ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 122 : ภรรยามีไอเดียดี ๆ อีกแล้ว
ตอนที่ 122 : ภรรยามีไอเดียดี ๆ อีกแล้ว
“……”
เขาเดินไปรอบ ๆ ไซต์งานก่อสร้าง คนงานในไซต์งานต่างทักทายเขาอย่างอบอุ่น
เจียงเสี่ยวไป๋เดินไป รับคำทักทายของคนงานทีก็ยื่นบุหรี่ให้คนงานที
ที่ตัวเขาพกมาแต่บุหรี่จงฮว๋า พอคนงานรับบุหรี่ไปต่างก็พากันยิ้มแก้มปริ
ถนนที่ทอดยาวออกมาจากถนนลูกรังไปจนถึงหน้าผาและเนินดินริมแม่น้ำเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ฝายกั้นน้ำและคูระบายน้ำทั้งสองฝั่งถนนก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วเช่นกัน
พื้นถนนถูกสร้างขึ้นอย่างดี ผิวถนนถูกปกคลุมไปด้วยกรวดละเอียด
ไม่รู้ว่าจวงปี้เฉิงไปขนลูกกลิ้งหินขนาดใหญ่มาจากไหน คนงานนับสิบคนกลิ้งลูกกลิ้งหินขนาดใหญ่เพื่อบดผิวถนน
“ระวังความปลอดภัยด้วยนะครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินผ่าน เขาไม่ลืมที่จะกำชับให้คนงานรักษาความปลอดภัย
“วางใจได้ เถ้าแก่เจียง”
คนงานตอบกลับอย่างมั่นใจ ในใจของพวกเขาเกิดความซาบซึ้งใจขึ้นมา
พวกเขาเคยไปทำงานมาทุกที่ แต่นายจ้างที่คอยกำชับให้พวกเขารักษาความปลอดภัยของตนเองมีแค่เถ้าแก่เจียงคนเดียวเท่านั้น
พอเดินต่อไปด้านหน้าต่อ เขาก็เห็นคนงานหกคนใช้โซ่เหล็กผูกก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งไว้ แล้วช่วยกันใช้ไม้ท่อนหนาเท่าปากชามสามท่อนมาทำเป็นคานรับน้ำหนักเพื่อย้ายหินก้อนใหญ่ เท้าของพวกเขาก้าวไปตามจังหวะอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เหล่าพี่น้อง ช่วยกันออกแรง ! ”
มีคนงานตะโกนเสียงดังคอยให้จังหวะ
“เมื่อขึ้นเนินต้องก้าวเดินไป……”
“เฮ้ย ย่ะ ! ”
“ไหล่ของเราถูกกดจนมีแผล……”
“เฮ้ย ย่ะ ! ”
“ลงเนินแล้ว เราต้องเดินลงเนิน ! ”
“เฮ้ย ย่ะ ! ”
“เกร็งสะโพกของเราเอาไว้……”
“เฮ้ย ย่ะ ! ”
“แบกมันเข้าไปในภูเขาลึก……”
“เฮ้ย ย่ะ ! ”
“เจียวเจียวน้อยตกจากเกี้ยวแล้ว……”
“เฮ้ย ย่ะ ! ”
“ไม่มีทางข้างหน้าแล้ว……”
“เฮ้ย ย่ะ ! ”
“เราต้องใช้คานงัด……”
“เฮ้ย ย่ะ ! ”
“……”
คนหนึ่งตะโกนร้องนำ คนที่เหลือแบ่งออกเป็นสองกลุ่มโดยธรรมชาติ กลุ่มหนึ่งร้องประโยคก่อนหน้า ส่วนอีกกลุ่มร้องรับ “เฮ้ย ย่ะ ! เฮ้ย ย่ะ ! ” เสียงร้องนั้นหยาบ ทว่ากลับดูมีพลัง เสียงเพลงพื้นบ้านนี้ดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขา ให้ความรู้สึกที่น่าทึ่งมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างยังรู้สึกเหมือนว่าร่างกายมีพลังขึ้นมาเช่นกัน
ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
ประเพณีการร้องเล่นของเหล่าแรงงานยามทำงานในยุค 80 นี้ช่างมีชีวิตชีวาเสียจริง
เพราะในโลกยุคหลังนั้น ด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและเศรษฐกิจ อุปกรณ์เครื่องจักรกลต่าง ๆ ได้ถูกนำมาแทนที่แรงงานคน และเสียงของเครื่องจักรคำรามเข้ามาแทนที่เสียงขับขานบทเพลงพื้นบ้านของเหล่าแรงงาน
ไม่มีคนงานคอยร้องเพลงยามทำงานอีกแล้ว ไม่มีการก้าวเดินที่เป็นระเบียบตามทำนองเพลง ไม่มีแรงผลักดันที่เกิดจากใจจริง
จะมีก็แต่ความขมขื่นบนใบหน้า
หลังจากถอนหายใจสักพัก เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินไปที่แม่น้ำ
จวงปี้เฉิงและเหลียงซือฮุยต่างก็อยู่ตรงนี้ เขาคอยสั่งให้คนงานทำที่กั้นน้ำและตอกเสาเข็มลงไป ทำให้งานเดินเร็วมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ดูแล้วก็หันหลังกลับ โดยไม่รบกวนพวกเขา
หลังจากเดินผ่านถนนที่สร้างขึ้นใหม่ ทำให้เขารู้สึกว่าถนนอิฐที่ปูยาวไปตลอดทางกลับบ้านดูแคบลงยิ่งขึ้น ทว่าผิวของหินกลับเป็นมัน สืบสานรอยเท้าบรรพบุรุษของชาวเจียงวานจากรุ่นสู่รุ่น
เจียงเสี่ยวไป๋ชอบความรู้สึกที่ได้เดินบนถนนสายเล็กแห่งนี้
ถนนปูหินขัดมันแข็ง หญ้าเขียวขจีตลอดสองข้างทาง ดินสีน้ำตาลเหลืองและต้นกล้าสีเขียวในทุ่งนา พร้อมกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่านมาเบา ๆ ทำให้ทุกสิ่งดูสวยงามมาก
“เสี่ยวไป๋กลับมาแล้ว วันนี้เริ่มรับซื้อกุ้งหรือยัง ? ”
“ตอนนี้ยังรับน้อย อีก 2-3 วันถึงจะรับซื้อเยอะ”
“เสี่ยวไป๋เองหรือ เข้ามานั่งพักในบ้านก่อนสิ”
“ไม่ล่ะ ฉันต้องกลับไปทำธุระต่อ ไว้วันหลังนะ”
“เสี่ยวไป๋ พรุ่งนี้รับซื้อกุ้งไหม ? ”
“ลุงไปหาเสี่ยวเฟิงน้องชายผมเลย เขาเป็นคนคอยรับซื้อกุ้งให้ผม”
“เสี่ยวไป๋ มา ๆ มาสูบบุหรี่กัน อย่าถือสาที่มันเป็นบุหรี่ราคาถูกเลยนะ ! ”
“ขอบคุณครับ ! ”
เสี่ยวไป๋……”
“……”
ตลอดทางกลับบ้านนั้น มีชาวบ้านหลายคนทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ตอบรับทุกคนอย่างเป็นกันเองเช่นกัน
เมื่อมาถึงบ้าน เจียงชานก็นั่งรออยู่ที่ธรณีประตูแล้ว
“ชานชาน ทำไมลูกถึงมานั่งตรงนี้ ไม่เข้าบ้านล่ะ ? ”
“หนูมารอป่าป๊า ! ”
เสียงของหนูน้อยทั้งหวานทั้งอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าเธอมีความสุขมาก
ดูเหมือนหัวใจของเจียงเสี่ยวไป๋จะละลายไปกับเสียงของลูกสาว กลายเป็นพลังทำให้เขากลับมาสดชื่นอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าทั้งหมดคล้ายกับถูกสายลมพัดหายไปในพริบตา
มีภรรยาที่งดงามเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ทั้งยังมีลูกสาวที่น่ารักขี้อ้อนแบบนี้ ต่อให้ต้องลำบากแค่ไหน เขาก็จะทำให้พวกเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีที่สุด
“เข้าบ้านกันเถอะ พ่อจะทำของอร่อยให้กิน”
“ป่าป๊า วันนี้เราจะกินอะไรกันหรือคะ ? ”
“ชานชานอยากกินอะไรล่ะ ? ”
“ป่าป๊าทำอะไร หนูก็ชอบหมดแหละ”
“งั้นพ่อทำข้าวตุ๋นหัวปลาให้กินดีไหม ? ”
“ได้ค่ะ ! ”
เมื่อวานเจียงเสี่ยวโจวจับปลาเฉาฮื้อมาได้สองตัว เขาจึงเอาใส่ถังมาให้เจียงเสี่ยวไป๋ วันนี้จะได้นำมาย่างกินพอดี
หลินเจียอินเดินออกมาพอดี เธอได้ยินว่าเขาจะทำข้าวตุ๋นหัวปลา จึงอดถามไม่ได้ “เอาหัวปลามาตุ๋นกับข้าว ? แล้วตัวปลาล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับ “ข้าวตุ๋นหัวปลาเป็นเมนูขึ้นชื่อและอร่อยสุด ๆ ไปเลย”
“ส่วนตัวปลา……”
“ผมมีให้คุณทั้งชีวิต ! ”
หลินเจียอินชะงักไปก่อนเล็กน้อย แต่แล้วเธอก็มีปฏิกิริยา
“ไปเลยนะ ! ”
เธอง้างกำปั้นขึ้น ทำท่าพร้อมต่อยหน้าเขา
เจียงเสี่ยวไป๋รีบหลบอย่างรวดเร็ว แต่รอยยิ้มกลับปรากฏบนใบหน้าของเขา บางครั้งการแกล้งภรรยาก็สนุกกว่าแกล้งลูกสาวเสียอีก
เขาแกล้งเธอเสร็จแล้วก็รีบไปทำปลาเพื่อเตรียมทำอาหาร
ข้าวตุ๋นหัวปลาไม่ใช่ข้าว แต่มันคืออาหาร
วิธีทำนั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่รสชาติอร่อยอย่างแน่นอน
ชาติที่แล้ว เจียงเซียวไป๋ชอบกินปลามาก คราวนี้สิ่งแรกที่เขาคิดคือทำอาหารเมนูปลาให้ภรรยาและลูกสาวกิน
ในความคิดของเขา สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดจะต้องแบ่งปันให้กับคนที่เขารักที่สุดด้วย
มีสุขร่วมสุข มีทุกข์เขาขอแบกไว้เอง
มันคือความเชื่อของผู้ชายคนหนึ่ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋ทำข้าวตุ๋นหัวปลาเสร็จแล้ว เขาจึงเรียกหลินเจียอินและเจียงชานมากินข้าวด้วยกัน
“ป่าป๊า ข้าวตุ๋นหัวปลาตรงไหน หนูไม่เห็นข้าวเลย ? ”
หนูน้อยความจำดี เธอจำได้ขึ้นใจว่าป่าป๊าบอกจะทำข้าวตุ๋นหัวปลาให้กิน ตอนแรกเธอนึกว่าจะมีข้าวอยู่ด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นชามเปล่าให้เจียงชานแล้วพูดว่า “ข้าวตุ๋นหัวปลาที่ว่านี้ เราจะต้องกินหัวปลาก่อน รอจนกระทั่งกินของที่อยู่ในหม้อไฟไปพอประมาณแล้ว เราถึงจะใส่ข้าวสุกลงไปในหม้อลม เคี่ยวกับซุปที่เราตุ๋นหัวปลาไปสักพัก เพียงเท่านี้ก็จะได้เมนูข้าวตุ๋นหัวปลาแล้ว”
“ว้าว หนูอยากกินแล้ว ! ”
หนูน้อยโห่ร้องด้วยความดีใจแล้วหยิบชามเปล่ามากินหัวปลาจากหม้อไฟ
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแบบนั้นก็กลัวว่าเธอจะถือชามไม่ไหว เขาจึงรีบรับชามในมือของเธอมา แล้วคีบหัวปลาให้เธอครึ่งซีก
จากนั้น เขาก็ยื่นชามเปล่าให้หลินเจียอิน “เมียจ๋า คุณก็กินด้วยสิ”
หัวปลาเฉาฮื้อสองตัวถูกแบะครึ่งนำมาตุ๋น ทำให้มีหัวปลาอยู่ 4 ซีกด้วยกัน หัวปลาตุ๋นในหม้อไฟจึงมีไม่มากนัก
“ป่าป๊า หัวปลาอร่อยจังเลยค่ะ”
ทุกครั้งที่เจียงชานกินข้าว เธอก็มักจะกล่าวชมป่าป๊าของเธอเสมอ
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ นะ”
และเจียงเสี่ยวไป๋มักจะตอบเธอแบบนี้เสมอ ราวกับว่านี่เป็นธรรมเนียมระหว่างพ่อกับลูกสาว
“เมียจ๋า คุณลองกินปากปลาสิ ! ”
“เมียจ๋า คุณกินตาปลาไหม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋แยกหัวปลาในชามของเขา และคีบส่วนที่อร่อยที่สุดลงในชามของหลินเจียอิน
“ของฉันมีแล้ว คุณเองก็กินด้วยสิ ! ”
หลินเจียอินรู้สึกว่าเจียงเสี่ยวไป๋เอาใจเธอมากเกินไป จนเธอดูเหมือนเด็กน้อย เธอจึงเขินอายเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเขาจะตั้งใจปรนเปรอและเอาใจเธอจนเธอชินไปเลยล่ะ
หัวปลาทั้ง 4 ซีกถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว
ต่อไปคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เจียงเสี่ยวไป๋นำข้าวสุกใส่ลงในหม้อไฟ ปิดฝาแล้วเคี่ยวไว้ประมาณ 15 นาที
เมื่อเปิดฝาหม้ออีกครั้ง กลิ่นหอมเข้มข้นได้ลอยโชยออกมา
หลินเจียอินและเจียงชานต่างมองเข้าไปในหม้อไฟ พวกเธอเห็นว่าเม็ดข้าวที่แต่เดิมเป็นสีขาวได้เปลี่ยนเป็นสีทองสุกสว่าง ดูฉ่ำไปด้วยน้ำซุป
เนื่องจากหัวปลาอุดมไปด้วยคอลลาเจนอยู่แล้ว ข้าวจึงดูดซับน้ำซุปปลาได้อย่างเต็มที่
“ลองชิมดูสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบชามของเจียงชานมา แล้วตักข้าวให้เธอเต็มชาม
แน่นอนว่าของหลินเจียอินก็เป็นเจียงเสี่ยวไป๋ที่ตักให้เช่นกัน
เขาต้องปรนเปรอภรรยาและลูกสาวให้เท่าเทียมกัน
“อร่อย ! ”
หลินเจียอินชิมไปหนึ่งคำ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาทันที
เธอไม่เคยกินข้าวที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย
“อร่อยมากเลยค่ะ ! ”
คำชมของหนูน้อยมักมากกว่าหม่าม๊าของเธอเสมอ
มื้อนี้ แม่กับลูกสาวกินข้าวเยอะอีกแล้ว
“ถ้าร้านใหม่ของเราขายทั้งกุ้งอบน้ำมันและข้าวตุ๋นหัวปลา ธุรกิจของร้านจะต้องเฟื่องฟูแน่นอน ! ”
หลินเจียอินลูบพุงน้อย ๆ ของตนเองแล้วพูดออกมาอย่างตั้งใจ