ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 110 :มักจะมีคนทนดูไม่ได้
ตอนที่ 110 :มักจะมีคนทนดูไม่ได้
“กลับกันเถอะ!”
เจียงเสี่ยวไป๋เรียกหลินเจียอินและเจียงชานกลับบ้าน
วันนี้พวกเขากลับเร็วหน่อย เพราะเขาต้องไปสั่งช่างไม้ถานทำโต๊ะและม้านั่ง
พวกเขากลับมาถึงเจียงวานตั้งแต่ยังไม่สี่โมงเย็น
“เสี่ยวไป๋ กลับมาแล้วหรือ นั่งก่อนสิ ! ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋แวะมาหา ช่างไม้ถานยิ้มแก้มปริ ทั้งต้มชาทั้งเอาบุหรี่ให้
เมื่อวานก่อน ถานเสี่ยวฟางนำเงิน 130 หยวนกลับมาโดยบอกว่าเป็นเงินเดือนและเงินพิเศษประจำเดือนเมษายน
ทำให้เขาตกใจจนแทบช็อค
นี่เพิ่งทำงานไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่กลับมีรายได้นับร้อยหยวน
เธอมีรายได้มากกว่าช่างไม้ชื่อดังอย่างเขามาก
ช่างไม้ถานทั้งตกใจทั้งดีใจ ตอนแรกเขากลัวว่าลูกสาวจะคิดไม่ดี โลภขโมยเงินในร้านของเจียงเสี่ยวไป๋มา ทำให้เขาตกใจรีบไปถามกับหลินเจียอิน ถึงแน่ใจว่าลูกสาวของเขาได้เงินเดือนกับเงินพิเศษมา 133.2 หยวนจริง ๆ
ตอนนี้ ช่างไม้ถานมองว่าเจียงเสี่ยวไป๋คือแขกคนสำคัญไปแล้ว เขานับถือและเลื่อมใสในตัวเจียงเสี่ยวไป๋มาก เหลือก็แต่เลือกไม้เนื้อดีสักแผ่นแล้วใช้ทักษะช่างไม้ของเขาสลักแผ่นป้ายบูชาสำหรับเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว
เขามาหา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร ?
เจียงเสี่ยวไป๋พูดคุยกับช่างไม้ถานไปสักพัก ก็พูดคุยเรื่องสั่งทำโต๊ะพับได้กับเก้าอี้ม้านั่ง
ช่างไม้ถานไม่เคยทำโต๊ะพับได้มาก่อน
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋พูดกับเขามาแบบนีั เขาจะต้องทำให้ได้
“เสี่ยวไป๋ ไม่ต้องกังวล คืนนี้ฉันจะทำให้ รับประกันเลยว่าชุดโต๊ะเก้าอี้เหล่านั้นจะมีน้ำหนักเบาและใช้งานได้จริงแน่นอน”
โดยทั่วไป โต๊ะพับได้ในยุคสมัยหลังจะเป็นแผ่นไม้ประกบกัน ด้านล่างเป็นขายึดอะลูมิเนียมอัลลอยด์ ด้านล่างเชื่อมต่อกับบานพับด้านหลัง ช่างไม้ถานฟังเจียงเสี่ยวไป๋อธิบายก็เข้าใจแล้ว
ในฐานะช่างไม้ ในบ้านของเขามีเก้าอี้ที่มีพนักพิงและกลไกที่ใช้บานพับ แต่เขามั่นใจว่าแม้จะไม่มีพนักพิงและแผ่นพับ เขาก็ยังสามารถพับโต๊ะได้โดยใช้โครงสร้างร่องและเดือยแบบดั้งเดิม
เพียงแต่ในอดีตไม่มีใครสั่งทำแบบนี้
ตอนนี้ในเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ต้องการ เขาจะต้องทำให้ได้
“งั้นคงต้องรบกวนลุงแล้ว ! ”
หลังจากพูกคุยกับช่างไม้ถานเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
ช่างไม้ถานไปส่งเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยรอยยิ้ม และยังโบกมือให้เขาด้วย “เสี่ยวไป๋ กลับดี ๆ ล่ะ รอเสี่ยวฟางกลับมาค่อยมากินข้าวที่บ้านฉันนะ”
ฉากนี้อยู่ในสายตาของหลิวซือกั๋วและจูเยี่ยนผิงพอดี
จูเยี่ยนผิงหน้าบึ้ง เธอพูดถากถางอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ดีแต่เลียแข้งเลียขาเจียงเสี่ยวไป๋ ! ”
หลิวซือกั๋วถอนหายใจออกมา
ตอนนี้เจียงเสี่ยวไป๋มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทุกวัน เขาซื้อรถมอเตอร์ไซค์ขี่ ทั้งกำลังสร้างบ้านใหม่ เขาเป็นที่นิยมในเจียงวานมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนในหมู่บ้านไม่ปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนโง่แล้ว และเมื่อพวกเขาเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ก็จะทักทายเขาด้วยรอยยิ้มเสมอ
ส่วนตัวเธอล่ะ ?
นับแต่วันที่ธุรกิจผัดมันฝรั่งปิดตัวลง ชีวิตความเป็นอยู่ของเธอก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ
หากเปรียบเทียบกันขึ้นมา อาจกล่าวได้ว่าคนหนึ่งอยู่บนฟ้า อีกคนอยู่ในเหว
“ลืมไปซะ อย่าไปยั่วยุเจียงเสี่ยวไป๋เลย” หลิวซือกั๋วพูดอย่างท่องแท้
“ฉันไปยั่วยุเขาตอนไหน ? ”
“ไม่ใช่เพราะคุณหรอกหรือที่ไปยั่วยุเขาก่อนน่ะ”
“ไม่อย่างนั้น……”
พูดถึงเรื่องยั่วยุเจียงเสี่ยวไป๋ จูเยี่ยนผิงจึงบ่นเขาไป
หลิวซือกั๋วขี้เกียจต่อปากต่อคำกับภรรยาตัวเองแล้ว จึงหลบเข้าห้องไป
เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาถึงบ้าน
“ป่าป๊า มีกุ้งเยอะแยะเลย ! ”
เจียงชานตะโกนอย่างตื่นเต้น
หลินเจียอินพูดขึ้นว่า “พ่อบอกแล้วว่าคืนนี้ให้คุณทำกุ้งอบน้ำมัน เดี๋ยวครอบครัวลุงใหญ่กลับอาสามจะมากินด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋หนังตากระตุกทันที
ครอบครัวของอาสามน่ะไม่เป็นอะไรหรอก เพราะอาสะใภ้สามเจี่ยงชุ่ยหยูและน้องเจียงเสี่ยวเฟิ่งต่างก็ทำงานที่ร้าน ไม่ได้กลับบ้าน ทำให้ที่บ้านของพวกเขาเหลือแต่ผู้ชาย 3 คนอย่างอาสามเจียงไห่โป และลูกพี่ลูกน้องของเขาเจียงเสี่ยวผิงและเจียงเสี่ยวอัน
ผู้ใหญ่ 1 คนและเด็ก 2 คนจึงไม่นับว่ามากอะไร
แต่ครอบครัวของลุงใหญ่ไม่เหมือนกัน เพราะลองนับดูแล้วถือว่ามีมากถึง 3 ครอบครัวใหญ่
เพราะนอกจากเจียงไห่เทียนและจ้าวเต๋อหรงที่เป็นผู้อาวุโสแล้ว ครอบครัวของเจียงเสี่ยวจี๋มีสมาชิก 5 คน ครอบครัวของเจียงเสี่ยวโจวมีสมาชิก 4 คน รวมแล้วครอบครัวใหญ่ของพวกเขามีสมาชิกมากถึง 11 คนด้วยกัน
ไหนจะครอบครัวของพ่อกับแม่ที่มีสมาชิก 6 คนและครอบครัวของเขาที่มีสมาชิก 3 คน
แม่เจ้า เท่ากับว่ารวมกันแล้วมีมากถึง 23 คนเลยทีเดียว
งั้นแบบนี้เขาต้องใช้กุ้งมากขนาดไหน
เขาดูอ่างไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ในลาน ดูเหมือนว่ากุ้งเครย์ฟิชที่อยู่ด้านในนั้นจะมีน้อยกว่าเมื่อเช้าประมาณครึ่งนึง คาดว่าหากไม่ถึง 60 ชั่งก็น่าจะมีประมาณ 50 กว่าชั่ง
เขาคาดการณ์ว่าเมื่อวานพ่อของเขาคงยังกินไม่หนำใจ ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจจับมาเยอะหน่อย
แต่มันมากเกินไปหน่อยไหม
“ชานชาน ไปเรียกอาสามของลูกมาทำกุ้งเครฟิชย์ที”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นจำนวนกุ้งที่มากมายขนาดนี้ก็ขนลุก ถ้าหากเขาทำคนเดียวคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไป
เรียกคนอื่นมาช่วยคงไม่ดี แต่ถ้าเรียกเจียงเสี่ยวเฟิงมาช่วยน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
“หนูจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ ! ”
เมื่อหนูน้อยได้ยินคำของผู้เป็นพ่อ เธอก็รีบวิ่งกระโดดโลดเต้นไปที่บ้านของคุณปู่อย่างดีใจ
“งั้นเดี๋ยวฉันช่วยคุณทำกุ้งแล้วกัน”
หลินเจียอินพูด
เจียงเสี่ยวไป๋รีบโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่ต้องหรอก กุ้งเครย์ฟิชเป็นกุ้งที่ทำยากที่สุดแล้ว หากไม่ระวังอาจถูกก้ามของมันหนีบมือเอาได้”
เขาต้องไม่ยอมแน่ถ้าหากมือของภรรยารักถูกกุ้งเครย์ฟิชหนีบเข้า
อืม ถ้าจะต้องหนีบภรรยา ให้เขาเป็นคนหนีบเองดีกว่า
เพราะมือใหญ่ทั้งสองมือของเขานี้ย่อมอ่อนโยนกว่าก้ามใหญ่ ๆ ของกุ้งเครย์ฟิชตั้งเยอะ
ในเมื่อกินกุ้งเครย์ฟิช งั้นก็ต้องดื่มเบียร์ด้วย
เขาถือโอกาสตอนที่เจียงเสี่ยวเฟิงยังมาไม่ถึง เจียงเสี่ยวไป๋ได้นำเบียร์ 12 ขวดไปแช่ลงในบ่อน้ำเย็น ๆ
และในตอนที่เขากลับมา เจียงเสี่ยวเฟิงก็มาถึงพอดี
พวกเขาไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ต่างคนต่างใช้กรรไกรและแปรงขัดคนละอันเพื่อทำกุ้ง
สองพี่น้องทำกุ้งไปด้วยพูดคุยกันไปด้วย
เจียงเสี่ยวเฟิงจึงพูดว่า “เมื่อคิดได้ว่ากุ้งที่จับมาเมื่อวานมีไม่เยอะมาก ผมเลยปรึกษากับลุงใหญ่แล้ว
เบื้องต้นเราจะให้พี่เสี่ยวจี๋ ลุงใหญ่ ฮาสาม พ่อกับผมไปจับกันก่อน คืนเดียวก็น่าจะจับได้หลายร้อยชั่งแล้ว
เรายังไม่ได้บอกคนอื่น รอให้พี่อยากใช้ปริมาณมากก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ได้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
ถึงแม้ว่าเขามีความตั้งใจอยากให้คนในหมู่บ้านมีรายได้ แต่เขาต้องเอื้อต่อคนในครอบครัวเขาก่อน
ท้ายที่สุดแล้ว ความใกล้ชิดและความห่างเหินมีความแตกต่างกัน นี่คือธรรมชาติของมนุษย์
เจียงเสี่ยวเฟิงถามอีกครั้งว่าจำนวนกุ้งเครย์ฟิชที่เขานำมาในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง และเขาก็โล่งใจเมื่อรู้ว่ากุ้งเครย์ฟิชขายหมดแล้ว
ทั้งสองคนยุ่งอยู่พักหนึ่ง พวกเขาใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการฆ่าและทำความสะอาดกุ้งเครย์ฟิชหม้อใหญ่
หลังจากฆ่ากุ้งแล้ว เจียงเสี่ยวเฟิงก็ไม่ได้ช่วยอะไรต่อ
เรื่องทำอาหารเป็นสิ่งที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย
ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋เข้าครัวไปทำอาหารต่อ
เขาทำกุ้งนึ่ง 1 ถาด กุ้งทอดกระเทียม 2 ถาด และที่เหลือนำมาทำกุ้งอบน้ำมันทั้งหมด
ที่ลานบ้านของเขาในตอนนี้ โต๊ะใหญ่ 3 ตัวได้ถูกจัดวางเอาไว้ใกล้กัน สมาชิกครอบครัวกว่า 20 คนมากินกุ้ง ดื่มเบียร์ สูบบุหรี่และพูดคุยเรื่องราวในชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข
คราวนี้ทุกคนสามารถกินได้อย่างเต็มที่แล้ว
ครอบครัวใหญ่ของพวกเขากินกันอิ่มท้องทุกคนโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นเด็กหรือคนแก่
ในบรรดาเมนูกุ้งทั้ง 3 อย่างนี้ ดูเหมือนว่ากุ้งอบน้ำมันจะเป็นที่นิยมมากที่สุด
แต่กุ้งทอดกระเทียมก็ถือว่าได้รับความนิยมเช่นกัน
อย่างน้อยเจียงเสี่ยวไป๋ก็เห็นว่าหลินเจียอินดูจะชอบมันมาก
ครอบครัวใหญ่ของพวกเขากินอย่างมีความสุข แต่ที่ทุกข์ถนัดเห็นจะเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง
กลิ่นกุ้งอบน้ำมันโชยมาแต่ไกล บ้านของหูฉางจวิน หูฉางปิน เจียงไห่กุ้ย และบ้านของเจียงเสี่ยวหลี่ที่อยู่ติดกันดูเหมือนจะถูกกลิ่นหอมนี้ทำร้ายจิตใจเข้าแล้ว
ตอนกลางวัน พวกเขาเห็นพวกเจียงเสี่ยวเฟิงลงนาไปจับเจ้าศัตรูพืชทำลายกล้าข้าว หลังจับได้แล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ฆ่าพวกมันและจับโยนทิ้งเท่านั้น แต่กลับเอาพวกมันใส่ถังไม้ใบใหญ่กลับบ้านไปเต็มถังด้วย ราวกับพวกมันคือของล้ำค่า ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
กระทั่งเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ยกเมนูอาหารที่ทำจากเจ้าศัตรูพืชพวกนั้นออกมาในตอนเย็น พวกเขาจึงตระหนักได้ว่ากลิ่นหอมเข้มข้นนั้นแท้จริงแล้วมาจากแมลงที่เป็นศัตรูพืชในนาข้าวของพวกเขานี่เอง
ประกอบกับความจริงที่ว่าตอนที่ครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋พูดคุยและหัวเราะกัน พวกเขาเอาแต่พูดถึง ‘กุ้งเครย์ฟิช กุ้งเครย์ฟิช’ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ได้ว่าแมลงตัวใหญ่นี้มีชื่อที่ดีเช่นนี้เอง มันถูกเรียกว่ากุ้งเครย์ฟิช
“กุ้งเครย์ฟิช เมื่อก่อนไม่มีใครยอมกินมัน แต่พอเจียงเสี่ยวไป๋ทำเป็นอาหารแล้วหอมได้ขนาดนี้เลยหรือ ? ”
“มีเมนูอะไรบ้างที่เขาทำไม่อร่อยน่ะ ? ”
“ปลูกบ้านอยู่ใกล้บ้านเขาช่างเป็นความซวยของเราจริง ๆ เพราะอาหารที่เขาทำในแต่ละวันช่างหอมเหลือเกิน”
“เมื่อวานเย็นฉันก็ได้กลิ่นหอมนี้เหมือนกัน ถึงขั้นเก็บเอาไปฝันเลยนะ คิดแล้วก็น้ำลายไหลเลย”
“แต่เมื่อวานยังดีหน่อยที่กลิ่นหอมนั้นไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่นัก ทว่าวันนี้พวกเขากินกันหลายคนขนาดนั้น ยิ่งทำให้ท้องของฉันร้องโครกเข้าไปใหญ่”
“พ่อคะ หนูอยากกินกุ้งจังเลย”
“แม่ หนูก็อยากกินเหมือนกัน”
“พ่อ หนูอยากไปเล่นบ้านเจียงชาน”
“แม่……”
“……”