ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 100 :เถ้าแก่เจียงใจป้ำ
ตอนที่ 100 :เถ้าแก่เจียงใจป้ำ
อากาศในเดือนพฤษภาคมเริ่มร้อนขึ้นแล้ว
แต่ทว่าในช่วงเช้าและกลางคืนยังคงค่อนข้างเย็น ทีมงานก่อสร้างของจวงปี้เฉิงเริ่มทำงานตั้งแต่รุ่งสาง
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋เข้ามาดูพวกเขาทำงานก็เห็นว่าคนงานทำงานอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ภายใต้การจัดการของจวงปี้เฉิง พวกเขาได้ตัดหญ้ามุงและกกที่ขึ้นรกทึบบนพื้นที่รกร้างซึ่งทอดยาวจากถนนลูกรังไปยังริมแม่น้ำ เปิดทางเป็นถนนดินสายเล็ก ๆ เพื่อเตรียมสร้างถนนต่อไป
“ช่างจวง ลำบากคุณกับทีมงานแล้ว
“เดี๋ยวผมจะกลับมาอีกทีตอนเที่ยงนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋บอกกล่าวจวงปี้เฉิง ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเขาเข้าไปในเมือง
หลังจากวุ่นอยู่กับการส่งพะโล้ให้ลูกค้าประจำทั้งหมดเสร็จสิ้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตรงไปยังห้างสรรพสินค้าและซื้อบุหรี่ต้าเฉียนเหมินมา 5 แถว
บุหรี่ต้าเฉียนเหมินราคาแถวละ 2 หยวน ซึ่งเทียบเท่ากับราคาบุหรี่จงฮว๋า 1 ซอง
เขาตั้งใจจะมอบให้กับคนงานของจวงปี้เฉิงคนละซอง
แค่บุหรี่ต้าเฉียนเหมินก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่ตัดสินจากฐานะของคนงานเหล่านี้แล้ว ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีปัญญาซื้อสูบเอง
ทว่าสำหรับคนงานเหล่านี้ การให้บุหรี่ที่มีราคาซองละ 2 หยวนนั้นคุ้มค่ากว่าการให้เงินสดพวกเขาคนละ 2 หยวนมาก
ดังนั้น การแจกบุหรี่จึงเป็นการแสดงความจริงใจ และคนงานก็ยินดีตอบรับและกล่าวขอบคุณ
ทว่านั่นมันก็เป็นแค่ท่าทีภายนอกที่ดูพอใจ แต่ลึก ๆ แล้วกลับไม่พอใจอะไรขนาดนั้น
เจียงเสี่ยวไป๋รู้รายละเอียดของเรื่องพวกนี้ดี
ก่อนที่จะออกมา เขาก็ได้ซื้อน้ำตาลทรายแดงมาอีกสองห่อ
งานก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยงานที่ต้องใช้แรงกายมาก ๆ และทำงานอยู่แต่กลางแจ้งตลอดเวลา จึงทำให้คนงานบางคนอาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ หากได้น้ำตาลทรายแดงละลายน้ำหนึ่งถ้วยก็พอที่จะสามารถบรรเทาความเหนื่อยล้าและเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้
มันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เขาต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน
หลังออกจากห้างสรรพสินค้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตรงไปที่โรงฆ่าสัตว์
“เถ้าแก่เจียง ทำไมวันนี้คุณถึงมาที่นี่ด้วยตัวเองได้ ? ”
สวีเหวินปิน ผู้จัดการโรงฆ่าสัตว์เห็นเจียงเสี่ยวไป๋จึงได้ทักทายด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่ร้านอร่อยสามมื้อเริ่มทำพะโล้ขาย เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้เป็นลูกค้าเจ้าประจำของโรงฆ่าสัตว์ เขาไม่จำเป็นต้องไปที่ร้านขายเนื้อเพื่อซื้อเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพราะสามารถสั่งเนื้อให้โรงฆ่าสัตว์ไปส่งได้โดยตรง
และทุกครั้งก็จะเป็นหวังผิงที่มาที่นี่ ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋นั้นไม่ค่อยได้มาบ่อยนัก
นี่จึงเป็นเหตุผลที่สวีเหวินปินถึงพูดอย่างนั้น
เจียงเสี่ยวไป๋ส่งบุหรี่ให้สวีเหวินปินและพูดว่า “ผมจะมาซื้อหมูสามชั้น 50 ชั่ง”
สวีเหวินปินกล่าวว่า “หวังผิงมาเอาเนื้อเมื่อเช้านี้แล้ว ตอนนี้คุณก็มาเอาอีก แสดงว่าที่ซื้อไปครั้งนี้ไม่ได้เอาไปทำเมนูที่ร้านใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมจะซื้อกลับบ้าน”
ได้ยินแบบนั้น สวีเหวินปินก็ให้พนักงานไปหั่นหมูสามชั้นมา 50 ชั่งและพูดว่า “ให้ฉันลงบัญชีร้านคุณเลยไหม”
ตอนนี้ร้านอร่อยสามมื้อต้องใช้เนื้อจำนวนมากทุกวัน พวกเขาจึงได้เจรจากับโรงฆ่าสัตว์ว่าจะจ่ายรวบยอดสัปดาห์ละครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “ผมซื้อส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับร้าน อันนี้ผมจะจ่ายเลย”
“งั้น คุณจ่ายมา 50 หยวนพอ”
สวีเหวินปินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และขายในราคาส่งให้
ราคาที่โรงฆ่าสัตว์ขายคือชั่งละ 1.2 หยวน ดังนั้นหากซื้อ 50 ชั่ง ปกติต้องจ่าย 60 หยวน
“ขอบคุณมากครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณเขาและพูดว่า “เดี๋ยวผมจะให้หวังผิงเอาพะโล้มาฝากคุณในวันพรุ่งนี้”
สวีเหวินปินดูจะมีความสุขมาก เขาเคยกินพะโล้ที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งรสชาติของมันนั้นอร่อยอย่าบอกใครเชียว
เดิมที เขาแค่คิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋นั้นเป็นลูกค้ารายใหญ่เจ้าประจำ ดังนั้นเขาจึงขายเนื้อให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม
แต่ไม่คาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะใจดี เอาพะโล้มาฝากเขาในวันพรุ่งนี้ด้วย
เพราะโรงงานฆ่าสัตว์เป็นของรัฐบาล กำไรเล็กน้อยที่ได้มาก็ให้กับรัฐบาลเช่นกัน
แต่พะโล้ที่เอามาฝากนั้นให้เขากินเอง
นี่คือเรื่องที่เขาได้เปรียบ
หลังจากซื้อบุหรี่และเนื้อหมูเรียบร้อยแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ขับรถกลับไปที่เจียงวาน ก่อนจะเอาของที่ซื้อมาให้จวงปี้เฉิงนำไปแจกจ่ายให้กับคนงาน
“เถ้าแก่เจียง ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณลำบากแบบนี้”
จวงปี้เฉิงไม่ได้คาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะซื้อของให้มากมายมาให้
เขาต้องการที่จะปฏิเสธ แต่เขาก็รู้จักนิสัยของเจียงเสี่ยวไป๋ดี หากว่าเจียงเสี่ยวไป๋ซื้อมาให้แล้วก็จะไม่รับคืน ดังนั้นเขาจึงยอมรับมัน
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือปัดเป็นการส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไร และพูดว่า “ที่นี่ลำบาก คนงานเองก็ต้องทำงานหนัก นี่คือน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผม”
จวงปี้เฉิงซาบซึ้งใจมาก เขาพูดว่า “ผมขอขอบคุณแทนคนงานด้วยก็แล้วกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “ผมซื้อบุหรี่มาให้คนงานทั้งหญิงชายคนละ 1 ซอง จะสูบหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของพวกเขา”
“เข้าใจแล้ว”
จวงปี้เฉิงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะตอนที่เขารับปรับปรุงร้านให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ ทุกครั้งที่เจียงเสี่ยวไป๋มาก็จะซื้อบุหรี่มาฝากเขาตลอด แม้แต่ช่างไม้ถานที่ไม่ค่อยสูบบุหรี่ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยังเอาบุหรี่ให้เขา
ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่สงสัยอะไร
เขาเรียกคนงานมาหาทันที “เถ้าแก่เจียงซื้อหมูมาฝากทุกคน คืนนี้ฉันจะให้ภรรยาเอาไปทำอาหารให้กิน”
“ดีเลย ๆ ……”
“เยี่ยมมาก……”
“ขอบคุณนะเถ้าแก่เจียง ! ”
”ขอบคุณ หัวหน้าจวง ! ”
“……”
เมื่อได้ยินว่าอาหารเย็นนี้จะมีเนื้อหมูเป็นส่วนประกอบหลัก คนงานทุกคนก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
จวงปี้เฉิงรับของมาและเริ่มแจกจ่ายให้กับคนงานแต่ละคน
“เถ้าแก่เจียงซื้อบุหรี่ให้ทุกคน อ่านี่ เอาไป”
“ขอบคุณ เถ้าแก่เจียง ! ”
”อันนี้ของนาย รับไปสิ ! ”
“ขอบคุณ เถ้าแก่เจียง ! ”
“……”
หลังจากแจกจ่ายให้คนงานแต่ละคนเสร็จแล้ว จวงปี้เฉิงก็นำของที่เหลือไปไว้ในโรงเก็บของ
หลังจากออกมา เขาก็พูดว่า “ไปเถอะ ไปดูทางที่คนงานถางไว้ทำถนนกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็มาเพื่อดูความคืบหน้าของงานเช่นกัน
ถนนที่เขาจะทำเชื่อมต่อจากถนนหมู่บ้านไปยังริมแม่น้ำ ระยะทางไม่ได้ไกลนัก มีระยะทางประมาณ 300 เมตรเท่านั้น แม้ว่าจะสร้างเป็นทางตรง แต่ก็ไม่ได้ลาดชันเกินไป
แต่ทว่าจวงปี้เฉิงก็ได้ออกแบบถนนโค้งเป็นรูปตัว S เล็กน้อย เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับถนนลูกรังได้อย่างราบรื่น และความชันของถนนจะลดลงด้วย
แต่แน่นอนว่าความยาวของถนนจะต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน
พื้นผิวถนนที่ถางได้มีขนาดโล่งกว้างเกือบ 20 เมตรตัดผ่านหญ้าและต้นอ้อที่มีความสูงระดับเอว จึงทำให้มีความคดเคี้ยวเล็กน้อย
“เถ้าแก่เจียง ถนนกว้างมาก ฉะนั้นงบประมาณในการสร้างคงจะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย”
ระหว่างทาง จวงปี้เฉิงก็ได้กล่าวเตือนขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไร ผมชอบทำอะไรให้มันดีไปเลยครั้งเดียว คุณก็แค่ทำมันไปตามที่ผมบอกก็พอ เงินแค่นี้ไม่ได้เป็นปัญหาหรอก”
เดิมทีหากเขาต้องการจัดสวนสไตล์จีน ซึ่งวัสดุที่แพงที่สุดคืออิฐ หิน ไม้และค่าจ้างช่างแกะสลักหินและช่างไม้
แต่เมื่อเขาซื้อของแกะสลักพวกนี้มาจากหอบรรพบุรุษตระกูลเฉินและลานบ้านตระกูลเฉินแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปซื้อหินและไม้มาให้ช่างแกะสลักอีก
ฉะนั้น เงินที่จะเสียเยอะที่สุดคือการสร้างบ้านและสร้างถนน
“อีกอย่าง พื้นผิวถนนผมจะไม่ปูด้วยกรวด แต่จะเทเป็นถนนซีเมนต์เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวเสริม
ห๊ะ !
จวงปี้เฉิงหยุดทันทีและมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความตกใจ
จะทำถนนที่กว้าง 12 เมตรเป็นถนนคอนกรีต จำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ ?
ต้องรู้ก่อนว่าในสมัยนี้ แม้แต่ในเมืองชิงโจวก็ยังมีถนนหลายสายที่ยังเป็นถนนลูกรังอยู่
เมื่อเห็นว่าจวงปี้เฉิงหยุดเดินอยู่ตรงนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็หันไปถามว่า “เอ่อ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ? ”
“ไม่… ไม่มีอะไร”
จวงปี้เฉิงกลับมามีสติอีกครั้ง เขายิ้มด้วยความเขินอายและรีบเดินตามไป
ทั้งสองเดินไปที่เนินดินที่อยู่หน้าหน้าผา วัชพืชที่นี่ถูกถางออกไปจนหมดแล้ว จึงทำให้เห็นลักษณะของเนินดินได้อย่างชัดเจน
จวงปี้เฉิงกล่าวว่า “ผมวัดแล้ว ถนนมีสองโค้ง รวมแล้วจะยาวประมาณ 500 เมตร ซึ่งยาวกว่าแบบทำถนนทางตรง 100 กว่าเมตร”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขาเข้าใจว่าจวงปี้เฉิงต้องการจะสื่อถึงอะไร
ยิ่งระยะทางยาวเท่าไหร่ ราคาก่อสร้างก็จะยิ่งแพงขึ้นเท่านั้น
เขากล่าวว่า “ทำตามที่คุณออกแบบไว้เถอะ เพราะความชันของถนนจะได้ลดลง”
จวงปี้เฉิงดูจะโล่งใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขากังวลเล็กน้อยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะขอให้เขาเปลี่ยนแผนและเปลี่ยนแบบถนนเป็นเส้นตรง แต่เมื่อได้ยินคำยืนยันจากปากของเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งใจ
ตามคาด เถ้าแก่เจียงคนนี้ช่างยอดเยี่ยมมากจริง ๆ เขาทั้งใจใหญ่และตัดสินใจเด็ดขาด ! ฉะนั้นเขาจะทำงานนี้ให้เต็มที่ !
จากนั้น เขาก็ชี้ไปที่เนินดินอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “เนินนี้มีพื้นที่ 3 หมู่กว่า ๆ แต่ค่อนข้างลาดชันอยู่ บริเวณต่ำสุดอยู่ในระดับเดียวกับผิวน้ำ บริเวณที่สูงที่สุดสูงกว่าผิวน้ำประมาณ 5 เมตร”
เขามองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋แล้วถามว่า “ฉะนั้น ผมคิดว่าเราควรทำเนินนี้ให้ต่ำลง แล้วสร้างป้อมกั้นแม่น้ำ ปรับระดับหน้าดินให้สม่ำเสมอเพื่อให้ฐานของดินแข็งแรงขึ้น จะได้พื้นที่กว้างขวางขึ้นด้วย คุณคิดว่าดีไหม ? ”