ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 116 :ความคิดใหม่ ใจตรงกัน
ตอนที่ 116 :ความคิดใหม่ ใจตรงกัน
ตอนเช้าที่เข้าเมือง เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ขนกุ้งเครย์ฟิชเข้าไปด้วย
เมื่อวานนี้ หลินเจียอินได้พนักงานมาเพิ่ม
นอกจากหลี่หงอิงแล้ว ยังมีถานชิงซาน เจียงเสียวหย่งและหูฉางอิง
หลี่หงอิงคือภรรยาของเจียงเสี่ยวโจว ถือเป็นภรรยาของลูกพี่ลูกน้องที่เขาค่อนข้างสนิท เธอจึงนั่งรถเข้าเมืองไปกับเขา ส่วนอีกสามคนที่เหลือเดินเข้าเมืองด้วยตนเอง
มาถึงร้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยื่นกุญแจรถให้หวังผิง ให้เขาไปขนกุ้งมา ส่วนตัวเขาทำพะโล้อยู่ที่หลังร้าน
ผ่านไปไม่นาน เซี่ยงเฉียนจิ้นนั่งมากับรถบรรทุกของโรงงานเพื่อนำชามกระดาษล็อตใหญ่มาส่งเจียงเสี่ยวไป๋
“น้องชาย นี่ฉันเอามาส่งให้เองเลยนะ ว่าแต่กุ้งอบน้ำมันที่ว่าล่ะ ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นให้คนขนของลงจากรถบรรทุก ส่วนเขาเดินไปที่ครัวหลังร้านเพื่อไปหาเจียงเสี่ยวไป๋
“ผมเริ่มทำกุ้งอบน้ำมันตอนเที่ยง ตอนนี้ยังเช้าอยู่ จะมีได้อย่างไรกันเล่า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจนใจ
“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ ! ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นผิดหวังมาก “ฉันนึกว่ามาแล้วจะได้กินเลยเสียอีกนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นคุณรอผมอยู่ตรงนี้ได้ไหมล่ะ เดี๋ยวผมทำกุ้งอบน้ำมันกระทะแรกแล้วจะให้คุณก่อนเลย”
เซี่ยงเฉียนจิ้นโบกมือปัด “ที่โรงงานยังมีงานรอต่อคิวอีกเป็นกอง ฉันรอไม่ไหวหรอก เอางี้แล้วกัน ตอนน้องเจียงออกไปส่งพะโล้ให้หน่วยงานค่อยแวะเอาไปให้ฉันสักชามแล้วกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดดูแล้ว วันนี้เขารับพนักงานเพิ่มมาอีก 4 คน สามารถทำกุ้งอบน้ำมันล่วงหน้าได้ ส่วนออเดอร์สั่งพะโล้ของสำนักพิมพ์ไว้ค่อยไปส่งเป็นอันดับท้ายสุด จะได้ทันเอากุ้งอบน้ำมันไปด้วย ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง
เซี่ยงเฉียนจิ้นดีใจมาก เขาขอบคุณแล้วจึงรีบกลับไปที่โรงพิมพ์
ทางด้านหวังผิง เขาวิ่งรถตั้งแต่ 6 โมงครึ่งไปจนถึง 10 โมงครึ่ง วันนี้เขาไม่เพียงแต่ขนกุ้งเครย์ฟิชทั้งหมดเข้าเมืองเท่านั้น แต่เขายังไปขนชุดโต๊ะพับและเก้าอี้มานั่งที่บ้านของช่างไม้ถานมาอีก 3 ชุดด้วย
เมื่อกลับมาถึงร้าน เขาก็เริ่มวิ่งรถไปส่งพะโล้ตามออเดอร์ของหน่วยงาน ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋ได้เริ่มทำกุ้งอบน้ำมัน
วันนี้กุ้งอบน้ำมันของพวกเขาพร้อมขายที่เวลา 11 โมงพอดี
ขณะนี้ในร้านมีโต๊ะทั้งหมด 12 โต๊ะ ด้านนอกร้านมีโต๊ะพับ 8 โต๊ะ รวมทั้งหมดมี 20 โต๊ะ นอกจากนี้ยังมีลูกค้าจำนวนมากที่มาทานคนเดียว ซึ่งพวกเขาสามารถร่วมโต๊ะกับลูกค้าท่านอื่นได้ ฉะนั้นปัญหาลูกค้าไม่มีโต๊ะกินกุ้งอบน้ำมันจึงบรรเทาลง
นอกจากนี้ หลินเจียอินยังเชิญชวนให้ลูกค้าห่อกลับบ้านโดยใส่กล่องแบบมีฝาปิดของทางร้าน
นอกจากนี้ยังจัดโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ห่อกลับบ้านโดยการแถมผัดมันฝรั่งให้อีกหนึ่งถ้วย อีกทั้งเธอยังได้แบ่งการสั่งซื้อออกเป็นสองช่องทาง โดยให้ลูกค้าที่ซื้อกินในร้านและลูกค้าที่ซื้อกลับบ้านต่อแถวคนละแถว
ตอนนี้เจียงเสี่ยวไป๋ทำกุ้งอบน้ำมันได้กระทะละ 5 ชุด หากต่อแถวกินที่ร้าน คนที่อยู่คิวที่ 6 จะต้องรอกระทะต่อไป
แต่ถ้าหากต่อแถวซื้อกลับบ้านได้คิวที่ 1 ลูกค้าก็จะได้กุ้งอบน้ำมันชุดที่ 2 ของทางร้านไป และคิวที่ 5 ในแถวซื้อกินที่ร้านก็จะต้องรอกระทะต่อไป
สิ่งนี้จะน่าดึงดูดยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าที่วางแผนจะซื้อกินในร้าน แต่คิวของตัวเองอยู่อันดับรั้งท้าย
นอกจากนี้ที่ร้านยังมีกล่องแบบมีฝาปิดให้ ลูกค้าไม่ต้องนำภาชนะจากที่บ้านมาใส่แล้ว ดังนั้นลูุกค้าจำนวนมากจึงยินดีที่จะซื้อแบบห่อกลับบ้าน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ นับว่าธุรกิจกุ้งอบน้ำมันมาถูกทางแล้ว
“พี่ชิงซาน พี่ช่วยเอาออเดอร์ของสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันไปส่งให้หน่อย”
หวังผิงยังไม่กลับมาจากส่งออเดอร์หน่วยงานอื่น เมื่อเห็นว่านี่ก็เป็นเวลา 11 โมงกว่าแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงให้ถานชิงซานนำไปส่งให้ ทั้งยังกำชับเขาเป็นพิเศษว่าให้ไปส่งกุ้งอบน้ำมันให้เซี่ยงเฉียนจิ้นก่อน
“วางใจได้ เดี๋ยวฉันจะรีบนำไปส่งให้โดยเร็วที่สุด”
ถานชิงซานถามที่อยู่แล้ว ก็นำพะโลชามใหญ่หลายชามและกุ้งอบน้ำมันไปส่ง
สำนักพิมพ์ชิงโจวอยู่ไม่ไกลจากร้าน ถานชิงซานเดินเท้าไปใช้เวลาแค่ 10 กว่านาทีเท่านั้น ไม่นานเขาก็หาเซี่ยงเฉียนจิ้นเจอ
“ผู้จัดการเซี่ยง เสี่ยวไป๋ให้ผมนำกุ้งอบน้ำมันมาให้คุณ 1 ชุด”
พะโล้และกุ้งอบน้ำมันของวันนี้ถูกบรรจุใส่ชามกระดาษใบใหญ่แบบใช้แล้วทิ้งที่เพิ่งสั่งทำล็อตใหม่ไป
เซี่ยงเฉียนจิ้นรับมา เขายังไม่ทันเปิดฝาก็ได้กลิ่นหอมอร่อยลอยโชยมาแตะจมูกแล้ว
“ใช้ได้เลย หอมมาก ! ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นอุทานด้วยความประหลาดใจ เขาแทบรอไม่ไหวที่จะเปิดฝาชาม เพราะเวลานี้กลิ่นหอมเข้มข้นของกุ้งอบน้ำมันดูเหมือนจะซึมลึกเข้าไปในจมูกของเขาแล้ว
เซี่ยงเฉียนจิ้นเกือบจะคว้ามันออกมากินสักตัวในตอนนี้เลย
แต่แล้วเขาก็ปิดฝาลง ผ่อนลมหายใจยาว ๆ และระงับความอยากในใจได้ในที่สุด เขาขอให้ถานชิงซานไปส่งพะโล้ที่โรงอาหารก่อน
“ของดีแบบนี้ เราต้องเอาไปแบ่งให้ท่านประธานกินด้วย ! ”
ถานชิงซานกลับไปแล้ว เซี่ยงเฉียนจิ้นเห็นว่าใกล้เวลากินอาหารเที่ยงแล้ว เขากลืนน้ำลายไปสองอึกแล้วถือชามกุ้งอบน้ำมันเหมือนมันคือสมบัติล้ำค่า พลางเดินปรี่ไปที่ห้องทำงานของฟู่เต๋อเจิง
ดังนั้นมื้อนี้จึงทำให้พวกเขาไม่ต้องไปกินที่โรงอาหารของสำนักพิมพ์
เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน จำนวนลูกค้าที่มาร้านอร่อยสามมื้อเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ลูกค้าประจำบางคนกินกุ้งอบน้ำมันเป็นอาหารกลางวัน
เพราะถึงอย่างไรชุดเดียวก็อิ่มได้เช่นกัน
อีกอย่าง ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาคนเดียว
พวกเขามักจะชวนเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนฝูงมาไม่ 2-3 คนก็ 3-5 คน พวกเขาสั่งกุ้งอบน้ำมันสัก 1-2 ชุด สั่งเมนูพะโล้มาสักหน่อยแล้วสั่งผัดมันฝรั่งอีกคนละชาม เพียงเท่านี้พวกเขาก็เหมือนได้กินของอร่อยมื้อใหญ่แล้ว
“พี่จาง อาหารที่ร้านนี้อร่อยมาก คุณหาร้านอร่อยแบบนี้เจอได้อย่างไร ? ”
“เมื่อก่อนตอนที่ฉันมาซื้อพะโล้ ฉันได้กลิ่นหอมของกุ้งอบน้ำมันก็เลยสั่งมากิน 1 ชุด พอได้กินมัน ฉันก็ตกหลุมรักเมนูนี้ทันที”
“อร่อยอย่าบอกใครเชียว ฉันก็ชอบมันเข้าแล้วสิ”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็นัดกันมากินอาหารที่นี่บ่อย ๆ แล้วกันนะ”
“ได้”
“ฉันคิดว่ากินกุ้งอบน้ำมันที่นี่คุ้มค่ากว่าไปกินที่ร้านอาหารของรัฐเสียอีก”
“ใช่ พวกเราหารกันแล้วก็ไม่แพงเลย”
“……”
หลินเจียอินกำลังเดินดูในร้าน และบางครั้งเธอก็ได้ยินลูกค้าพูดคุยกันระหว่างทานอาหาร
ในความคิดของเธอ ตอนนี้ร้านอร่อยสามมื้อไม่เหมือนกับร้านธรรมดาแล้ว แต่มันเหมือนร้านอาหารมากกว่า
“หรือว่าจะปรึกษากับเขาเพื่อเปิดร้านอาหารที่ขายเมนูกุ้งเครย์ฟิชโดยเฉพาะดี ? ”
หลินเจียอินวางแพลนในใจ
แต่พอคิดได้ว่าการจะเปิดร้านอาหารก็ต้องหาเช่าอาคารและปรับปรุงเพื่อทำร้านใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินมหาศาลแน่นอน
และตอนนี้ครอบครัวของเธอกำลังสร้างบ้านหลังใหม่ที่เจียงวาน ทั้งงานยุ่ง ทั้งกำลังใช้เงินเยอะ ฉะนั้นเธอจึงต้องพับโครงการนี้ไปก่อน
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ เจียงเสี่ยวไป๋ก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
เมื่อถานชิงซานกลับมาถึงร้านแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงเรียกให้เขามาที่หลังร้าน ขณะที่กำลังทำกุ้งอบน้ำมัน เขาก็พูดกับถานชิงซานว่า “พี่ชิงซาน พี่ช่วยไปถามเจ้าของบ้านหลังข้าง ๆ ให้ฉันทีว่าเขาพอจะปล่อยบ้านให้เช่าไหม”
“อืม ! ”
ถานชิงซานคิดไตร่ตรองเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเดินไปหาหวังผิงเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเจ้าของบ้านหลังข้าง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าอย่างพอใจ
สาเหตุที่เขาให้ถานชิงซานไปจัดการเรื่องเช่าบ้านทำร้านแทนที่จะให้หวังผิงเป็นคนทำ เพราะเขาเห็นความสำคัญของความมีไหวพริบและความรอบคอบของถานชิงซาน ไม่เหมือนกับหวังผิงที่แม้จะมีความดื้อรั้นสูง แต่กลับประเมินสถานการณ์ไม่เก่ง ไม่มีไหวพริบเพียงพอ
เมืองในช่วงต้นทศวรรษ 1980 แตกต่างจากเมืองสมัยใหม่ของคนรุ่นหลัง
ในเวลานี้ เนื่องจากมีคนทำธุรกิจไม่มากนัก บ้านทั้งสองฝั่งของถนนจึงไม่ใช่ร้านค้าทั้งหมด แต่เป็นที่อยู่อาศัยมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่นบ้านของพี่หวังที่อยู่ด้านข้าง
ชื่อเต็ม ๆ ของเขาก็คือหวังเหว่ยเกา
บรรพบุรุษของเขาตั้งรกรากอยู่ในเมืองชิวโจวตั้งแต่ก่อนที่จะมีการขยายถนนตัดผ่านเมืองเสียอีก แต่เดิมบ้านของเขาไม่ได้ติดถนน แต่พอบ้านหลังที่อยู่ด้านหน้าทรุดโทรมกระทั่งพังลงมาจึงมีการสร้างถนนแทนที่บริเวณบ้านหลังนั้น ทำให้บ้านของเขาติดถนนไปโดยปริยาย
หวังเหว่ยเกาอายุประมาณสามสิบต้น ๆ เขาเป็นพนักงานทั่วไปในโรงงานชิงโจวเคมีภัณฑ์ ภรรยาของเขามีชื่อว่าจางซิ่วลี่ เธออาศัยอยู่ที่ย่านปาเจียวถิง ก่อนแต่งงานเธอทำงานในโรงงานเครื่องดื่มเถิงต้า สองสามีภรรยาต่างก็เป็นพนักงานในโรงงานทั้งคู่
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องการทำธุรกิจเลย
บ้านที่ทำเลดีติดถนนแบบนี้ พวกเขาแค่ไว้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น