ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 112 :ดูสิ มันเริ่มดึกแล้ว
ตอนที่ 112 :ดูสิ มันเริ่มดึกแล้ว
วันนี้กุ้งเครย์ฟิชที่นำมาขายน่าจะทำได้ประมาณ 160-170 ชุด
เจียงเสี่ยวไป๋ทำคราวละ 3 กระทะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงสามารถทำออกมาได้ 40 ชุด
กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงห้าโมงเย็นกว่า ๆ หลินเจียอินเก็บเงินลูกค้าจนถึงคิวที่ 160 ก็ไม่กล้าเก็บอีก เพราะเป็นกังวลว่าจะไม่เหลือกุ้งแล้ว
และในเวลานี้ ลูกค้าที่กินกุ้งอบน้ำมันทั้งในร้านและนอกร้านเพิ่งถึงคิวที่ 90 ลูกค้าที่ได้คิวหลัง ๆ รอนานเกินไปและหลายคนเริ่มบ่นแล้ว
เรื่องนี้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ปวดหัวไม่น้อย
ใครบ้างที่รอนานหลายชั่วโมงแต่ยังไม่ได้กินของที่ตัวเองสั่งแล้วจะไม่รู้สึกหงุดหงิด ?
นอกจากนี้ โต๊ะในร้านยังเต็มไปด้วยลูกค้าที่กินกุ้งอบน้ำมัน ทำให้ลูกค้าที่เคยชอบกินผัดมันฝรั่งและฟักตุ๋นไม่มีที่นั่ง พวกเขาจึงเริ่มบ่นเช่นกัน
เพื่อเอาใจลูกค้า เจียงเสี่ยวไป๋จึงออกไม้ตายเด็ดอีกอย่างหนึ่ง
หากลูกค้าซื้อกลับบ้านโดยใช้ภาชนะของที่บ้านมาใส่ เขาจะแถมบัตรส่วนลดมูลค่า 1 หยวนและเบียร์ซานเฉิงให้อีก 1 ขวด
กินกุ้งเครย์ฟิชคู่กับเบียร์ช่างเหมาะมาก
นี่คือคำโฆษณาที่เจียงเสี่ยวไป๋ตะโกนบอกลูกค้า
ลูกค้าหลายคนที่รออย่างใจจดใจจ่อได้ยินว่ามีโปรโมชั่นดีขนาดนี้ หลายคนรีบกลับบ้านเพื่อนำถาดอาหารมาใส่กุ้งอบน้ำมันไปกินที่บ้าน
แค่วิ่งกลับบ้านไม่เท่าไรก็ได้บัตรส่วนลดมูลค่า 1 หยวน ทั้งยังได้เบียร์ซานเฉิงมูลค่าขวดละ 6 เหมาเป็นของแถม นั่นเท่ากับว่าพวกเขาจะได้ผลประโยชน์มากถึง 1.6 หยวนเชียวนะ
หลายคนจึงยอม
ด้วยวิธีนี้ จำนวนลูกค้าที่รอจึงลดลงไปครึ่งหนึ่ง และความกดดันต่อหวังผิงและเจียงเสี่ยวเฟิ่งก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน
หลังจากทรมานกับความเหนื่อยกระทั่งช่วงทุ่มกว่า ในที่สุดลูกค้าที่มาซื้อกุ้งอบน้ำมันก็ไปหมดแล้ว
“เมียจ๋า วันนี้ลำบากคุณแล้ว”
เขาไม่สนว่าตนเองจะเหนื่อยมากแค่ไหน เจียงเสี่ยวไป๋ถามไถ่หลินเจียอินก่อนเป็นคนแรก
หลินเจียอินเหนื่อยมากจริง ๆ แต่เธอกลับมีความสุขมากกว่า
กุ้งอบน้ำมันจำนวน 165 ชุด ขายในราคาชุดละ 5 หยวน แค่เมนูนี้เมนูเดียวก็สามารถทำเงินได้มากถึง 825 หยวนแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะมอบบัตรส่วนลดและเบียร์ให้ลูกค้าไปบางส่วน แต่ก็ไม่ถือว่าขาดทุน
เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็รับซื้อกุ้งเครย์ฟิชที่ราคาชั่งละ 3 เหมาเท่านั้น
“ฉันไม่เหนื่อยหรอก คุณต่างหากที่เหนื่อย ! ”
หลินเจียอินพูดยิ้ม ๆ ดวงตาคู่งามที่มองเจียงเสี่ยวไป๋มีแสงส่องประกาย
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก คำพูดนี้ของภรรยาเป็นเสมือนสายลมที่พัดพาความเหนื่อยล้าไปจากร่างกายของเขา
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
วันนี้พวกเขากลับช้าไปหน่อย ปกติในเวลานี้ครอบครัวจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านแล้ว
“ทำไมวันนี้ถึงกลับช้านักล่ะ ? ”
“เป็นเพราะกุ้งเครย์ฟิชขายไม่หมดหรือเปล่า ? ”
เพิ่งเดินมาถึงลานบ้าน เจียงเสี่ยวเฟิงที่มารออยู่นานแล้วถามด้วยความกังวล
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหน้า ดูเหมือน ว่าน้องสามของเขาจะเป็นกังวลไม่น้อย เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจได้ ขายหมดแล้ว”
“แบบนั้นก็ดี ! ”
เจียงเสี่ยวเฟิงพูดจบก็ยิ้ม
“เสี่ยวเฟิง นี่คือเงินค่ากุ้งเครย์ฟิช”
หลินเจียอินนำเงิน 127.5 หยวนยื่นให้เจียงเสี่ยวเฟิง
กุ้งเครย์ฟิชเมื่อเช้านี้มีน้ำหนัก 425 ชั่ง คิดราคาชั่งละ 3 เหมา รวมทั้งหมดเป็นเงิน 127.5 หยวนพอดี
เจียงเสี่ยวเฟิงไม่ปฏิเสธและรับเงินไปด้วยรอยยิ้ม
เพราะเงินนี้ไม่ใช่แค่ของเขาคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีส่วนของลุงใหญ่เจียงไห่เทียน อาสามเจียงไห่โป ลูกพี่ลูกน้องเจียงเสี่ยวจี๋และพ่อของเขาเจียงไห่หยาง
พวกเขาห้าคนแบ่งเงินกันได้คนละ 25.5 หยวน
รายได้วันเดียวของพวกเขาเทียบเท่าได้กับเงินเดือนทั้งเดือนของพนักงานในเมืองเลย
จับเจ้าศัตรูพืชตัวร้ายขายได้รายได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ ?
เจียงเสี่ยวเฟิงตื่นเต้นมาก
“เสี่ยวเฟิง เอาเงินพวกนี้ไป หลังจากนี้เวลาชั่งกุ้งเครย์ฟิชแล้วก็ให้นำเงินส่วนนี้จ่ายเป็นค่ากุ้ง” หลินเจียอินพูดแล้วยื่นธนบัตรสิบหยวนให้เจียงเสี่ยวเฟิง 20 ใบและเงินย่อยอีก 100 หยวน
ถือเป็นเงินทุนในการรับซื้อกุ้งเครย์ฟิช
เจียงเสี่ยวเฟิงพยักหน้าและรับเงินมา “เดี๋ยวผมเอาเงินไปจ่ายให้พวกลุงใหญ่ก่อน คืนนี้จะได้ไปจับกุ้งเครย์ฟิชต่อ”
พูดจบ เขาก็วิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
เพราะเขารีบไปแบ่งเงินให้คนอื่นต่อ
จากงานยุ่งตลอดทั้งวันและไม่ได้กินข้าวตอนบ่าย เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าที่บ้านไม่มีวัตถุดิบอะไรมากมาย หากต้องกินกุ้งเครย์ฟิชอีกเป็นวันที่สามคงไม่ไหวแน่ เขาจึงหุงข้าวทำข้าวผัดไข่ และซุปหัวหอมหนึ่งถ้วย ทั้งครอบครัวกินอาหารกันอย่างเรียบง่าย
“ว้าว ข้าวผัดไข่ฝีมือป่าป๊าอร่อยมากเลย”
เจ้าตัวน้อยคีบเมล็ดข้าวที่ถูกผัดเป็นสีเหลืองทองขึ้นมาแล้วพูดอย่างมีความสุข
ตอนนี้หนูน้อยมองว่าป่าป๊าของเธอเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลก ขนาดตอนกินข้าวยังนั่งอยู่ข้างป่าป๊าไม่ยอมห่าง
หลินเจียอินเองก็กินข้าวผัดอย่างเอร็ดอร่อยเช่นเดียวกัน
“เสี่ยวไป๋ ทำไมวันนี้ถึงกลับมามืดนักล่ะ ? ”
ในขณะที่กำลังกินอยู่นั้น หูฉางจวินที่อยู่บ้านข้างกันก็เดินเข้ามาพร้อมกับถังไม้ในมือ 1 ใบ
เจียงเสี่ยวไป๋วางชามลงแล้วลุกขึ้นยืน “ฉางจวินเองหรือ มีอะไรหรือเปล่า ? ”
ขณะที่พูด เขาก็หยิบเอาบุหรี่ออกมายื่นให้ 1 มวน
หูฉางจวินรับอย่างเคอะเขินแล้วพูดว่า “นายทำกุ้งเครย์ฟิชอะไรนั่นอย่างไรหรือ ? ฉันจินตนาการเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่ามันต้องเป็นรสชาติแบบไหน หย่งหว๋าเอาแต่โวยวายว่าอยากกิน ฉันเองก็ไม่รู้วิธีทำจึงต้องมาถาม”
ที่แท้นับตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงต่างก็รู้แล้วว่าศัตรูพืชทำลายนาข้าวพวกนั้นมีชื่อว่ากุ้งเครย์ฟิช และพวกเขาก็ได้กลิ่นหอมจากเมนูกุ้งอบน้ำมันที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำ ทำให้หลายครอบครัวเกิดความอยากกิน ลูกเด็กเล็กแดงต่างโวยวายอาละวาดเพราะอยากกินกุ้งเครย์ฟิชเช่นกัน
ดังนั้นพวกหูฉางจวินจึงจับกุ้งเครย์ฟิชกลับมาทำอาหารกินที่บ้านบ้าง แต่เมนูกุ้งเครย์ฟิชที่พวกเขาทำออกมาไม่เพียงแต่ไม่อร่อยเท่านั้น แต่ยังรสชาติแย่จนต้องร้องขอชีวิตอีกด้วย
เด็ก ๆ โวยวายจะกินให้ได้ หูฉางเจวินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำหน้าด้านและมาขอคำแนะนำจากเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ฉางจวิน ไม่ใช่ว่าฉันสอนนายไม่ได้ แต่การจะทำให้กุ้งเครย์ฟิชอร่อยจะต้องใช้เครื่องเทศกว่า 30 ชนิดในอัตราส่วนที่เหมาะสม และเวลาฆ่ากุ้งก็ต้องทำอย่างถูกวิธีเช่นเดียวกัน เวลาทำต้องใส่น้ำมันเยอะมาก ไหนจะหัวหอม ขิง กระเทียม พริกไทย ไวน์ขาว เบียร์ และอื่น ๆ สรุปแล้วต่อให้ฉันบอกนายไป นายก็ไม่สามารถทำได้หากไม่มีวัตถุดิบพวกนั้น”
หูฉางจวินตกตะลึง
ไม่แปลกใจเลยที่กุ้งเครย์ฟิชของเจียงเสี่ยวไป๋มีกลิ่นหอมมาก เพราะวิธีทำซับซ้อนมาก ไม่เหมือนกับที่เขาทำเองเลย เขาใส่แค่น้ำมัน พริก ขิง และกระเทียมลงไปผัด หลังจากเติมน้ำแล้วก็ตุ๋นต่ออีกนิดเป็นอันเสร็จ
“งั้นนายช่วยฉันทำสักกระทะได้ไหม ? ”
หูฉางจวินพูดพลางหัวเราะกลบเกลื่อนไปด้วย เขายกถังไม้ในมือขึ้นมา “ดูสิ ฉันเอากุ้งมาแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ถึงกับกุมขมับ
“ฉางจวิน มันต้องแช่กุ้งเครย์ฟิชในน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนฆ่า ไหนจะต้องฆ่ากุ้งอีก รวม ๆ แล้วจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมงในการทำ ดูสิ นี่มันก็เริ่มดึกแล้ว…”
“ไม่เป็นไร ฉันรอได้ ! ”
ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น เขาก็วางถังไม้ลงแล้วพูดว่า “หม้อใบใหญ่ของนายอยู่ที่ไหน ฉันจะใช้มันแช่กุ้ง”
คราวนี้ถึงตาที่เจียงเสี่ยวไป๋ต้องตกตะลึงบ้างแล้ว
เขามองหูฉางจวินด้วยสายตาเหลือเชื่อ นี่ทักษะความเข้าใจของนายมันผิดเพี้ยนได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ?
แต่หูฉางจวินคือเพื่อนบ้าน เขาจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้
“ตกลง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างหมดคำจะพูด “หม้อใบใหญ่อยู่ในครัว นายเอาน้ำใส่แช่กุ้งเครย์ฟิชเองเลย ฉันขอกินข้าวก่อน”
“กินตามสบายเลย ! ”
หูฉางจวินพูดอย่างไม่ถือสาเลยสักนิด
แถมเขายังสูดจมูกฟุดฟิด เฮ้อ เจียงเสี่ยวไป๋ทำอะไรก็หอมไปหมดเลย ขนาดแค่ข้าวผัดไข่ยังหอมขนาดนี้
เจียงเสี่ยวไป๋กินเสร็จแล้ว จึงมาดูกุ้งเครย์ฟิชของหูฉางจวินที่แช่อยู่ในหม้อพลางพูดว่า “กุ้งของนายน่าจะมีอย่างน้อย 6-7 ชั่ง ถ้านายจะทำกุ้งอบน้ำมันจะต้องใช้น้ำมันพืชประมาณ 1 ชั่ง ที่บ้านของฉันมีน้ำมันไม่พอ นายไปเอามาเองแล้วกัน”
เขาพูดความจริง เพราะที่บ้านของเขาทำกุ้งอบน้ำมันมาสองวันติดแล้ว น้ำมันที่เขามีมันไม่พอจริง ๆ
หูฉางจวินได้ยินดังนั้นกลับตกตะลึงอ้าปากค้าง เวลาที่บ้านของเขาทำอาหารจะใส่น้ำมันลงไปไม่กี่หยดเท่านั้น ปกติน้ำมัน 1 ชั่งสามารถเก็บไว้กินได้นาน 2-3 เดือน คิดไม่ถึงเลยว่าการทำกุ้งอบน้ำมันแค่หม้อเดียวจะต้องใช้น้ำมันมากถึง 1 ชั่ง
แล้วแบบนี้จะไปกินไหวได้อย่างไร ?