ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 101 :เมียจ๋า ฟังผมอธิบายก่อน
ตอนที่ 101 :เมียจ๋า ฟังผมอธิบายก่อน
“ไม่ต้องหรอก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือปัด เขาปฏิเสธข้อเสนอของจวงปี้เฉิงอย่างตรงไปตรงมา แล้วพูดว่า “หากลดระดับความสูงลง เมื่อเกิดกระแสน้ำเชี่ยวกรากในฤดูฝนอาจทำให้น้ำท่วมบ้านได้”
“ใช่ ๆ ๆ สูงไปหนึ่งเมตรก็ปลอดภัยไปหนึ่งระดับ เป็นผมที่ไม่รอบคอบเอง” จวงปี้เฉิงรีบแก้ตัว
ที่จริงเขาเองก็พิจารณาถึงปัญหาเรื่องน้ำท่วมด้วยเช่นกัน เพียงแต่เขาคิดว่าหากปรับระดับหน้าดินลงสัก 1 เมตรน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
เจียงเสี่ยวไป๋ชี้ไปที่ผิวน้ำแล้วพูดว่า “ผมตั้งใจจะลงเสาในแม่น้ำ แล้วสร้างระเบียงยื่นออกไปริมน้ำด้วย”
จวงปี้เฉิงได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจ จึงโพล่งออกมา “การก่อสร้างในน้ำยากกว่าการก่อสร้างบนบก ต้องเป็นช่างเฉพาะถึงจะสามารถทำได้ เกรงว่าฝีมือทีมงานก่อสร้างของพวกผมคงจะ……ทำไม่ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ผมรู้จักกับผู้อำนวยการสำนักงานของบริษัทชิงโจว โรด แอนด์ บริดจ์ คอมพานี เดี๋ยวผมให้พวกเขามาสร้างส่วนที่ยื่นออกไปกลางน้ำให้”
ชิวเสี่ยวหยุน ผู้อำนวยการสำนักงานบริษัทชิงโจว โรด แอนด์ บริดจ์ คอมพานีคนนี้ จวงปี้เฉิงเองก็รู้จักเขาเช่นกัน เขาเป็นคนที่เข้าถึงยากคนหนึ่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาอยากขอรับช่วงต่อจากโครงการรับเหมาเล็กๆ ในเครือบริษัทชิงโจว โรด แอนด์ บริดจ์ คอมพานี เขาจึงเชิญผู้อำนวยการชิวไปทานข้าวอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายไม่สนใจเขาเลย
“ไม่คาดคิดเลยว่าคุณจะเชิญผู้อำนวยการชิวมาได้”
จวงปี้เฉิงยิ้มเจื่อน ในแววตาเผยให้เห็นถึงความนับถือ
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายต่ออีกว่า “ตัวระเบียงยื่นออกไปประมาณ 4 เมตร ความสูงจากผิวน้ำน่าจะประมาณ 2 เมตรก็พอ” จากนั้น เขาชี้นิ้วไปที่หน้าเนินดิน “ตัวระเบียงเชื่อมต่อโดยตรงกับความสูงระดับนี้ของผิวดิน ก่ออิฐเป็นแนวกั้นน้ำสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตรกว่าตามลักษณะภูมิประเทศ แล้วทำทางเดินยาวประมาณ 6 เมตรบนแนวกั้นน้ำเพื่อล้อมเนินดินไว้”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็ชี้นิ้วขึ้นไปด้านบนแล้วพูดว่า “ถัดเข้าไปด้านในให้ก่ออิฐเป็นเหมือนแนวกั้นขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ให้ถนนบนแนวกั้นทั้งสองที่เชื่อมเข้าหากัน แล้วแล้วสร้างชั้นใต้ดินบนแนวกั้นที่สอง ส่วนพื้นที่บนเนินดินน่าจะเพียงพอสำหรับสร้างบ้าน”
จวงปี้เฉิงได้ยินก็ตกตะลึง
ดูเหมือนว่าโครงการก่อสร้างนี้จะยิ่งงานใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม ตามการออกแบบของเจียงเสี่ยวไป๋ ห้องสุดท้ายนั้นเทียบเท่ากับการสร้างบนชั้นสี่ ซึ่งป้องกันน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังสามารถจินตนาการได้เลยว่าบ้านหลังนี้สร้างเสร็จแล้วจะสวยขนาดไหน
เจียงเสี่ยวไป๋มองย้อนกลับไปที่ทางเข้าถ้ำใต้หน้าผา คนงานทางด้านนั้นกำลังเอาบันไดไม้ไผ่พาดเพื่อวัดขนาด
คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะถึงจะเสร็จ
เจียงเสี่ยวไป๋พูดขึ้นว่า: “เดี๋ยวเย็นนี้คุณเอาขนาดของเนินดินและปากถ้ำมาให้ผม เดี๋ยวผมจะร่างแบบส่งให้คุณในอีก 2-3 วัน”
“อืม ! ”
จวงปี้เฉิงพยักหน้าแล้วพูดต่ออีกว่า: “เรื่องแบบร่างยังไม่ต้องรีบร้อน เพราะถึงอย่างไรต้องใช้เวลาสักระยะในการสร้างทาง”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเกี่ยวกับผังบ้านมาแล้วก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาว่าสามารถใช้ไม้หรือระแนงหน้าต่างชุดเก่าจากห้องโถงบรรพบุรุษและเรือนด้านในของบ้านตระกูลเฉินได้ ดังนั้นการใช้ของพวกนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและการรีโนเวทจึงได้กลายเป็นความคิดใหม่ของเขา ทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดบางอย่างก่อนหน้านี้ไปบ้าง
ดังนั้น มันต้องใช้เวลาสักระยะจริง ๆ
ทั้งสองปรึกษากันเรื่องรายละเอียดอีกสักพัก กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่าย
เจียงเสี่ยวไป๋ออกจากพื้นที่ก่อสร้างเพื่อเข้าเมืองเตรียมจะรับภรรยาและลูกสาวกลับบ้าน
เมื่อเขาขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมาถึงอำเภอชิงซาน และใกล้จะถึงป้ายรถเมล์ประจำอำเภอ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ตรงนั้น
“คนสวย คุณจะเข้าเมืองใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไปจอดตรงหน้าจางชุ่ยฮวา
“เป็นคุณนี่เอง ! ”
จางชุ่ยฮวากำลังสงสัยว่าทำไมมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างถึงได้มาจอดตรงหน้าตนเอง เมื่อเธอเห็นใบหน้าของคนขี่อย่างชัดเจนและจำได้ว่าเขาคือเจียงเสี่ยวไป๋ หญิงสาวดูจะประหลาดใจไม่น้อย
“ใช่น่ะสิ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ทักทายด้วยรอยยิ้ม
จะว่าไปเขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจจางชุ่ยฮวาอยู่เหมือนกัน
หากตอนนั้นเขาไม่แย่งรถจักรยานของเธอไป เขาก็คงตามหลินเจียอินไม่ทัน และโศกนาฏกรรมของชาติที่แล้วก็จะดำเนินต่อไป
ครั้งต่อมา หากไม่ใช่เพราะจางชุ่ยฮวาเอาจักรยานให้เขายืม ตอนที่เขาไปขายสัตว์ป่าที่ภัตตาคารของรัฐก็คงไม่สามารถกลับมาบ้านได้เร็วขนาดนั้น ซึ่งไม่แน่ว่าหลินเจียอินอาจจะถูกอันธพาลเฉินข่มเหงเอาได้
กล่าวได้ว่ารถจักรยานของจางชุ่ยฮวาช่วยให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของตนเองหลังจากกลับมาเกิดใหม่ได้
และตอนนี้เขายังติดหนี้ยางรถเส้นใหม่ของจางชุ่ยฮวา
เรื่องที่เขาเคยพูดในตอนนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงจำได้ไม่เคยลืม เพียงแต่ว่าเดือนนี้เขางานยุ่งมาก จึงยังไม่ทันได้จัดการให้เรียบร้อย
จางชุ่ยฮวามองรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างก็หัวเราะ พลางพูดว่า “ดูเหมือนช่วงนี้คุณจะเฟื่องฟูอยู่เหมือนกันนะ ในที่สุดก็ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะแล้วพูดว่า: “ถ้าเธอจะเข้าเมืองก็ขึ้นมา เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“อืม”
จางชุ่ยฮวาไม่เกรงใจเช่นกัน เธอขึ้นไปนั่งบนพ่วงข้างอย่างเรียบร้อย
เจียงเสี่ยวไป๋สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ ทั้งสองพูดคุยกันไปตลอดทาง ซึ่งเวลาผ่านไปเร็วมาก พวกเขาใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็มาถึงในเมืองแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ถามขึ้นว่า “คุณจะไปที่ไหน เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ฉันจะไปถนนอู่หยางทางตะวันออกของเมือง”
จางชุ่ยฮวาบอกสถานที่แล้วก็พูดต่ออีกว่า “แต่ฉันได้ยินมาว่าบนถนนชิงโจวมีร้านอาหารชื่อว่าอร่อยสามมื้อ ว่ากันว่าพะโล้ของที่นั่นอร่อยมาก ฉันอยากไปซื้อพะโล้ก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋ทำสีหน้าแปลกๆ
“ได้ งั้นเดี๋ยวไปส่งคุณซื้อพะโล้ก่อน”
พูดแล้ว เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไปทางร้านที่เธอพูดถึง
หลังจากจอดรถที่หน้าร้านแล้ว จางชุ่ยฮวาลงจากรถมาก็ต้องตกใจ
ร้านนี้ขายดีขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ?
เพราะมีลูกค้ามากกว่าสิบคนเข้าคิวรออยู่ตรงริมถนนด้านนอกร้าน ส่วนหน้าประตูร้านยิ่งมีคนเยอะยิ่งกว่า
“ขอโทษทีนะ ฉันไม่รู้ว่าจะมีคนเข้าคิวรอเยอะขนาดนี้ ดูเหมือนว่าต้องรออีกสักพักแล้วล่ะ”
จางชุ่ยฮวาพูดเสียวแผ่ว “ไม่อย่างนั้นคุณไปจัดการธุระของคุณเถอะ ฉันซื้อพะโล้เสร็จแล้วจะไปเอง”
“ไม่เป็นไร คุณอยากซื้อพะโล้อะไรล่ะ เดี๋ยวฉันไปซื้อให้” เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเจ้าเล่ห์ “ฉันลัดคิวให้ได้นะ”
การลัดคิวไม่ใช่เรื่องดี
จางชุ่ยฮวาเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋เดินไปข้างหน้า จึงรีบเอื้อมมือไปดึงเขา
บังเอิญเหลือเกิน !
เพราะในตอนนี้เอง หลินเจียอินเดินออกมาจากในร้านพอดี
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ เดิมทีหญิงสาวกำลังจะยิ้มให้เขา วินาทีต่อมา เมื่อเธอเห็นสาวสวยรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกำลังดึงแขนเสื้อของเขาจากด้านหลัง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอพลันแข็งค้างขึ้นมาทันที
“อย่าไป ! ”
จางชุ่ยฮวาไม่ได้สังเกตเห็นหลินเจียอิน เธอดึงแขนเสื้อของเจียงเสี่ยวไป๋แล้วก็พูดขึ้นมา
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
ตอนแรกเธอจำไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้คือจางชุ่ยฮวา พอได้ยินคำว่า “อย่าไป” เธอนึกว่าหญิงสาวคนนี้ตามเขามาถึงที่นี่และห้ามไม่ให้เจียงเสี่ยวไป๋เข้ามาพบเธอ
แต่เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไปคบกับผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่ตอนไหน ?
เป็นไปได้ไหมว่าอาจเป็นเพราะเธอไม่ยอมให้เขาสัมผัสเธอมานานขนาดนี้ ?
แต่เขาไม่ยอมเริ่มก่อนนี่นา !
อืม พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก
เพราะเดือนนี้เขาตัวติดกับเธอทุกวัน
เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นบ่ายเมื่อวานและบ่ายวันนี้ เนื่องจากพวกเขากำลังสร้างบ้านใหม่ เจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่อยู่ร้าน
หรือเขาใช้เวลาแค่ช่วงบ่ายของสองวันนี้ไปจีบผู้หญิงอื่นแล้ว ?
หลินเจียอินยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดระแวง สีหน้าของหญิงสาวดูแย่ลงขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนแรกเจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจจะแกล้งจางชุ่ยฮวาเล่น คิดไม่ถึงเลยว่าจางชุ่ยฮวาจะดึงแขนเสื้อของเขาไว้
และยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าฉากนี้จะบังเอิญถูกหลินเจียอินเห็นเข้าพอดี
และตัวของเขาเองก็มองเห็นหลินเจียอินตั้งแต่เธอปรากฏตัวออกมาแล้ว
เขาเห็นทั้งรอยยิ้มบนใบหน้าของเมียรัก และเห็นแม้กระทั่งตอนเธอเปลี่ยนสีหน้าไป
แน่นอนว่าเขาเข้าใจดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“เมียจ๋า ฟังผมอธิบายก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบสลัดมือของจางชุ่ยฮวาที่จับแขนเสื้อของเขาออก พร้อมกับพูดขึ้นอย่างร้อนรน