ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 117 :หยิบยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่อีกครั้ง
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 117 :หยิบยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่อีกครั้ง
ตอนที่ 117 :หยิบยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่อีกครั้ง
วันต่อมา ถานชิงซานถึงได้นำเรื่องเช่าบ้านมาบอกเจียงเสี่ยวไป๋
ไม่ใช่ว่าเขาทำงานช้า แต่เป็นเพราะหวังเหว่ยเกาและจางซิ่วลี่ทำงานตอนกลางวัน กว่าพวกเขาจะกลับมาถึงบ้านก็เย็นค่อนไปทางหัวค่ำแล้ว
“พวกเขาสามีภรรยาบอกว่าบ้านหลังนั้นขายอย่างเดียว ไม่ปล่อยเช่า”
ได้ยินคำพูดของถานชิงซาน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถึงกับตกตะลึง
ตอนนี้เขากำลังสร้างบ้านใหม่ในบ้านเกิดของเขา เดิมทีเขาไม่ได้วางแผนที่จะซื้อบ้านในเมืองชิงโจว
“พวกเขาขายในราคาเท่าไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามออกไป
“2,000 หยวน ! ” ถานชิงซานพูดต่ออีกว่า “หวังเหว่ยเกาบอกว่าที่โรงงานเคมีภัณฑ์ของเขาสร้างที่พักพนักงานให้ เขาได้ห้องพักมาชุดนึงพอดี หากไม่ใช่เป็นเพราะอยากซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าบ้าน เขาก็คงไม่คิดขายบ้านของบรรพบุรุษ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง ถ้าพวกเขาย้ายของออกทันที ฉันก็จะซื้อ”
ถานชิงซานตอบ “ฉันไปคุยกับพวกเขามาแล้ว พวกเขาบอกว่าหากเราจ่ายเงินแล้ว พวกเขาก็พร้อมย้ายออกทันที”
เจียงเสี่ยวไป๋ให้ถานชิงซานไปเรียกหลินเจียอินมา แล้วเล่าเรื่องที่หวังเหว่ยเกาจะขายบ้านให้เธอฟัง ทั้งยังให้เธอไปถอนเงินมา 2,000 หยวนอีกด้วย
เขาตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องซื้อบ้านต่อจากหวังเหว่ยเกาให้เสร็จภายในเย็นนี้
เงิน 2,000 หยวนในยุคปี 1983 ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มาก แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับควักจ่ายได้อย่างสบาย ๆ
เมื่อพิจารณาว่าบ้านของหวังเหว่ยเกาเหมาะสมจริง ๆ เขาจึงตอบตกลงที่จะซื้อ
ถึงอย่างไรบ้านที่เขาจะซื้อก็จะถูกนำมาทำเป็นร้านอาหารอยู่แล้ว ฉะนั้นก็คิดเสียว่าเป็นการซื้ออสังหาฯ มาสะสมไว้
และในอนาคต ที่ดินแถบถนนชิงโจวจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอีกมหาศาล
ถือเป็นการลงทุนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
“ทางฝั่งเจียงวานกำลังสร้างบ้านใหม่ ทางนี้คุณซื้อบ้านแล้วก็ต้องปรับปรุงทำเป็นร้านอีก แบบนี้เงินที่เรามีจะพอไหม ? ”
หลินเจียอินไม่คิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะตัดสินใจซื้อบ้านที่อยู่ข้างร้านอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความคิดตรงกับเธอเรื่องเปิดร้านอาหารขายเมนูกุ้งเครย์ฟิชโดยเฉพาะ ซึ่งจุดนี้เธอไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่เธอกังวลว่าเงินจะไม่พอ
ครั้งที่แล้วพวกเขาหมดค่าปรับปรุงร้านน้ำชาไปตั้ง 5,000 กว่าหยวน
อีกอย่างตอนที่ปรับปรุงร้านน้ำชา โครงสร้างส่วนใหญ่ยังคงเป็นโครงสร้างเดิม ทำให้ประหยัดเงินไปไม่น้อย
แต่บ้านของหวังเหว่ยเกาไม่เหมือนกัน เดิมทีมันคือบ้านไว้สำหรับอยู่อาศัยอย่างเดียว และการที่จะปรับปรุงเป็นร้านอาหารจะต้องทำใหม่แทบทั้งหมด ซึ่งต้องใช้เงินก้อนใหญ่
“ไม่เป็นไร บ้านใหม่ของเราที่กำลังสร้างยังไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนั้น”
“อีกอย่าง เราจะเอาเงินร้านจ่ายเป็นค่าปรับปรุงภายใน พวกเราออกเงินแค่ 2,000 หยวนสำหรับซื้อบ้านก็พอ”
เจียงเสี่ยวไป๋บอก
“อ้อ ! ”
หลินเจียอินถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถ้าใช้เงินร้านจ่ายค่าปรับปรุง เธอก็ไม่ต้องกังวลแล้ว
ตอนนี้ร้านของพวกเขามีรายได้ต่อวันเกินกว่า 3,000 หยวน เมื่อวานนี้เธอได้เก็บเงินค่าจองกุ้งอบน้ำมัน 417 ชุด ได้เงินมาทั้งหมด 2,085 หยวน
อีกทั้งวันนี้เธอได้ยังทำตามที่เจียงเสี่ยวไป๋บอก เธอได้เปิดให้ลูกค้าสมัครสมาชิก “ร้านอร่อยสามมื้อ” ซึ่งมีลูกค้าตัดสินใจสมัครบัตรสมาชิกหลายสิบใบ
บัตรสมาชิกธรรมดาจะต้องฝากเงินล่วงหน้า 20 หยวน ได้รับส่วนลด 5%
บัตรสมาชิกระดับเงินจะต้องฝากเงินล่วงหน้า 50 หยวน ได้รับส่วนลด 10%
บัตรสมาชิกระดับทองฝากเงินล่วงหน้า 100 หยวน ได้ส่วนลด 15%
ส่วนสมาชิกระดับ VIP จะต้องฝากล่วงหน้า 500 หยวน ได้รับส่วนลด 30%
สำหรับการสมัครสมาชิกข้างต้นนี้มีไว้สำหรับบุคคลเท่านั้น ไม่ได้ออกให้กับหน่วยงาน
ลูกค้าส่วนใหญ่สมัครบัตรสมาชิกธรรมดาและบัตรสมาชิกระดับเงิน ยังไม่มีใครสมัครบัตรสมาชิกระดับทองเลยสักคน
แต่ยอดการสมัครสมาชิกหลายสิบใบนี้ก็ทำให้พวกเขาได้เงินมาหลายพันหยวนเช่นเดียวกัน
ดังนั้น กระแสเงินสดของร้านจึงมีเพียงพอที่จะใช้จ่ายในการปรับปรุงและตกแต่งร้านใหม่
เรื่องจึงเป็นอันตกลงกันตามนี้
ตอนเย็น ถานชิงซานได้พาเจียงเสี่ยวไป๋ไปเซ็นสัญญาซื้อขายบ้านกับหวังเหว่ยเกา ทางหวังเหว่ยเกาได้ตกลงว่าจะส่งมอบใบโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้แก่เจียงเสี่ยวไป๋ในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง
หวังเหว่ยเกาเห็นว่าชื่อของหลินเจียอินถูกเขียนลงในสัญญาซื้อขายบ้าน ก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ “เถ้าแก่เจียง ทำไมคุณถึงไม่เขียนชื่อคุณเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเธอเป็นภรรยาของผม ทำไมผมจะเขียนชื่อเธอลงไปไม่ได้ล่ะ ? ”
หวังเหว่ยเกาพูดไม่ออกทันที
เจียงเสี่ยวไป๋กลับไปแล้ว จางซิ่วลี่ก็ได้แต่ทอดถอนใจ “เถ้าแก่เจียงดีกับภรรยาของเขามาก”
หวังเหว่ยเกากลับหลุดหัวเราะออกมา “ผู้ชายต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ดังนั้นชื่อในโฉนดก็ควรจะเป็นชื่อของฝ่ายชายสิ”
ประโยคนี้ทำให้จางซิ่วลี่ไม่พอใจ
สโลแกนความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงเป็นที่พูดถึงมานานหลายทศวรรษ และสโลแกนที่ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วมในชีวิตสาธารณะ ในที่ทำงาน และทางการเมืองก็ถูกพูดถึงมานานหลายทศวรรษแล้วเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงยังคงเป็นรองผู้ชาย ไม่สามารถเป็นเจ้าบ้านและมีอำนาจตัดสินใจได้
เจียงเสี่ยวไป๋ออกมาจากบ้านของหวังเหว่ยเกาแล้ว ก็พูดกับถานชิงซานว่า “พรุ่งนี้เมื่อพวกเขาย้ายออก พี่ชิงซานก็มาทำความสะอาดบ้าน วันมะรืนนี้ฉันจะขอให้ช่างจวงส่งคนงานสองสามคนมาปรับปรุงร้าน”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อ “ช่วงนี้พี่ไม่ต้องกังวลกับงานในร้าน พี่คอยคุมงานดูการปรับปรุงร้านใหม่ไป และหากพี่มีความคิดหรือข้อเสนอแนะดี ๆ อะไรก็บอกฉันมาได้เลย ไม่ต้องลังเล”
ถานชิงซานพยักหน้ารับคำ
เขาเคยเรียนรู้งานไม้จากช่างไม้ถานอยู่หลายปี เวลาที่ช่างไม้ถานออกไปรับงานก็มักจะให้เขาไปเป็นลูกมือ ฉะนั้นเขาย่อมมีประสบการณ์เกี่ยวกับการตกแต่งภายในรวมถึงพวกข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน
หลังจากมอบหมายงานให้ถานชิงซานแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาหลินเจียอินและเจียงชานกลับบ้าน
เย็นนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องทำ
เขาต้องไปคุยกับจวงปี้เฉิงเกี่ยวกับการปรับปรุงร้านใหม่ และยังต้องขอให้ช่างไม้ถานทำโต๊ะเก้าอี้สำหรับร้านใหม่ด้วย อีกทั้งยังต้องวาดแปลนของร้านอีก
โชคดีที่ของพวกนี้ทำง่าย ไม่ยาก แค่ต้องใช้เวลาทำ
ไม่กี่วันต่อมา เขาก็งานยุ่งเหมือนเดิม
เขาทำพะโล้ ทำกุ้งอบน้ำมัน ส่วนถานชิงซานยังมาขอคำแนะนำเฉพาะเกี่ยวกับการตกแต่งร้านใหม่เป็นครั้งคราว
แม้จะงานยุ่งแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะหาเวลามาสอนเจียงชานและหวังกังเล่นหมากรุก
หลินเจียอินพูดขึ้นว่า “ตอนนี้งานคุณยุ่งขนาดนี้ ทำไมไม่รอให้พ้นช่วงยุ่งไปก่อน แล้วค่อยสอนพวกลูกเล่นหมากรุกล่ะ หมากรุกไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเสียหน่อย”
เจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่เห็นด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้หรือทำอะไร หากได้เริ่มต้นไปแล้วก็ไม่ควรหยุดกลางคัน
หลายสิ่งหลายอย่างมักจะถูกล้มเลิกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะถูกขัดจังหวะระหว่างทาง
สาเหตุที่หลายคนยอมแพ้ครึ่งทาง ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่มีเวลา
และเวลาก็เหมือนนมวัว ถ้าบีบเค้นออกมาก็ย่อมต้องมีเสมอ
ดังนั้น ต่อให้เจียงเสี่ยวไป๋จะงานยุ่งแค่ไหน เขาก็จะต้องเจียดเวลามาทำสิ่งที่ควรทำให้ได้
ในช่วงเวลานี้ เขายังได้ต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิดอีกด้วย
นั่นก็คือประธานฟู่เต๋อเจิงแห่งสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันชิงโจวนั่นเอง
เขาห่อกุ้งอบน้ำมันไปให้เซี่ยงเฉียนจิ้นกินหนึ่งกล่อง เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าทางนั้นไม่เก็บไว้กินคนเดียวแน่นอน ซึ่งเขาก็ทายถูกด้วย
“ต่อไปเวลาที่ไปส่งพะโล้ของแต่ละวัน ให้นำกุ้งอบน้ำมันไปเพิ่มอีก 5 ชุดด้วย”
คนในสำนักพิมพ์ชิงโจวมีไม่มากนัก ปัจจุบันโรงพิมพ์ในเครือสร้างรายได้หลายร้อยหยวนทุกวัน ฟู่เต๋อเจิงจึงตัดสินใจที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของพนักงานดีขึ้น
ซึ่งกุ้งอบน้ำมัน 5 ชุดมีราคาแค่ 25 หยวนเท่านั้น
ตอนนี้โรงพิมพ์ของพวกเขาสามารถควักจ่ายได้อย่างสบาย ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ย่อมไม่ปฏิเสธ เขาจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“น้องชาย ที่ฉันมาในครั้งนี้ต้องการหยิบยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่อีกครั้ง”
หลังจากพูดคุยถึงออเดอร์ของสำนักพิมพ์แล้ว ฟู่เต๋อเจิงก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และพูดอย่างเคร่งขรึม
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ เขารู้อยู่แล้วว่าฟู่เต๋อเจิงไม่ได้มาหาเขาเพียงเพราะเรื่องกุ้งอบน้ำมันเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงพูดไปว่า “ท่านประธาน ผมว่าเราอย่าพูดถึงเรื่องทำข่าวเลย ตอนนี้ผมยังไม่อยากโชว์ตัวเกินไป”
“จะไม่ให้ทำข่าวได้อย่างไร ? ”
ฟู่เต๋อเจิงกล่าวอย่างจริงจังว่า “เรื่องมันฝรั่งไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มสูงมากนัก น้องชายไม่อยากทำข่าวเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร แต่กุ้งชนิดนี้โตตามธรรมชาติ เมื่อก่อนผู้คนรู้จักมันในนามศัตรูพืชทำลายกล้าข้าว ไม่มีใครกล้ากินมัน แต่จากเมนูที่น้องชายทำออกมานั้น มันได้กลายเป็นอาหารโอชะไปแล้ว”
“หากเราสามารถส่งเสริมได้ไปในวงกว้าง โอกาสทางการตลาดก็จะมีมากขึ้น”
“และในฐานะที่ชิงโจวมีการนำกุ้งเครย์ฟิชมาทำอาหารกินเป็นที่แรก พวกเราสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิชอย่างจริงจัง และสร้างเมืองแห่งกุ้งเครย์ฟิชได้”
ฟู่เต๋อเจิงยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “ไม่ได้การ ครั้งนี้น้องชายต้องฟังฉัน”