ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 102 :ผู้หญิงเปลี่ยนสีหน้าเร็วมาก
ตอนที่ 102 :ผู้หญิงเปลี่ยนสีหน้าเร็วมาก
อธิบาย ?
มีอะไรต้องอธิบาย !
จะบอกว่าฉันตาบอดงั้นหรือ ?
ดวงตาคู่งามของหลินเจียอินคล้ายกับมีม่านหมอกของหยาดน้ำตาเข้ามาบดบัง หญิงสาวเบือนหน้าหนีด้วยดวงใจที่เจ็บแปลบ
เธอไม่อยากเห็นเจียงเสี่ยวไป๋อยู่กับ……ผู้หญิงคนนั้น
และไม่อยากให้เจียงเสี่ยวไป๋เห็นน้ำตาของเธอด้วย
เมื่อครู่นี้จางชุ่ยฮวาร้อนใจจึงดึงเจียงเสี่ยวไป๋ไว้ ตอนแรกเธอไม่ได้สนใจอะไร แต่จู่ ๆ ก็มาถูกเจียงเสี่ยวไป๋สลัดมือออกแบบนี้ อีกทั้งพอได้ยินคำพูดของเขา เธอถึงได้เงยหน้าและเห็นหลินเจียอินที่หน้าประตูร้านพอดี
ซวยแล้ว !
จางชุ่ยฮวาหน้าแดง เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเมื่อครู่นี้โดนภรรยาของเขาเข้าใจผิดเข้าแล้ว
แต่เธอไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร หญิงสาวทั้งอับอายทั้งร้อนใจจึงกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินไปดึงเจียงเสี่ยวไป๋
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าหลินเจียอินไม่ยอมฟังเขาอธิบาย ในใจของชายหนุ่มคิดได้ทันทีว่าตนเองหาเรื่องใส่ตัวเข้าแล้วจริง ๆ
ไม่น่าอยากไปแกล้งจางชุ่ยฮวาเลย รู้งี้บอกเธอไปตามตรงว่านี่คือร้านของเขาก็จบเรื่องแล้ว
ดูเหมือนว่าเราจะล้อเล่นกับคนอื่นไม่รุ่งแฮะ
บางครั้งมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดขึ้น
“เมียจ๋า เธอคือน้องชุ่ยฮวา”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบอธิบายอย่างไม่รีรอ “เธอคือคนที่ให้ผมยืมจักรยานเมื่อคราวก่อน วันนี้เธอมาซื้อพะโล้”
“ใช่ค่ะพี่สะใภ้ วันนี้ฉันมาซื้อพะโล้จริง ๆ ”
จางชุ่ยฮวารีบอธิบายเช่นกัน “เขาบอกว่าเขาช่วยลัดคิวให้ได้ ฉันถึงได้ดึงมือเขามาเพื่อบอกเขาว่าอย่าลัดคิวคนอื่น”
อ่า ?
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง !
มันไม่ใช่แบบที่เธอคิด !
หลินเจียอินรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เธอรู้ว่าตนเองเข้าใจเจียงเสี่ยวไป๋ผิดไปจึงหน้าแดงขึ้นมา ทว่าหญิงสาวยังคงถลึงตาใส่เจียงเสี่ยวไป๋ไปปราดหนึ่ง
‘ต่อให้เป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ฉันยังไม่ยอมยกโทษให้คุณหรอกนะ’
จางชุ่ยฮวาพูดจบก็หันไปมองค้อนเจียงเสี่ยวไป๋เช่นกัน
หญิงสาวสองคนใช้สายตาโมโห ตำหนิและร้อนแรงจ้องมองมาที่เขาโดยพร้อมเพรียงกันแบบนี้ ทำเอาเจียงเสี่ยวไป๋ถึงกับหน้าหงอไปชั่วขณะ
“เป็นเธอนี่เอง เมื่อกี้ฉันเข้าใจผิดไป”
หลินเจียอินรีบเดินเข้าไปหาจางชุ่ยฮวา แล้วจับมือเธอเพื่อขอโทษ
จางชุ่ยฮวายังคงอายอยู่เล็กน้อย เธอพูดอย่างเก้อเขินว่า “พี่สะใภ้ พี่มาซื้อของที่นี่เหมือนกันหรือ บังเอิญจังเลย”
หลินเจียอินยิ้มรับ “บังเอิญอะไรกันล่ะ ร้านนี้เป็นร้านของครอบครัวเราเอง”
“ห๊ะ ! ”
จางชุ่ยฮวาหันขวับไปมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างอดไม่ได้ “นี่ร้านที่คุณเปิดเองงั้นหรือ แล้วทำไมไม่บอกฉันแต่แรก ทำให้ฉัน……เอ่อ ฉัน……”
หลังจากอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวสะบัดหน้าแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลินเจียอินเห็นว่าจางชุ่ยฮวาดูงุ่มง่ามทำตัวไม่ถูก เธอจึงรู้สึกไม่ดีขึ้นมา “ไปกันเถอะ เข้าไปในร้านกัน อยากกินพะโล้อะไร เดี๋ยวฉันจะตักใส่กล่องให้”
พูดจบ เธอก็จับมือจางชุ่ยฮวาเดินเข้าไปในร้าน
ทิ้งให้เจียงเสี่ยวไป๋ยืนอึ้งอยู่หน้าประตูร้านคนเดียว
หญิงสาวทั้งสองเข้าพวกกันและทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เขาเกาหัวพลางเดินตามเข้าไป
ภายในร้าน หลินเจียอินให้จางชุ่ยฮวาเลือกเมนูพะโล้
จางชุ่ยฮวาเพิ่งมาที่ร้านนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน เธอแค่ได้ยินคนเขาร่ำลือมาว่าพะโล้ร้านนี้อร่อยมาก แต่เธอไม่รู้ว่าควรจะเลือกอะไรดี เธออ่านป้ายบอกชื่อเมนู แล้วพูดว่า “งั้นเอาหัวหมูพะโล้ 1 ชั่งกับน่องไก่พะโล้ 1 ชั่งแล้วกัน”
“รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปตักมาให้”
หลินเจียอินพูดแล้วก็เดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหั่นเนื้อหมูพะโล้เป็นชิ้น ๆ ใส่ลงถ้วย จากนั้นก็ตักน่องไก่พะโล้ใส่อีก 1 ถ้วย แล้วนำตีนไก่พะโล้ ผักกาดพะโล้และฟองเต้าหู้ใส่อีก 1 ชาม
“อ่า……ฉันไม่ได้จะซื้อเยอะขนาดนั้น”
ในตอนที่หลินเจียอินยกชามใหญ่ออกมาหลายชาม จางชุ่ยฮวาก็รีบพูดขึ้นทันที
เพราะก่อนหน้านี้เธอตักใส่อย่างเดียว ยังไม่ได้ชั่งเลย
“ฉันให้ฟรี”
หลินเจียอินพูดออกไปตามตรง “อีกเดี๋ยวให้เสี่ยวไป๋ไปส่งนะ เขามีรถ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านข้างโดยไม่พูดไม่จา
ขืนพูดอะไรไปตอนนี้ มีแต่จะซวยเพราะปาก
ความเงียบคือทองคำ ตอนนี้เขาต้องปกป้องตัวเองก่อน
หลังจากรอสักพัก เขาก็ไปทำงานของตนเองต่อโดยไม่ได้อยู่ฟังว่าหลินเจียอินและจางชุ่ยฮวาพูดคุยอะไรกัน เพราะถึงอย่างไรสองสาวก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนานราวกับพี่น้องที่สนิทกัน
ในที่สุด หลินเจียอินก็เรียกให้เขาไปส่งจางชุ่ยฮวา
“รับคำสั่งเมียจ๋า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รับคำ แล้วเดินไปหยิบพะโล้พวกนั้นมาวางบนรถพ่วงข้าง เพื่อไปส่งจางชุ่ยฮวาที่ถนนอู่หยาง
“บ้านเลขที่ 43 ตรงหน้านั้นคือบ้านของพี่สาวฉันเอง”
เมื่อมาถึงถนนอู่หยาง จางชุ่ยฮวาชี้ไปยังบ้านเก่าหลังหนึ่งตรงหน้า
เจียงเสี่ยวไป๋ขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไปจอดที่หน้าประตู แล้วช่วยเธอยกพะโล้หลายชามลงจากรถ พลางพูดว่า “งั้นฉันขอตัวก่อนนะ”
จางชุ่ยฮวากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เข้าไปนั่งพักสักหน่อยหรือ? ”
“ไม่ล่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดจบก็ขึ้นรถ จางชุ่ยฮวาจึงอดที่จะเอ่ยแซวไม่ได้ “มองไม่ออกเลยนะว่าคุณจะกลัวเมียกับเขาด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้กลัว แต่รัก ! ”
พูดจบ เขาก็สตาร์ทรถ “บื้น บื้น บื้น” และขี่ออกไป
จางชุ่ยฮวามองดูร่างของเจียงเสี่ยวไป๋ที่ขี่รถจากไป เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เพราะในบรรดาผู้ชายทั้งหมดที่เธอเคยเจอมา มีเพียงเจียงเสี่ยวไป๋เท่านั้นที่กล้าบอกรักภรรยาของเขาต่อหน้าคนอื่น
ช่างเป็นผู้ชายที่ดีจริง ๆ
พี่เจียอินโชคดีมาก
หันกลับไปมองประตูบ้านพี่สาวก็รู้สึกสลดใจ
สภาพครอบครัวของพวกเธอถือว่าค่อนข้างดีสำหรับในอำเภอ แต่พี่สาวของเธอกลับดึงดันจะแต่งงานกับคนในเมือง จึงจบลงด้วยผู้ชายที่พึ่งพาไม่ได้
ในอนาคตหากต้องแต่งงาน เธอต้องหาผู้ชายแบบเจียงเสี่ยวไป๋ให้ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หญิงสาวพลันหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว
ฮู่ว……
หลังจากผ่อนลมหายใจเพื่อปรับอารมณ์ตัวเองแล้ว หญิงสาวถึงได้ก้าวไปเคาะประตู
……
เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาถึงร้าน หลินเจียอินลดเสียงตัวเอง พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติ “ยอมกลับมาสักทีนะ ! ”
จู่ ๆ ได้ยินประโยคนี้จากเมียรัก ทำเอาเจียงเสี่ยวไป๋ถึงกับชะงักไป
ก่อนหน้านี้พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติไม่ใช่หรือ แล้วใครกันที่บอกให้ผมไปส่งเธอให้ถึงที่น่ะ ?
ทำไมพอเรากลับมาถึงเปลี่ยนเป็นอีกคนเลยล่ะ
สีหน้าของผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปเร็วกว่าวันในเดือนมิถุนายนเสียอีก
“เมียจ๋า คุณว่าอะไรนะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนฉลาด เขารีบแสร้งทำเป็นนิ่งอึ้งแสร้งทำเป็นว่าได้ยินไม่ชัด
“เฮอะ ! ผู้ชายนี่นะ ! ”
เนื่องจากตอนนี้คนในร้านเยอะมาก หลินเจียอินไม่อยากพูดแรงเกินไป เธอเพียงแค่ทำฟึดฟัดแล้วสะบัดหน้าหนีออกไป
“อ๊ะ……ผู้หญิงนี่นะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หมดคำจะพูดเช่นกัน เขาพบว่าแม้เขามีชีวิตอยู่มาถึงสองชาติแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจผู้หญิงเหมือนเดิม
ดูเหมือนว่าวันที่จะได้หลับนอนกับเธอคงอีกยาวไกล
แต่ทุกเรื่องสามารถมองได้สองด้าน ที่เมียเขาเป็นแบบนี้เพราะเธอกำลังหึงเขาชัด ๆ
เมียหึงเป็นเรื่องดี !
อนาคตสดใส เส้นทางคดเคี้ยว
ดังนั้นไม่ควรรีบร้อน
เขาส่ายหัวแล้วเดินไปที่สวนหลังบ้าน
วันนี้เขาเสียเวลาไปมาก จึงไม่ได้เล่นหมากรุกกับลูกสาวเลย
หลังจากพูดให้กำลังใจเจียงชานและหวังกังไม่กี่คำ เขาจึงให้ลูกสาวเก็บกระดานหมากรุกและเตรียมตัวกลับบ้าน
ตลอดทาง หลินเจียอินนั่งอยู่บนพ่วงข้างโดยไม่พูดไม่จา ไม่สนใจเจียงเสี่ยวไป๋เลย
แต่ตอนนี้มีลูกสาวอยู่ด้วย เธอเองก็ไม่ได้ถามซักไซ้ไล่เลียงอะไร
แม้เจียงชานจะอายุน้อย แต่เธอความรู้สึกไวมาก หนูน้อยเงยหน้าถามขึ้นว่า “หม่าม๊า หม่าม๊าเป็นอะไร ? ”
“หม่าม๊าโกรธป่าป๊าใช่ไหม ? ”
ในโลกนี้มีเพียงป๊าม๊ากับหม่าม๊าเท่านั้นที่ใกล้ชิดเธอที่สุด เมื่อเจ้าตัวเล็กรู้ว่าหม่าม๊าไม่พอใจ ความคิดแรกจึงคิดว่าหม่าม๊าโกรธที่ป่าป๊า
“เปล่า หม่าม๊าแค่เหนื่อยน่ะ”
หลินเจียอินไม่เคยเอาอารมณ์ไปลงที่ลูก เธอจึงพยายามพูดด้วยรอยยิ้ม
“หม่าม๊ากำลังพูดโกหก”
เห็นได้ชัดว่าหนูน้อยไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น เธอจ้องไปที่ดวงตาของหลินเจียอินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ก ๆ “เวลาพูดโกหก จมูกจะยาว”
หลินเจียอินรู้สึกขบขันกับหน้าตาและน้ำเสียงของเจียงชาน แต่เธอยังคงปากแข็ง “หม่าม๊าไม่ได้โกหก เอาล่ะ นั่งดี ๆ ระวังตก”
เจียงชานกลับกระพริบตาอย่างใสซื่อแล้วยิ้ม “ป่าป๊าบอกว่าลูกตาของคนที่โกหกจะหันไปทางขวา ตอนที่หม่าม๊าพูดเมื่อกี้ ลูกตาหันไปทางขวาด้วย หนูเห็นนะ”
หลินเจียอินผงะ เธอตกใจกับสิ่งที่ลูกสาวพูด มันให้ความรู้สึกเหลือเชื่อมาก
“ไร้สาระ ตาแม่ไม่ได้ขยับเสียหน่อย”
หลินเจียอินยังคงแสร้งทำเป็นไม่ยอมรับ
“มันขยับ หนูสังเกตดีแล้ว ตาของหม่าม๊าหันไปทางขวาพอดี”
เจียงชานพูดอย่างไม่ลดละ และบอกกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “ป่าป๊าสอนหนูสังเกต หนูเรียนรู้ได้ดีมากเลยนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ที่ฟังอยู่ก็หัวเราะออกมา
“ชานชานเก่งมาก ! ”
หลินเจียอินมองค้อนเจียงเสี่ยวไป๋ เธอเกือบจะยื่นมือไปหยิกเอวเขาแรง ๆ สักทีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไปอาจระบายความหงุดหงิดในใจได้
วัน ๆ เอาแต่สอนเรื่องอะไรให้ลูกเนี่ย !