ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 12 :นักเลงเฉินมาทวงหนี้
ตอนที่ 12 :นักเลงเฉินมาทวงหนี้
ตอนแรกเจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจว่าจะไปเดินซื้อของที่ตลาดผักเสียหน่อย เพราะเขายังมีเครื่องเทศที่ต้องซื้อเพิ่มอีก แต่เมื่อเห็นว่าฟ้าใกล้มืดแล้ว คาดว่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาดคงเก็บของกลับบ้านหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลับก่อน
เมื่อเขาปั่นจักรยานออกจากเมือง เขาได้ผ่านร้านก๋วยเตี๋ยว หลังจากได้กลิ่นหอมของน้ำซุปแล้ว ท้องของเขาก็เริ่มร้อง “โครก~คราก~” เขาถึงจำได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าวเลยทั้งวัน
เขาหิวจริง ๆ
หลังจากคิดดูแล้ว อีกเดี๋ยวเขายังต้องปั่นจักรยานกลับและเดินเท้ากลับบ้านอีก เจียงเสี่ยวไป๋จึงเข้าร้านไปกินบะหมี่สักชาม
ราคา 3 เหมาถือว่าแพงอยู่เหมือนกัน
แม้จะยังไม่อิ่ม แต่ก็ถือว่าอยู่ท้องบ้างแล้ว เมื่อคิดว่ากลับบ้านจะไปทำผัดเนื้อกระต่ายกระทะร้อน จากนั้นก็ทำหมูตุ๋นน้ำแดง แล้วค่อยผัดเนื้อแล่ชิ้นใหญ่ เจียงเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันที เขาออกแรงปั่นจักรยานให้เร็วขึ้น
เขากลับไปที่อำเภอชิงซานเพื่อคืนรถจักรยานให้แก่จางชุ่ยฮวาก่อน
จางชุ่ยฮวาเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ซื้อของมากมายทั้งถุงใหญ่ถุงเล็ก จึงประหลาดใจ: “คุณขายสัตว์ป่าพวกนั้นได้เท่าไหร่กันเนี่ย ? ”
“ไม่เยอะหรอก 260 กว่าหยวนได้”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะแฮะ ๆ
“เหลือเชื่อ”
จางชุ่ยฮวาเอ่ยชมแล้วพูดอย่างเหลือเชื่อ “มิน่าล่ะคุณถึงได้ซื้อของมามากมายในคราวเดียวแบบนี้”
เธอทำงานที่สหกรณ์จัดจำหน่ายเครื่องบริโภคอุปโภค ถือว่าทำงานในตำแหน่งที่ดีเหมือนกัน แต่เงินเดือนของเธอแค่เดือนละ 15 หยวนเท่านั้น
เงิน 260 หยวนนั้นเพียงพอสำหรับเธอที่จะเก็บออมได้นานกว่าหนึ่งปี หากเธอไม่กินหรือดื่มเลยนะ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เมื่อก่อนผมเคยเป็นไอ้โง่ที่ทำตัวเลว ทำให้ภรรยาและลูกต้องลำบาก ต้องขอบคุณคุณเลยนะที่ให้ผมยืมรถจักรยานไปหาเงินได้มากมายขนาดนี้ ถึงได้ซื้อเนื้อไปบำรุงพวกเธอได้”
รอจนเจียงเสี่ยวไป๋เดินจากไปไกลแล้ว จางชุ่ยฮวายังคงมองแผ่นหลังนั้นหายไปในความมืด
ผู้ชายคนนี้คือไอ้สารเลวที่คนเขาพูดถึงกันจริงหรือ ?
ไม่เหมือนเลยสักนิด
เขาไม่เพียงยอมรับความผิดพลาดของเขาอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น แต่ยังปฏิบัติต่อภรรยาและลูกของเขาอย่างดีด้วยการทำจริง
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีคนหนึ่ง
หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าภาพของเจียงเสี่ยวไป๋ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในใจของเธอไปแล้ว
ในช่วงพลบค่ำของเดือนมีนาคมและเมษายนมีลมเย็นคอยพัดผ่าน เจียงเสี่ยวไป๋ก้าวเดินฉับ ๆ ต่อให้เขาถือของมาเยอะก็ไม่เปลืองแรงเลยสักนิด
“ตอนนี้เมียน่าจะรอที่บ้านจนร้อนใจแล้ว ? ”
“อืม ไม่รู้ว่าถ้าพวกเธอเห็นเราซื้อของมามากมายขนาดนี้จะประหลาดใจไหมนะ ? ”
ระหว่างทางกลับ เจียงเสี่ยวไป๋นึกภาพสีหน้าของภรรยาและลูกตอนที่เขากลับไป ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
นอกจากนี้ หลิวเจียอินยังพาชานชานไปที่แปลงนาของตัวเองเพื่อทำไร่ในตอนบ่าย กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ตอนฟ้ามืดแล้ว และเมื่อเห็นว่าประตูบ้านยังล็อกอยู่ ไม่เห็นร่างของเจียงเสี่ยวไป๋ ในใจของเธอก็พาลรู้สึกโกรธขึ้นมา
“เฮอะ แล้วทำมาเป็นพูดว่าจะให้ชานชานได้กินเมนูเนื้อในตอนเย็น นี่ฟ้าใกล้มืดแล้วยังไม่เห็นกลับมา ไม่รู้ว่าไปทำตัวเถลไถลที่ไหนอีก”
การเปลี่ยนแปลงของเจียงเสี่ยวไป๋ในตอนเช้านั้นทำให้เธอเกิดความคาดหวังอยู่ไม่น้อย
เป็นผลให้เธอทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยในทุ่งนาตลอดทั้งบ่าย และเมื่อเธอกลับถึงบ้าน ความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เหลืออยู่ในใจของเธอก็หายไปทันที
“ฉันก็นึกว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองแล้วจริง ๆ ”
“ผลปรากฏว่าเขาก็ยังเหมือนเดิม”
“เสียดายที่ฉันเกือบจะหลงเชื่อเขาแล้ว”
หลิวเจียอินรู้สึกหดหู่ใจ เธอทั้งโกรธทั้งผิดหวังในตัวของสามีตนเอง
“หม่าม๊า ป่าป๊ายังไม่กลับมาเลย”
เมื่อไม่เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ เจียงชานน้อยรู้สึกผิดหวังเช่นกัน
เธอจำได้ขึ้นใจว่าป่าป๊าบอกจะให้เธอกินเนื้อในมื้อเย็น
หลิวเจียอินระงับอารมณ์ เธอลูบผมที่เปียกโชก ใบหน้าสวยแย้มยิ้มอ่อนโยนและพูดว่า “พ่ออาจจะมาช้า เดี๋ยวแม่นึ่งแตงให้ลูกกินก่อนดีไหม ? ”
ไม่ว่าเธอจะโกรธเจียงเสี่ยวไป๋มากแค่ไหน แต่หลิวเจียอินก็ไม่เคยเอาอารมณ์เหล่านั้นไปยัดเยียดให้ลูกของเธอ เธอพยายามฝากภาพลักษณ์ที่ดีของพ่อไว้ในใจของลูก
“หม่าม๊า งั้นพวกเรารอป่าป๊ากลับมาแล้วค่อยทำอาหารเถอะ”
หนูน้อยยังจำได้ว่าป่าป๊าบอกว่าจะกินเนื้อในมื้อเย็น เธอเบิกตากว้างจ้องมองหม่าม๊าอย่างน่าเวทนา
มองลูกสาวตัวน้อยผู้น่าสงสาร ใจหลิวเจียอินอยากบอกว่าอย่ารอ เพราะไม่มีหวังที่จะรอ
แต่เธอพูดไม่ได้จริง ๆ
เธอลูบหัวของลูกสาวแล้วพูดด้วยความรักว่า “งั้นได้จ้ะ เดี๋ยวพวกเราไปซักผ้ากันก่อน”
“หลังจากซักผ้าเสร็จแล้ว ถ้าพ่อเขายังไม่มา เราจะไม่รอเขาแล้ว”
“ไม่อย่างนั้นถ้ากินดึก ตอนกลางคืนจะนอนปวดท้องเอาได้นะ”
“อื้ม ! ” หนูน้อยพยักหน้าหงึกหงักเมื่อได้ยินแบบนี้ ดวงตากลมโตยิ้มหยีจนกลายเป็นเหมือนพระจันทร์เสี้ยว
หลังจากทำงานในไร่มาตลอดทั้งบ่าย ตอนนี้ทั่วทั้งตัวของสองแม่ลูกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หลิวเจียอินเกลี้ยกล่อมลูกสาวได้แล้วจึงปิดประตูบ้าน จากนั้นก็ต้มน้ำไว้เตรียมน้ำอาบ
บ้านในชนบทไม่มีห้องอาบน้ำแยก หลิวเจียอินต้มน้ำที่เอาไว้อาบเสร็จแล้วก็เทมันลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ แล้วอาบน้ำกับชานชาน หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว สองแม่ลูกก็ช่วยกันซักเสื้อผ้าที่สกปรกของตนเอง
“ปัง ปัง ปัง ! ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังรัวขึ้นอยู่สองสามที
แม้จะบอกว่าช่วยหม่าม๊าซักผ้า แต่อันที่จริงแล้วหนูน้อยกำลังเอามือวักน้ำในอ่างเล่นต่างหาก เมื่อได้ยินเสียงดังที่หน้าประตู หนูน้อยก็หันขวับไปมอง ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ เธอลุกขึ้นตะโกนบอกหม่าม๊าว่า “ป่าป๊ากลับมาแล้ว”
ท่าทางที่ตื่นเต้นของลูกทำให้หลิวเจียอินเผลอกัดฟัน
เธอวางเสื้อผ้าในมือไว้ที่ขอบอ่าง จากนั้นก็เอามือจุ่มน้ำสองสามหนเพื่อล้างฟองออก หลิวเจียอินลุกขึ้นยืนพลางสะบัดน้ำในมือออกแล้วถึงเดินไปที่ประตู
“ยังไม่ถือว่ากลับดึก”
“ไม่รู้ว่าเขาจะเอาเนื้อกลับมาให้ชานชานจริงหรือเปล่า”
หลิวเจียอินเดินไป ในใจทั้งรู้สึกคาดหวังและหวาดหวั่นเล็กน้อย
“แอ๊ด……”
ประตูใหญ่แง้มเปิดออก
“มัวทำอะไรอยู่วะ นี่ก็ยังไม่ดึก จะรีบปิดประตูทำไม”
ทันทีที่เธอเปิดประตูก็เห็นเปลวไฟคุกรุ่น มีคนถือคบเพลิงเดินเข้ามาพร้อมกับพูดอย่างเดือดดาล
ไม่ใช่เจียงเสี่ยวไป๋
แต่เป็นนัก…เลง……เฉิน !
ด้านหลังของนักเลงเฉินมีชายร่างสูงกำยำ ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองมาเหมือนระฆังทองแดงสองใบด้วยท่าทางดุร้าย
หลิวเจียอินหน้าซีดเผือด หญิงสาวก้าวถอยไปสองก้าวด้วยความตื่นตระหนก
นักเลงเฉินดับคบเพลิงในมือแล้วเดินเข้าบ้านมา เขาขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในบ้านหลังนี้มีตะเกียงน้ำมันก๊าดเพียงดวงเดียวที่ให้ความสว่างอยู่ในห้องโถงหลักด้วยแสงสลัว ๆ
ไฟฟ้าเพิ่งเข้ามาถึงหมู่บ้านในอำเภอชิงซานเมื่อไม่กี่ปีมานี้ บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋มีสายไฟเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้ใช้ไฟฟ้า ยังคงใช้ไฟจากตะเกียงน้ำมันก๊าดอยู่เลย
ไม่รู้เป็นเพราะว่าขี้เหนียวหรือจ่ายค่าไฟไม่ไหวกันแน่
ความเหยียดหยามฉายชัดบนใบหน้าของเขา นักเลงเฉินหันไปถามหลิวเจียอินด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “น้องสะใภ้ น้องเสี่ยวไป๋ไม่อยู่บ้านหรือ ? ”
“ไม่… ไม่อยู่”
หลิวเจียอินเสียงแผ่ว
นักเลงเฉินพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องสะใภ้ ในเมื่อน้องเสี่ยวไป๋ไม่อยู่ งั้นเธอเตรียมเงินที่เขาติดหนี้ฉันไว้ได้ครบหรือยัง”
หลิวเจียอินทำหน้าขมขื่น
เมื่อวานนักเลงเฉินมาทวงหนี้ เธอต่อรองขอนักเลงเฉินยืดเวลาไปอีก 1 วันอยู่ตั้งนาน ดังนั้นเมื่อเช้าเธอถึงได้เข้าเมืองเพื่อไปขายเลือด
แต่ใครจะไปคิดว่าพอเธอเดินไปถึงหน้าธนาคารเลือด เจียงเสี่ยวไป๋ผู้ไม่เคยสนใจอะไรกลับไล่ตามเธอมา เขาไม่ยอมให้เธอขายเลือด ทั้งยังให้คำมั่นสัญญากับเธอว่าจะแก้ปัญหาเรื่องเงินเอง
ผลปรากฏว่าเลือดก็ไม่ได้ขาย แล้วแบบนี้เธอจะไปเอาเงินมาจากที่ไหน ?
ตอนนี้นักเลงเฉินมาทวงหนี้ถึงบ้านแล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้เงาหัวของเจียงเสี่ยวไป๋ สุดท้ายเธอต้องเป็นคนรับมือกับเรื่องยุ่งเหยิงนี้แทน
“พวกผู้ชายมันเชื่อถือไม่ได้จริงด้วย”
หลิวเจียอินสิ้นหวังไปทั้งใจ ร่างเพรียวของเธอสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
“พี่เฉิน ไหน ๆ คุณกับเสี่ยวไป๋ก็เป็นพี่น้องกัน รบกวนขอยืดเวลาอีกสักวันได้ไหม พรุ่งนี้……พรุ่งนี้ฉันจะหาเงินมาคืนให้”
หลิวเจียอินข่มความโศกเศร้าไว้ในใจแล้วขอร้องนักเลงเฉิน
เธอตั้งมั่นว่าถ้าสามารถขอยืดเวลาไปได้อีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้เช้าเธอจะเข้าเมืองไปขายเลือดใช้หนี้
“เฮอะ ๆ ……”
นักเลงเฉินหัวเราะพลางพูดว่า “น้องสะใภ้ ถ้าคนอย่างฉันลูกพี่เฉินต้องการเงินคืน ฉันจะไม่รอข้ามวันแน่นอน เมื่อวานเห็นแก่เธอหรอกนะ ฉันถึงยอมให้ยืดเวลาไปอีกหนึ่งวันน่ะ
เมื่อวานเธอรับปากฉันไว้แล้วว่าจะคืนเงินวันนี้
แต่ตอนนี้เธอกลับบอกว่าขอยืดเวลาอีกวัน แล้วบอกว่าวันพรุ่งนี้จะหาเงินมาคืนให้ฉันได้อย่างแน่นอน”
นักเลงเฉินโบกมือปัดแล้วพูดต่อ “เธอไม่ทำตามที่พูดเมื่อวาน แบบนี้ถือว่าไม่มีความน่าเชื่อถือสำหรับฉันอีกแล้ว ยังจะให้ฉันเชื่อเธอได้อย่างไร ? ”
หลิวเจียอินหน้าซีด เธอทำไม่ได้อย่างที่พูด เป็นฝ่ายผิดคำพูดก่อน ดังนั้นเธอจึงอ้ำอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
นักเลงเฉินเห็นว่าหลิวเจียอินไม่พูดอะไร เขาจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ถ้าเธอไม่มีเงินคืน งั้นฉันจะพาหนูน้อยคนนี้ไปใช้หนี้แทน”
ขณะที่พูด ดวงตาสีเข้มของเขามองไปที่เจียงชานราวกับหมาป่าที่จ้องเหยื่อ
เจียงชานยังอายุไม่ถึง 5 ขวบดี พอได้ยินว่านักเลงเฉินจะจับตัวเธอไป หนูน้อยก็หวาดกลัวจนร้องไห้โฮออกมา ร่างเล็กร้องไห้ตัวสั่นเทา “ฮือ ๆ หม่าม๊า……หม่าม๊า……”
“อย่าจับลูกสาวของฉันไป ! ”
หลิวเจียอินรีบเดินเข้าไปคว้าตัวชานชานมาปกป้องไว้ที่ด้านหลังของตนเองราวกับแม่ไก่ปกป้องลูก มีความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นในดวงตาที่อ่อนแอ
ถ้านักเลงเฉินกล้าจับตัวลูกสาวของเธอไป เธอจะสู้กับเขาให้ถึงที่สุด
นักเลงเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเยาะ “น้องสะใภ้ ทำไมถึงไม่ยอมทำตามที่ตกลงกันไว้เมื่อวานล่ะ ถ้าวันนี้ไม่จ่ายคืน จะใช้ตัวลูกสาวของเธอมาใช้หนี้แทนยังไงล่ะ อย่าคิดจะกลับคำเชียว”
“อย่านะ ! ”
หลิวเจียอินปกป้องลูกสาวของเธอและอ้อนวอนด้วยเสียงคร่ำครวญ “ฉันขอยืดเวลาอีกหนึ่งวันนะ ฉันจะหาเงินมาจ่ายคืนภายในเที่ยงวันพรุ่งนี้”
นักเลงเฉินเม้มปากแน่น เขาไม่เชื่อว่าหลิวเจียอินจะสามารถชำระหนี้ได้ภายในเที่ยงวันพรุ่งนี้
ทว่าเมื่อเขามองดูรูปร่างของหลิวเจียอินภายใต้ตะเกียงน้ำมันที่หรี่แสงสลัว ร่างสูงบางของเธอมีหน้าอกและบั้นท้ายที่สมส่วนได้รูป เป็นความงดงามอ่อนช้อยสุดจะพรรณนา
อีกทั้งเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ บนตัวของเธอมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำให้นักเลงเฉินเกิดความเคลิบเคลิ้ม
เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รู้สึกร้อนรุ่มอยู่ภายใน
“ในเมื่อน้องสะใภ้เอ่ยปาก ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว” นักเลงเฉินจับจ้องไปที่เรือนร่างของหลิวเจียอินอย่างไม่วางตา
หลิวเจียอินที่กำลังสิ้นหวังได้ยินคำพูดของนักเลงเฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอดีใจมากพลางพูดว่า “ขอบคุณพี่เฉินมาก”
นักเลงเฉินกระตุกยิ้มกริ่ม “งั้นน้องสะใภ้คิดจะขอบคุณฉันยังไงล่ะ ? ”
อ่า ?
หลิวเจียอินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองไปที่นักเลงเฉิน เมื่อเห็นสายตามุ่งร้ายของเขา หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “คุณ……คุณ……จะทำอะไร ? ”
นักเลงเฉินยิ้มอย่างลามก “ในเมื่อสามีของเธอไม่อยู่ที่บ้าน งั้นคืนนี้ฉันจะนอนบนเตียงของเขา ส่วนเธอก็มานอนกับฉัน แล้วฉันจะยืดเวลาให้อีกหนึ่งวัน”
“อย่าแม้แต่จะคิด ! ”
หลิวเจียอินหายใจถี่ เธอพูดกระชากเสียงดังขึ้น
นังนี่กล้าปฏิเสธฉันหรือ ?
นักเลงเฉินพูดด้วยสีหน้าชั่วช้า “สาวน้อยอย่าทำเป็นไขสือเลย นี่เธอเป็นคนขอร้องฉันเองนะ นอนกับฉันแค่คืนเดียวก็สามารถยืดระยะเวลาใช้หนี้ไปได้อีกหนึ่งวัน คุ้มค่าจะตายไป”
ขณะที่พูด เขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วเหยียดฟูกนอนออก เตรียมจะกระโจนเข้ากอดหลิวเจียอิน
หลิวเจียอินตกใจรีบถอยหนี แต่เผลอเสียหลักล้มลงกับพื้น
ท่าทีตื่นตระหนกของหญิงสาวยิ่งทำให้สัญชาตญาณดิบของนักเลงเฉินพุ่งพล่าน เขาระเบิดเสียงหัวเราะแล้วยื่นมือไปหมายจะกระชากตัวเธอขึ้นมา
“ไอ้คนชั่ว อย่าตีหม่าม๊านะ”
เจียงชานน้อยที่อยู่ข้าง ๆ คิดว่านักเลงเฉินจะมาตีหม่าม๊า หนูน้อยจึงร้องลั่นวิ่งไปหาหม่าม๊า ใช้ร่างเล็กของตัวเองกั้นมือใหญ่ของนักเลงเฉินไว้
“นังเด็กคนนี้มาขัดเรื่องดี ๆ ของฉัน ไปให้พ้น ! ”
นักเลงเฉินผลักเจียงชานน้อยออก ทำให้ร่างเล็กล้มกระแทกลงกับพื้น
หลิวเจียอินรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นไปอุ้มชานชานเข้ามากอด น้ำตาเม็ดโตไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เทาจื่อ เอาเจ้าเด็กคนนี้ออกไป อย่ามาทำให้ฉันเสียเรื่อง ฉันจะทำธุระสำคัญ”
นักเลงเฉินรำคาญที่เจียงชานน้อยขวางเขาอยู่ เขาหยุดสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ชั่วคราวแล้วหันกลับมาพูดกับชายร่างสูงกำยำที่เดินตามเขามา
“ครับลูกพี่”
หลิวหงเทาตอบรับ แล้วเดินเข้ามาหาหลิวเจียอิน
หลิวเจียอินกอดชานชานถอยร่นจนสุดกำแพงแล้ว เธอไม่มีทางที่จะถอยอีกแล้ว “อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันจะตะโกนให้คนช่วย”
หลิวหงเทาชะงักฝีเท้า แล้วหันไปหานักเลงเฉิน
นักเลงเฉินระเบิดหัวเราะออกมา
“ตะโกนเลยสิ ต่อให้เธอตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครมาช่วยเธอหรอก”
พอฟ้าเริ่มมืด บ้านแทบทุกหลังในชนบทจะเริ่มปิดประตูลงกลอนกันอย่างแน่นหนา ถ้าหากไม่ทำเสียงดังเอะอะโวยวายในบ้านมากเกินไป ต่อให้เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันก็คงไม่ได้ยินเสียง
อีกอย่าง ต่อให้มีคนออกมาแล้วจะทำอะไรได้ ?
นักเลงเฉินพูดอย่างเลือดเย็นว่า “ใครมันจะกล้ามายุ่งเรื่องของฉัน ? ”
หลิวเจียอินได้ยินก็รู้สึกหมดหวังจริง ๆ
ใช่แล้ว อย่าพูดถึงเรื่องที่จะไม่มีใครมาช่วยในเวลานี้เลย ต่อให้มีคนกล้ามา แต่ใครจะกล้ายุ่งเรื่องของนักเลงเฉิน ?
หรือวันนี้ฉันจะต้องโดนนักเลงเฉินข่มเหงเข้าแล้วจริง ๆ ?
ถ้าต้องเป็นแบบนั้นจริง ๆ สู้ให้ฉันตายเสียยังดีกว่า
สีหน้าของหลิวเจียอินอยู่ในสายตาของนักเลงเฉินมาโดยตลอด ผู้หญิงคนนี้ช่างสวยจริง ๆ ท่าทางที่หมดหนทางและสิ้นหวังของเธอมันน่าสงสารจนทำให้ใจเขาเต้นแรง
เขาคิดว่า ผู้หญิงที่สวยขนาดนี้จะกินแค่ครั้งเดียวได้อย่างไร ?
ตอนนี้เขาเกิดความคิดอยากครอบครองเธอในระยะยาวแล้ว
หลังจากพยายามระงับความปรารถนาอันเร่าร้อนในหัวใจ นักเลงเฉินพยายามเกลี้ยกล่อมเธอว่า “เจียอิน เธอทนอยู่กับคนไม่ได้เรื่องอย่างเจียงเสี่ยวไป๋ไปให้ได้ประโยชน์อะไร ?
นอกจากเขาจะไม่มีเงิน ไม่มีอิทธิพลอะไรแล้ว วัน ๆ ยังเอาแต่ดื่มเหล้า เที่ยวผู้หญิง เล่นไพ่ ไม่กลับบ้านกลับช่อง แบบนี้มันต่างอะไรจากปล่อยให้เธอใช้ชีวิตเป็นหญิงหม้าย ?
ทำไมเธอไม่มาอยู่กับฉัน คอยปรนนิบัติฉันดี ๆ ฉันจะทำให้เธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายแน่นอน”
หลิวหงเทาเองก็คอยโน้มน้าวอยู่ข้าง ๆ เช่นเดียวกัน “พี่สะใภ้ ติดตามลูกพี่ของฉันดีกว่านะ”
“ถุย ! ”
หลิวเจียอินถ่มน้ำลายและสาปแช่ง “พวกแกมันก็ชาติหมาเหมือนกันหมด ทำเรื่องชั่วช้ามากมายขนาดนี้ สักวันแกจะต้องได้รับผลกรรม นักเลงเฉิน ล้มเลิกความคิดสกปรกของแกซะ ต่อให้ฉันตาย ฉันก็จะไม่ยอมให้แกสมปรารถนาหรอก”
คำพูดของหลิวเจียอินก็เหมือนการเทน้ำเย็นดับมอดความคิดที่นักเลงเฉินอยากจะครอบครองเธอมาเนิ่นนาน
“นังสารเลวนี่ไม่รู้จักพูดจาหวานหู”
“วันนี้เธอต้องตกเป็นของฉัน ! ”
นักเลงเฉินด่าทอเธออย่างสาดเสียเทเสีย เขาเดินเข้าไปประชิดหลิวเจียอิน กางแขนออกเตรียมโผเข้าหาเธอ