ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 121 :เยี่ยมเยือนปรมาจารย์
ตอนที่ 121 :เยี่ยมเยือนปรมาจารย์
คนที่เจียงเสี่ยวไป๋ต้องการไปเยี่ยมเยือนมีชื่อว่าหลินฉางเกิง เป็นชายชราที่เกษียณจากสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรม
จากความทรงจำของชาติที่แล้ว เขารู้ว่าหลินฉางเกิงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทียนจิง เรียนเอกสถาปัตยกรรมและโบราณคดีควบคู่กัน หลังจากที่ประเทศจีนมีการสถาปนาประเทศขึ้น เขายังเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เหลียงและอุทิศชีวิตให้กับงานโบราณคดีและสถาปัตยกรรมโบราณ
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะเรียกบุคคลนี้ว่าปรมาจารย์
ชาติก่อน เจียงเสี่ยวไป๋เคยมีโอกาสได้พบกับเหล่าหลินผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงรู้งานอดิเรกและความสนใจของชายชราผู้นี้ดี เขารู้ว่าชายชราชอบดื่มเหล้าและเขียนพู่กันเป็นงานอดิเรกหลังจากเกษียณ ดังนั้นเขาถึงได้ตั้งใจเลือกซื้อเหล้าเหมาไถและกระดาษซวนมา
และแว่นสายตานี้ก็ถือว่าเป็นของที่ใช้งานได้จริงสำหรับชายชราวัย 70 ผู้ชื่นชอบในเรื่องโบราณคดี
การจะมอบของขวัญให้ใครต้องมอบสิ่งที่คนนั้นได้งานใช้จริง ซึ่งถือเป็นการแสดงความใส่ใจอย่างหนึ่ง
ซึ่งคนรุ่นหลังเรียกสิ่งนี้ว่า การซื้อใจคน
หากเจียงเสี่ยวไป๋ต้องการรื้อถอนโครงสร้างของบ้านและโถงบรรพบุรุษตระกูลเฉิน เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะจ้างคนงานทั่วไปมาทำ
เพราะถ้าใช้แต่กำลังรื้อถอน แบบนั้นไม่รู้ว่าเขาจะต้องสูญเสียสมบัติไปมากมายแค่ไหน
แต่หากเขาสามารถเชิญชายชราหลินฉางเกิงมาช่วยดูตอนรื้อถอนได้ ไม่เพียงแต่ของเก่าจะไม่ได้รับความเสียหายเท่านั้น ดีไม่ดีเขาอาจได้ของดีจากเศษซากพวกนั้นมาก็ได้
……
ที่บ้านเลขที่ 19 ถนนซานเซิ่ง
บ้านเก่าหลังหนึ่งที่สร้างด้วยดินและมุงหลังคาด้วยกระเบื้อง มีสวนขนาดเล็กอยู่หน้าบ้าน ด้านในมีเถาองุ่นเลื้อยขึ้นหลักไม้ และมีต้นไม้ที่มีขนาดลำต้นเท่าปากชามขึ้นอยู่ด้านข้าง
บ้านหลังนี้ดูธรรมดาทั่วไป ไม่ต่างอะไรจากบ้านในชนบท
“คุณหลินอยู่บ้านหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เข้ามาในลานบ้าน เมื่อเห็นว่าประตูใหญ่เปิดอยู่ เขาจึงยืนอยู่หน้าประตูและตะโกนเรียกเสียงดัง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีมารยาท
แต่ชายชราแก่แล้ว หูไม่ดี หากเรียกเสียงเบาไปจะไม่ได้ยิน
“ใครมาหรือ ? ”
ไม่นาน ก็มีเสียงของคนแก่ที่แหบพร่าดังมาจากในตัวบ้าน จากนั้นก็มีชายชราร่างผอมเพรียวหน้าซีดเดินออกมา มีแว่นตาเก่า ๆ ห้อยเชือกคล้องคอไว้
“สวัสดีครับคุณหลิน ผมชื่อเจียงเสี่ยวไป๋ ต้องขออภัยด้วยที่มารบกวน”
เจียงเสี่ยวไป๋โน้มตัวลงแล้วกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท
หลินฉางเกิงนำแว่นตาขึ้นมาสวมแล้วเพ่งมองเจียงเสี่ยวไป๋ จากนั้นดวงตาของเขาเลื่อนมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามว่า “พ่อหนุ่มมาหาฉันมีธุระอะไรหรือ ? ”
ชายชราผู้นี้พูดภาษาจีนกลาง ไม่ได้พูดภาษาถิ่นเหมือนกับคนชิงโจว
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยความเคารพว่า “มีอาคารโบราณหลังหนึ่งที่ต้องรื้อถอน ผมกังวลว่าภูมิปัญญาของบรรพบุรุษเราจะสูญเปล่า จึงมาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำจากคุณ”
เขาไม่ได้อ้อมค้อม แต่บอกความต้องการของเขาออกไปตามตรง
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มีเคล็ดลับในการพูด
เมื่อต้องพูดคุยกับชายชราผู้ผ่านโลกและมีประสบการณ์มามากมายขนาดนี้ เขาไม่สามารถพูดจาไร้สาระหรืออ้อมค้อมได้ เพราะคนเขามองปราดเดียวก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
วิธีการที่ดีที่สุดคือการแสดงความจริงใจออกมา แล้วถึงพูดเรื่องสำคัญ
เขาพูดถึงเรื่องการรื้อถอนอาคารโบราณซึ่งเป็นจุดอ่อนของชายชราผู้นี้ออกมาก่อน จากนั้นใช้ความเห็นอกเห็นใจและความ “ทนดูไม่ได้” ดึงชายชราคนนี้ให้ใกล้ชิดเขายิ่งขึ้น แล้วถึงถ่ายทอดการรับรู้และอธิบายจุดประสงค์ของการมาเยือนในที่สุด
ด้วยวิธีนี้ เขาจะไม่ถูกชายชราไล่ตะเพิดทันทีที่เอ่ยปาก
“จะรื้อถอนกันอีกแล้วหรือ ! ”
หลินฉางเกิงขมวดคิ้วขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นบูดบึ้งขึ้นมา เขาทอดถอนใจแล้วพูดว่า “ของเก่าแก่ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้กำลังจะถูกทำลายหมดแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงใช้โอกาสนี้เติมเชื้อไฟ “ผมเองก็คิดว่าของเก่าที่บรรพบุรุษทิ้งไว้เป็นของล้ำค่าเหมือนกัน หากถูกคนรื้อถอนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เกรงว่าของพวกนั้นคงทำได้เพียง
กลายเป็นเชื้อไฟแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่ลืมที่จะพูดยกยออีกฝ่ายว่า “ผมเลยต้องมาเชิญคุณไปช่วยชี้แนะ เพื่อจะได้รักษาสมบัติล้ำค่าเอาไว้ได้”
หลินฉางเกิงมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เขามองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “เข้ามาคุยด้านในเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก แต่เขาก็ตอบรับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ขอบคุณครับ”
พูดเสร็จแล้วก็เดินตามหลินฉางเกิงเข้าไปในบ้าน
ภายในบ้าน กลางห้องโถงหลักมีรูปเหมือนของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ด้านล่างเป็นโต๊ะแปดเซียน สองฝั่งของโต๊ะมีเก้าอี้หมวกทางการ [1] ตั้งไว้ฝั่งละตัว ผนังทั้งสองด้านมีบานประตู และมีเก้าอี้สี่ตัววางชิดผนังอย่างสมมาตร
หลินฉางเกิงนั่งลงบนเก้าอี้หมวกทางการที่อยู่ข้างโต๊ะแปดเซียน เจียงเสี่ยวไป๋นำของที่ซื้อมาวางไว้บนโต๊ะแปดเซียนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หมวกทางการอีกตัว
ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน พวกเขาเริ่มพูดคุยถึงเรื่องบ้านตระกูลเฉิน และค่อย ๆ ขยายขอบเขตการสนทนาไป ถึงเรื่องอาคารโบราณที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในมณฑลจีนตอนกลาง ลามไปจนถึงอาคารโบราณที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศ พวกเขาพูดคุยทั้งด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลง งานฝีมือและการอนุรักษ์ ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋สามารถโต้ตอบได้อย่างคล่องแคล่ว
แววตาที่หลินฉางเกิงใช้มองเจียงเสี่ยวไป๋ค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย ชายชรารู้สึกราวกับได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของตน
ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ เจียงเสี่ยวไป๋ได้อ่านหนังสือ ‘การวิจัยเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมจีนโบราณ’ ที่เขียนโดยหลินฉางเกิง แนวคิดบางส่วนที่เขากล่าวถึงมาจากหนังสือเล่มนี้
แต่เรื่องที่หลินฉางเกิงเขียนหนังสือเป็นเรื่องในอีก 10 ปีให้หลัง
ในปี 1983 ปัจจัยหลายอย่างยังไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งทางรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อบุคคลผู้ยิ่งใหญ่คนนี้
“พอได้ยินคำพูดของคุณ ผมรู้สึกประทับใจมาก ผมคิดว่าสิ่งที่คุณได้เรียนรู้และค้นคว้ามาควรถูกเขียนลงในหนังสือเพื่อเผยแพร่ไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไป เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมจีนอันกว้างใหญ่ของเราและให้คนทั้งโลกเข้าใจความงดงามของสถาปัตยกรรมจีนโบราณของเรา”
ในตอนท้าย เจียงเสี่ยวไป๋ยังใส่อารมณ์เข้าไปในคำพูดด้วย
สีหน้าของหลินฉางเกิงดูเหมือนปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน แต่แล้วไม่นาน สีหน้าของเขาก็พลันหม่นหมองลงอีกครั้ง เขาพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ฉันมันก็แค่คนแก่คนหนึ่ง จะไปคาดหวังว่าจะได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้มาทั้งชีวิตได้อย่างไร ? ”
“ช่างเถอะ แค่ได้เขียนพู่กันจีนและใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ สัก 2-3 ปีก็พอใจแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋มีสีหน้าจริงจังขณะกล่าวว่า “ผมยินดีที่จะช่วยคุณพิมพ์หนังสือออกมา”
หืม ?
หลินฉางเกิงชะงักไปเล็กน้อย เขามองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋อย่างไม่เชื่อสายตา
“เธอ……พูดจริงหรือ ? ”
วินาทีต่อมา หลินฉางเกิงก็ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
“จริงครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ายืนยันคำเดิม
เจียงเสี่ยวไป๋เต็มใจที่จะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาและสืบทอดวัฒนธรรมเหล่านี้เอาไว้
เขารู้ว่าต่อให้ไม่มีเขา แต่อีก 10 ปีให้หลังก็จะมีหน่วยงานของรัฐบาลมาผลักดันให้หลินฉางเกิงออกหนังสือ
เหตุผลที่เขาเต็มใจทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อเลื่อนเวลาในการออกผลงานหนังสือของหลินฉางเกิงให้เร็วขึ้นเท่านั้น
“แล้วพ่อหนุ่มมีเงื่อนไขอะไรไหม ? ”
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว หลินฉางเกิงก็จ้องมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และถามด้วยเสียงทุ้มลึก
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “ไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น”
ไม่มีเงื่อนไขคือเงื่อนไขที่ถอนตัวยากที่สุด
คนทั่วไปคงไม่เข้าใจ แต่หลินฉางเกิงผู้ที่ศึกษาวัฒนธรรมที่สืบทอดในประเทศจีนมาอย่างยาวนานจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ?
เขาถอนหายใจเพราะรู้ดีว่าตนเองติดหนี้น้ำใจคนเข้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอของเจียงเสี่ยวไป๋ได้
แต่หนี้น้ำใจนี้ หากมันสมควรติดค้างก็ให้ติดค้างไปเถิด
“ส่วนเรื่องบ้านตระกูลเฉินที่พ่อหนุ่มพูดถึง เดี๋ยวฉันจะไปดูให้ใน 2 วันนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก ชายชราคนนี้เป็นผู้ที่รักษาคำพูด ในเมื่อเขาบอกว่าจะไปดูให้ เช่นนั้นเรื่องนี้เป็นอันตกลงตามนี้
หลังจากพูดคุยกับหลินฉางเกิงไปสักพัก เจียงเสี่ยวไป๋ก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
เขามอบของขวัญพบหน้าให้
ตอนนี้เขาติดค้างเรื่องการพิมพ์หนังสือกับเจ้าหนุ่มคนนี้ไปเสียแล้ว นับประสาอะไรกับกระดาษซวนและเหล้า 2 ขวด ?
แต่เมื่อเห็นแว่นตาที่เจียงเสี่ยวไป๋มอบให้ หลินฉางเกิงก็อมยิ้มขึ้นมา
เพราะมันคือแว่นตาแบรนด์ซื่อหมิง ซึ่งเป็นแบรนด์เก่าแก่ตั้งแต่ปี 1933 ในห้างสรรพสินค้าขายอยู่ที่ราคา 33 หยวน
หลินฉางเกิงเคยไปดูอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่เขาก็ยังเสียดายเงิน ไม่กล้าซื้อ
“พ่อหนุ่มช่างมีน้ำใจจริง ๆ ! ”
หลินฉางเกิงมองออกไปนอกประตูพลางบ่นพึมพำกับตนเอง
[1] เก้าอี้หมวกทางการ 官帽椅 (กวนเม่าอี่) เป็นหนึ่งในทรงเก้าอี้ดั้งเดิมที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเก้าอี้ทางการ มักจะจัดเรียงตามชนชั้น ยศถาบรรดาศักดิ์ของผู้ที่นั่ง