเหล้าจนฉี่มีแต่กลิ่นเหล้า เมาจนลืมวันลืมคืนแล้วหรือ ทำไมแกไม่เมาให้มันตาย ๆ ไปเลยล่ะ อยู่ไปก็เปลืองข้าวสุก……”
เขาแค่ถามวันที่ แต่กลับต้องมาถูกด่าอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกน้อยใจอยู่เหมือนกัน
แต่พอนึกถึงเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ที่เขาเคยทำลงไปเมื่อครั้งอดีต การที่เขาจะถูกลุงสามดุด่าก็ถือเป็นเรื่องปกติ
อีกอย่างการได้กลับมาใช้ชีวิตแบบนี้อีกครั้ง เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าลุงสามของเขาเป็นคนปากร้ายใจดี ที่ดุด่าก็เพราะอยากให้เขาได้ดี เขาจึงไม่ได้สนใจท่าทีของลุงสาม เพียงแค่ถามอย่างเป็นกังวลว่า “ลุงสาม ผมมีเรื่องสำคัญมากจริง ๆ ลุงรีบบอกผมมาเถอะ”
“คนอย่างแกจะไปมีเรื่องสำคัญอะไรอย่างคนอื่นเขา ? ”
เจียงไห่โปไม่เชื่อ เขารู้แค่ว่าเจียงเสี่ยวไป๋น่าจะยังไม่สร่างเมา เลยจำวันจำเดือนไม่ได้ หลังจากถามเขาแล้ว ไอ้เด็กนี่ก็คงจะไปเล่นการพนันกับเพื่อนต่อ เขาจึงพูดอย่างโมโหว่า “วันนี้คือวันที่ 1 เมษายน ปี 1983 แกจำวันนี้ไว้นะ และทางที่ดีที่สุดน่าจะมีพายุฝนให้ฟ้าผ่าแกให้ตายไปเลย……”
ปัง !
ราวกับมีฟ้าผ่าลงกลางหัวของเขา
วันนี้คือวันที่ 1 เมษายน ปี 1983 !
หลังจากมั่นใจแล้ว ความหวังในใจของเจียงเสี่ยวไป๋พลันพังทลายลงทันที ตอนนี้ความกังวลและความกระวนกระวายได้เข้ามาครอบงำจิตใจเขาแทน
มันคือวันนี้ วันที่หลินเจียอินจะไปขายเลือดให้ธนาคารเลือดที่เมืองชิงโจว
และเป็นวันนี้เองที่หลินเจียอินจะติดโรคเอดส์
และในตอนนี้ หลินเจียอินไม่อยู่บ้าน เธอน่าจะไปที่ธนาคารเลือดแล้ว
เกิดเสียงวืดขึ้นในหัวของเจียงเสี่ยวไป๋ เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน รู้สึกเหมือนโลกกำลังหยุดหมุนไปชั่วขณะ เป็นไปได้ไหมว่าแม้เขาจะกลับมาเกิดใหม่ แต่เขาก็ไม่อาจหลีกหนีจากโชคชะตาได้ และโศกนาฏกรรมนั้นยังคงดำเนินต่อไป ?
“ไม่……”
เจียงเสี่ยวไป๋คำรามลั่น เขาจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเอง เขาจะไม่ยอมให้โศกนาฏกรรมนั้นเกิดขึ้นอีกในชาตินี้
เจียงเสี่ยวไป๋ออกแรงวิ่งไปทางที่จะไปเมืองชิงโจวอย่างสุดกำลัง