ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 120 :เดินทางไปเฉินเจียโกวอีกครั้ง
ตอนที่ 120 :เดินทางไปเฉินเจียโกวอีกครั้ง
วันต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋ได้นำถังที่ใส่เครื่องปรุงรสสำเร็จมาที่ร้าน จากนั้นก็เรียกเฝิงเยี่ยนหงและหลัวเจาตี้มาในครัว
ในเมื่อต้องสอน ฉะนั้นเขาก็จะสอนเทคนิคการทำพะโล้ให้พวกเธอด้วย
เพราะถึงอย่างไรพวกเธอก็ไม่ใช่คนนอก
“อะไรนะ พี่อยากให้พวกฉันทำพะโล้และกุ้งอบน้ำมัน ? ”
เฝิงเยี่ยนหงรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขมากหลังจากได้ยินสิ่งนี้
ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกชื่นชมเจียงเสี่ยวไป๋มากขึ้นเรื่อย ๆ
เธอรู้ดีว่าสูตรของทั้งสองเมนูนี้เป็นรากฐานในการสร้างรายได้ให้เจียงเสี่ยวไป๋
แต่ตอนนี้เขากลับจะสอนเธอ
“ฉันจะตั้งใจเรียน ในอนาคตฉันจะช่วยแบ่งเบาภาระพี่ให้ได้”
เฝิงเยี่ยนหงพูดออกมาจากใจจริง
“พี่รอง ในเมื่อพี่จะสอนฉัน ฉันก็จะตั้งใจเรียนและจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังเด็ดขาด” หลัวเจาตี้พูดอย่างจริงใจเช่นกัน
ตอนนี้ฟักเขียวหมดรุ่นแล้ว ที่ร้านจึงไม่ได้ทำฟักเขียวตุ๋นน้ำแดงและฟักเขียวสไลด์ตุ๋นแบบหมูสามชั้น เธอมาช่วยหวังผิงฆ่ากุ้งหรือไม่ก็ช่วยต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านแทน
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ใส่ใจกับท่าทีของทั้งสองมากนัก
เขาโบกมือปัดแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้หรอก แค่พวกเธอตั้งใจเรียนรู้ก็พอแล้ว”
เคล็ดลับความอร่อยของพะโล้คือเครื่องปรุงรสสำเร็จสำหรับพะโล้เช่นเดียวกัน ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋ทำไว้ที่ร้านค่อนข้างเยอะ
ในขั้นแรก เขาสอนให้ทั้งสองลวกผักและเนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ ทั้งยังให้พวกเธอจดจำเวลาลวกของผักและเนื้อสัตว์แต่ละประเภทด้วย
ซึ่งอย่าประมาทขั้นตอนการลวกเชียว เพราะหากเวลาไม่ถูกต้องก็จะส่งผลต่อสีและรสชาติของพะโล้
ขั้นต่อมาคือเวลาเคี่ยวของพะโล้ประเภทต่าง ๆ ลำดับการใส่ลงหม้อ การเปลี่ยนไฟแรง ไฟกลางและไฟต่ำเป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋ทั้งสอน อธิบายและสาธิตไปพร้อมกัน ส่วนเฝิงเยี่ยนหงและหลัวเจาตี้ก็ตั้งอกตั้งใจเรียนอย่างจริงจังเช่นกัน หากไม่เข้าใจ พวกเธอก็จะถามเขาทันที
แน่นอนว่าการอยากทำพะโล้ให้อร่อยเหมือนเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ใช่เรื่องที่จะฝึกได้ในวันสองวัน
ต้องใช้การฝึกปรือที่ต่อเนื่องและยาวนาน
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้รีบร้อนเช่นกัน เขายังคงเป็นคนหลักในการทำพะโล้ โดยให้พวกเธอสองคนเป็นลูกมือ เขาทั้งสอนพวกเธอและให้พวกเธอมีส่วนร่วมในการทำ เพื่อให้พวกเธอมีความเข้าใจในพะโล้ยิ่งขึ้น
หลังจากทำพะโล้เสร็จ ก็ถึงเวลาที่ทั้งสองจะต้องเรียนทำกุ้งอบน้ำมันแล้ว
กุ้งอบน้ำมันทำง่ายกว่าพะโล้มาก เจียงเสี่ยวไป๋คอยบอกอยู่ด้านข้างแล้วให้พวกเธอทำด้วยตนเอง
ตั้งแต่การนำกุ้งเครย์ฟิชลงไปทอดในน้ำมัน ไปจนถึงการผัดเครื่องเทศกับกุ้ง การใส่เบียร์ลงไปเคี่ยว สิ่งสำคัญที่สุดในเมนูนี้คือการควบคุมปริมาณของน้ำมันให้เหมาะสมกับปริมาณของกุ้ง รวมไปถึงปริมาณของเครื่องปรุงรสสูตรสำเร็จที่ใช้
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังคงขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ผู้คนจึงมักจะลังเลที่จะใส่น้ำมันในการปรุงอาหาร เจียงเสี่ยวไป๋เน้นย้ำว่าปริมาณน้ำมันและเครื่องปรุงรสจะต้องเพียงพอ มิฉะนั้นจะส่งผลต่อรสชาติ
ส่วนความร้อนและเวลาควบคุมได้ง่ายกว่าการทำพะโล้
ไม่นาน กุ้งอบน้ำมันกระทะแรกที่เป็นฝีมือของหลัวเจาตี้ก็เสร็จแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ลองชิมดู “ใช้ได้ ! ”
แม้จะรสชาติไม่เข้มข้นเหมือนอย่างที่เขาทำด้วยตนเอง แต่หากไม่ใช่นักชิมมืออาชีพจะไม่มีทางรู้ได้แน่นอน
อีกอย่าง นักชิมมืออาชีพบนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนกันเชียว ?
กุ้งอบน้ำมันมีกลิ่นหอมเข้มข้นจนลูกค้าแทบจะแยกรสชาติที่ละเอียดอ่อนไม่ออก
เมื่อได้รับการยอมรับจากเจียงเสี่ยวไป๋ หลัวเจาตี้ตื่นเต้นมาก เธอลองชิมเช่นเดียวกันและพบว่ามันค่อนข้างจะเหมือนกับที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำ
“ฉันทำกุ้งอบน้ำมันเป็นแล้ว ! ”
หลัวเจาตี้ดีใจมาก ทำเอาเฝิงเยี่ยนหงที่มองอยู่ด้านข้างก็อยากจะลองทำแล้วเช่นกัน
กระทะที่สอง เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงยืนให้คำแนะนำอยู่ด้านข้าง ในขณะที่เฝิงเยี่ยนหงเป็นคนลงมือทำ ซึ่งรสชาติที่ทำออกมาได้นั้นคล้ายกับของหลัวเจาตี้
อันดับต่อมา ทั้งสามคนทำคนละหนึ่งกระทะ เจียงเสี่ยวไป๋ยืนทำอยู่ตรงกลางและคอยให้คำแนะนำเฝิงเยี่ยนหงและหลัวเจาตี้ที่ยืนทำขนาบข้าง เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเธอจะทำกุ้งอบน้ำมันออกมาได้รสชาติดี
จนกระทั่งพวกเขาเริ่มทำกระทะที่สี่ ที่ร้านก็เริ่มขายกุ้งอบน้ำมันแล้ว
กิจการที่ร้านยังคงขายดิบขายดีเช่นเดิม หลัวเจาตี้และเฝิงเยี่ยนหงยิ่งทำก็ยิ่งชำนาญ ทำให้เบาแรงเจียงเสี่ยวไป๋ไปได้ไม่น้อย
กระทั่งหวังผิงส่งอาหารตามออเดอร์ของหน่วยงานเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงให้เขาไปหาเจียงเสี่ยวเฟิงที่เจียงวาน เพื่อให้เขารับซื้อกุ้งมาอีก 200 ชั่ง
เมื่อเช้าเขาขนกุ้งมาที่ร้านเกือบ 600 ชั่ง หากให้ไปขนอีก 200 ชั่ง นั่นเท่ากับว่าวันนี้ยอดขายของพวกเขาจะอยู่ที่ 800 ชั่งแล้ว
หวังผิงดีใจจนหุบยิ้มไม่ลง จากนั้นเขาก็รีบไปทำตามที่เจียงเสี่ยวไป๋บอกทันที
กระทั่งมาถึงช่วงบ่าย เดิมทีลูกค้าที่มาช้าคิดว่าวันนี้คงซื้อกุ้งอบน้ำมันไม่ทันแล้ว แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าที่ร้านยังมีขายอยู่ ทำให้พวกเขาดีใจมาก
สถานการณ์แบบนี้ดำเนินไปประมาณ 2 วัน โดยทั่วไปเจียงเสี่ยวไป๋เพียงแค่ทำพะโล้ในตอนเช้า ส่วนกุ้งอบน้ำมันยกให้เป็นหน้าที่ของเฝิงเยี่ยนหงและหลัวเจาตี้
ไม่ง่ายเลย
ในที่สุดเขาก็มีเวลามาคิดเกี่ยวกับเรื่องสร้างบ้านหลังใหม่เสียที
เจียงเสี่ยวไป๋ขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไปที่เฉินเจียโกว
“เถ้าแก่เจียง หลังจากที่คุณซื้อบ้านไปเมื่อครั้งที่แล้วก็ไม่ได้มาอีกเลย วันนี้มีเวลาว่างมาดูบ้านแล้วหรือ”
เฉินเจิ้นฮวาเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ก็กล่าวทักทาย
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นบุหรี่ให้เขา 1 มวน “ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก วันนี้งานเบาลงแล้วเลยแวะมาดูเสียหน่อย”
“ถึงอย่างไรบ้านและโถงบรรพบุรุษนี้ก็เป็นของคุณอยู่แล้ว คุณสามารถแวะเวียนมาดูได้ตลอด” เฉินเจิ้นฮวาจุดบุหรี่จงฮว๋าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
บุหรี่จงฮว๋าในมือของเขาช่างหอมเสียจริง
รสชาติดีกว่าบุหรี่ที่เขาสูบเป็นประจำเสียอีก
“ถ้าลุงเฉินว่าง รบกวนไปเดินดูบ้านเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋จุดบุหรี่สูบแล้วกล่าวชวนด้วยรอยยิ้ม
เฉินเจิ้นฮวาคุ้นเคยกับบ้านและโถงบรรพบุรุษตระกูลเฉินมากที่สุด ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องถามอีกฝ่าย
เฉินเจิ้นฮวาหัวเราะเสียงดัง “ที่บ้านของฉันไม่มีที่นา ช่วงนี้ไม่ได้ยุ่งอะไรหรอก”
ในเมื่อได้อยู่ข้าง ๆ เถ้าแก่เจียง ทั้งยังได้สูบบุหรี่มียี่ห้อ เขาจะไม่ว่างได้อย่างไร ?
ขณะที่ทั้งสองเดินไปที่โถงบรรพบุรุษตระกูลเฉิน เฉินเจิ้นฮวาก็เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของตระกูลให้ฟัง
เจียงเสี่ยวไป๋เพียงแค่ฟัง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด
หลังจากที่สำรวจดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋พบว่างานแกะสลักหินและงานแกะสลักไม้ในโถงบรรพบุรุษตระกูลเฉินมีความประณีตและงดงามมากกว่าที่อยู่ในบ้านตระกูลเฉินเสียอีก คานบนหลังคาทำจากไม้หนานมู่ขนาดใหญ่สีทองสวย ไม้บนราวบันไดยังได้รับการแกะสลักอย่างสวยงามและถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี
ภายในยังมีข้าวของเครื่องใช้เหลืออยู่อีกมากมาย เช่น โต๊ะบูชา ป้ายคำขวัญที่ติดอยู่ที่คิ้วประตูส่วนบนและอื่น ๆ
แต่บ้านตระกูลเฉินกลับตรงกันข้ามอย่างน่าเวทนา ตัวบ้านทรุดโทรม หน้าต่างแกะสลักและสิ่งของที่มีการแกะสลักบิ่นหักทั้งหมด รวมไปถึงโต๊ะแปดเซียน ตู้หนังสือและชั้นวางของ
แต่ข่าวดีก็คือหินแกะสลักบนทับหลังและเสาได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี
หลังจากดูเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋มีไอเดียอยู่ในใจ เขาบอกลาเฉินเจิ้นฮวาและยกบุหรี่จงฮว๋าที่เหลืออีกครึ่งซองให้เขา เฉินเจิ้นฮวาถึงกับยิ้มไม่หุบ
“เถ้าแก่เจียงวางใจได้ ผมคอยดูบ้านให้คุณอย่างดีวางใจได้ ผมจะช่วยดูแลบ้านให้เป็นอย่างดี”
จนกระทั่งเจียงเสี่ยวไป๋ขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างออกไปไกลแล้ว เฉินเจิ้นฮวาก็ยังคงโบกมือให้เขา
ทำเอาในใจของเจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกผิดไม่น้อย
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เอาเปรียบเฉินเจิ้นฮวาไปเยอะมาก
ตอนนี้เขากำลังคิดว่าจะชดเชยให้อีกฝ่ายได้อย่างไร
เมื่อกลับมาถึงชิงโจวแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ยังไม่ได้รีบร้อนกลับเข้าไปในร้าน แต่ไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเหล้าเหมาไถ 2 ขวด แว่นสายตาคู่ใหม่ 1 คู่ และกระดาษซวนอีก 1 ปึกใหญ่ จากนั้นจึงเลี้ยวรถมุ่งหน้าไปทางเหนือของเมือง
เมื่อเทียบกับทางทิศตะวันออกและทิศใต้ของเมือง ทางทิศเหนือของเมืองค่อนข้างล้าหลังกว่ามาก
เพราะถึงอย่างไรบริเวณนี้ก็คือพื้นที่เมืองเก่า
เจียงเสี่ยวไป๋ขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไปจอดไว้ที่ถนนซานเซิ่ง เพราะเขาต้องการไปเยี่ยมเยือนใครบางคน