ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 129 :ลูกสาวฉันจะจบ ม.ปลาย ปีนี้แล้ว
ตอนที่ 129 :ลูกสาวฉันจะจบ ม.ปลาย ปีนี้แล้ว
ตอนนี้นอกจากเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว หวังผิงยังเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นที่ต้อนรับของชาวบ้านในเจียงวาน
ทันทีที่เขามาถึงเจียงวาน ชาวบ้านต่างทักทายอย่างเป็นกันเองทันที
“เสี่ยวหวัง มาแล้วหรือ ! ”
“เสี่ยวหวัง วันนี้รับซื้อเยอะไหม ? ”
“เสี่ยวหวัง เดี๋ยวฉันไปเอาชามาให้ ดื่มชาก่อนสิ”
“……”
หวังผิงมาทีไร ราวกับมีเงินทองตามมากองอยู่หน้าบ้านพวกเขา
ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนให้นิยามหวังผิงไว้แบบนี้
ตอนนี้ หวังผิงจะเข้ามารับซื้อกุ้งเครย์ฟิชที่เจียงวานตกวันละประมาณ 1,200 ชั่ง
ผู้ใหญ่หนึ่งคนจับกุ้งเครย์ฟิชได้อย่างน้อยวันละ 30-40 ชั่ง มากหน่อยก็ประมาณ 50-60 ชั่ง จำนวนกุ้งที่ต้องการวันละ 1,200 ชั่งเพียงพอให้หลายครอบครัวได้จับมาขายหารายได้เลี้ยงชีพแล้ว
อีกทั้งด้วยราคารับซื้อที่มากถึงชั่งละ 3 เหมา ชาวบ้านเหล่านี้จึงมีรายได้ต่อวันอย่างน้อยก็ 10 หยวน
เดือนนึงมีรายได้ตกประมาณ 300-400 หยวน
ดังนั้น ตอนนี้ชาวเจียงวานทุกคนจึงตั้งตารอคอยการมาถึงของหวังผิงในทุก ๆ วัน
เพราะหากวันไหนหวังผิงไม่มา เจียงเสี่ยวเฟิงก็จะไม่รับซื้อกุ้งเครย์ฟิช
ที่เฉินเจียโกวก็เช่นกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อบ้านและโถงบรรพบุรุษของตระกูลเฉินมาในราคาที่ต่ำมาก ฉะนั้นเขามักจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ เขาจึงให้เฉินเจิ้นฮวารับซื้อกุ้งเครย์ฟิชที่เฉินเจียโกว
ซึ่งเขาให้เฉินเจิ้นฮวาที่ราคาชั่งละ 3 เหมาเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าเฉินเจิ้นฮวาจะรับซื้อจากชาวบ้านในราคาเท่าไหร่นั้น เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เข้าไปยุ่งแล้ว
แต่เขาให้การรับประกันว่าเขาจะรับซื้อกุ้งเครย์ฟิชของเฉินเจียโกวจากเฉินเจิ้นฮวาเท่านั้น
เฉินเจิ้นฮวาเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างซื่อตรงมาก เขาไม่ได้กดราคารับซื้อต่ำเกินไป โดยเขาให้ราคาชาวบ้านชั่งละ 2.5 เหมา ส่วนเขาได้กำไรจากส่วนนี้ชั่งละ 5 เจี่ยว
ตอนนี้ ปริมาณกุ้งเครย์ฟิชที่หวังผิงแบ่งไปรับมาจากเฉินเจียโกวไม่ถือว่ามากนัก ตกวันละประมาณ 300 ชั่งเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ เฉินเจิ้นฮวาก็มีรายได้ตกวันละ 15 หยวนเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังจับขายเองอีกด้วย
เมื่อรวมรายได้ทั้งสองทางเข้าด้วยกัน ทำให้เขามีรายได้เกือบ 20 หยวนต่อวัน
“เป็นพรจากบรรพบุรุษฉันจริง ๆ ที่ฉันได้รู้จักกับเถ้าแก่เจียง ! ”
เฉินเจิ้นฮวารู้สึกขอบคุณเจียงเสี่ยวไป๋มาก จนแทบจะยกย่องว่าเจียงเสี่ยวไป๋เหมือนเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง
ทว่าพอเขาไม่เห็นเจียงเสี่ยวไป๋นานเข้า เขาก็หันไปยกย่องหวังผิงแทน
“เถ้าแก่หวัง กินข้าวสักมื้อแล้วค่อยไปเถอะ ! ”
“เถ้าแก่หวัง ลูกชายของคุณแต่งงานหรือยัง ลูกสาวของฉันจบ ม.ปลาย ในปีนี้แล้วนะ……”
หวังผิงเป็นคนหน้าซื่อใจซื่อ จึงเป็นที่ชื่นชอบของเฉินเจิ้นฮวา
แต่คำพูดของเขาสร้างความตกใจให้แก่หวังผิงไม่น้อย หวังผิงรีบพูดขึ้นว่า “ลุงเฉิน ลูกชายของผมเพิ่งใกล้ 5 ขวบเอง”
“แล้วเถ้าแก่เจียงล่ะ ? เขาดูสะอาดสะอ้าน แถมยังดูเด็กอยู่เลย เขาคงยังไม่แต่งงานใช่ไหม ? ”
“ลุงเฉิน ลูกสาวของเจียงเสี่ยวไป๋อายุมากกว่าลูกชายผม 2 เดือน ! ”
หวังผิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เฉินเจิ้นฮวาผิดหวังมาก ทำไมผู้ชายดี ๆ ถึงได้แต่งงานเร็วนักนะ ?
หวังผิงแอบเอาเรื่องนี้มาเล่าให้เจียงเสี่ยวไป๋ฟัง ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะอยู่พักหนึ่ง
หวังผิงพูดอย่างไม่ยอมว่า “เห็นกันอยู่ว่าเขาสนใจนาย แต่แค่มาตะล่อมถามฉันเท่านั้นแหละ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มแล้วพูดว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาถูกใจใคร เพราะถึงอย่างไรเขาก็สนใจเรื่องที่เรามีเงิน ดังนั้นผู้ชายน่ะเวลามีเงิน อะไรก็ดูง่ายหมดแหละ พอไม่มีเงิน แม้แต่จะมองหน้าใครยังยาก ฉะนั้นเงินคือสิ่งเชิดหน้าชูตาของผู้ชาย”
หวังผิงเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เขาต้องทำงานหาเงินให้ได้เยอะ ๆ ถึงจะเชิดหน้าชูตาในสังคมได้ ไม่อย่างนั้นภรรยาและลูกของเขาจะต้องลำบาก
เวลาผ่านไป 2 วันอย่างรวดเร็ว
วันนี้ เจียงเสี่ยวไป๋นั่งเล่นหมากรุกกับลูกสาว แต่จู่ ๆ ติงจวิ้นเจี๋ยก็มาหาเขา
“เถ้าแก่เจียง คุณทำตัวสบายจัง ท่านรองนายกถามผมหลายครั้งแล้วว่าคุณจะไปหาเขาเมื่อไร”
“อ้อ……”
เจียงเสี่ยวไป๋ตีหน้าผากตัวเอง “เลขาติง ขอโทษด้วย ต้องขอโทษจริง ๆ ผมลืมไปเสียสนิทเลย”
พูดจบ เขาก็ดูหงุดหงิดขึ้นมา “คุณดูสิ ผมก็แค่ประชาชนทั่วไป วัน ๆ เอาแต่เข้าครัวทำอาหารหาเงินเลี้ยงครอบครัวหรือไม่ก็นั่งเลี้ยงลูก ทำให้ผมลืมเรื่องสำคัญที่ท่านรองนายกพูดไปเสียสนิท”
มุมปากติงจวิ้นเจี๋ยกระตุก
ในฐานะที่เขาเป็นเลขาของรองนายกเทศมนตรี ที่เขาได้รับการยอมรับและความเชื่อมั่นจากท่านรองนายกเพราะเขามีความสามารถในการสังเกตคำพูดและอารมณ์ของผู้คน เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังแถไปเรื่อย
แต่เขารู้จักเจียงเสี่ยวไป๋ดี ชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถถึงขนาดแกล้งตีหน้าซื่อตบตารองนายกเทศมนตรีได้ เป็นไปได้ว่าเขาจะตีบทหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก [1]
ขนาดคนระดับผู้นำ คนเขายังไม่สนใจ ? แล้วฉันที่เป็นแค่เลขาคนหนึ่งจะไปเหลืออะไร ?
เขายิ้มเจื่อนแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เจียง คุณเป็นคนมีความสามารถสูง ทำไมต้องมาทำให้เลขาอย่างผมลำบากใจด้วย ถ้าคุณไม่ไปพบท่านรองนายก ผมต้องซวยไปด้วยแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริง ฉะนั้นเขาจึงตอบไปอย่างจนใจว่า “ตกลง ผ่านไปสักสองวันค่อยนัดใหม่ได้ไหม ผมจะลองกลับไปคิดดู”
ติงจวิ้นเจี๋ยม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องพูดว่า “ได้ งั้นอีก 2 วันผมจะมารับคุณนะ ! ”
พูดจบ เขาก็บอกลาแล้วเดินคอตกจากไป
“เลขาติง เดี๋ยวก่อน ! ”
หลังจากเรียกให้อีกฝ่ายหยุดแล้ว เขาก็เรียกให้เจียงเสียวหย่งไปห่อกุ้งอบน้ำมันเนื้อกุ้งเกรด A มา 2 ชุด
“เลขาติง คุณเอาไปให้รองนายกเทศมนตรีจาง 1 ชุด เก็บไว้กินเอง 1 ชุดนะ ! ”
ติงจวิ้นเจี๋ยเคยดูในเมนูอาหารมาก่อน กุ้งอบน้ำมันเนื้อกุ้งเกรด A ราคาสูงถึงชุดละ 10 หยวน มูลค่าเท่ากับหนึ่งในสามของเงินเดือนเขาเลย
“เถ้าแก่เจียง ขอบคุณนะครับ ! ”
ติงจวิ้นเจี๋ยดีใจมาก
แถมเจียงเสี่ยวไป๋ยังมีเทคนิคในการมอบของขวัญด้วย เพราะเขาบอกมาแล้วว่านำไปให้รองนายกเทศมนตรี 1 ชุด เขาจะปฏิเสธก็คงปฏิเสธไม่ได้
หากเขาไม่รับ ฉะนั้นส่วนที่เป็นของรองนายกเทศมนตรีจางล่ะ ?
หลังจากส่งติงจวิ้นเจี๋ยกลับไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เกาหัวตัวเอง
เฮ้อ อะไรที่ต้องเผชิญก็ต้องเผชิญนั่นล่ะ
แต่หลังจากคิดมาตลอด 2 วันนี้ เขามีแผนในใจแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่รีบร้อน
“มา ชานชาน เรามาเล่นกันต่อเถอะ ! ”
หลังกลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ เขามีความคิดที่ดีขึ้นมาก เขาตั้งมั่นกับตนเองว่าไม่ว่าเขาจะหาเงินได้มากขนาดไหน มันก็ไม่สำคัญไปกว่าการใช้เวลาอยู่กับภรรยาและลูกสาว
เวลา 17.00 น. เจียงเสี่ยวไป๋ไปที่ตลาดผักเพื่อซื้อผักกลับมา จากนั้นเขาก็กลับร้านไปรับหลินเจียอินและเจียงชานกลับบ้าน
นับตั้งแต่เปิดร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียง ในที่สุดทั้งสองร้านก็ดำเนินการไปในทิศทางที่ถูกต้องอีกครั้ง ตอนนี้เขากลับมามีนิสัยเดิม คือเลิกงานตรงเวลา
“ไม่มีเถ้าแก่ที่ไหนอยากเลิกงานกลับบ้านเร็วเหมือนคุณอีกแล้ว ! ”
บนพ่วงข้างของรถ หลินเจียอินพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจังว่า “ผมไม่ใช่เถ้าแก่ คุณต่างหากที่เป็นเถ้าแก่ร้าน ดังนั้นผมก็แค่ลักพาตัวเถ้าแก่ตัวจริงกลับบ้านเร็วต่างหาก ! ”
“ชิ ! ”
หลินเจียอินทำเสียงฟึดฟัด “ทำมาเป็นโยนให้ฉัน ถ้าฉันไม่ยอมเสียอย่าง คุณจะลักพาตัวฉันไปได้หรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ในที่สุดภรรยาของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว
ในที่สุดเธอก็ยอมพูดคุยเล่นกับเราเสียที
นี่ถือเป็นเรื่องดี
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะกรุ้มกริ่มแล้วพูดว่า “ถึงอย่างไรคุณก็ต้องยอมอยู่แล้ว ! ”
หลินเจียอินเบือนหน้าหนีจากเขา
เมื่อมาถึงเจียงวาน เจียงเสี่ยวไป๋ให้หลินเจียอินและเจียงชานกลับบ้านก่อน ส่วนเขาไปเดินตรวจงานที่ไซต์งานก่อสร้าง
ตอนนี้ ไซต์งานก่อสร้างเปลี่ยนแปลงไปมาก
ถนนสายหลักหน้ากว้าง 12 เมตรเสร็จในเบื้องต้นแล้ว เหลือแค่เทปูนซีเมนต์ลงไปเท่านั้น
แต่เจียงเสี่ยวไป๋วางแผนว่ารอให้ทำตัวบ้านเสร็จแล้วค่อยเทปูนซีเมนต์บนผิวถนน
แท่นระเบียงริมแม่น้ำสร้างเสร็จแล้วเช่นกัน เสาในน้ำ 6 ต้นถูกแบ่งออกเป็น 2 แถวเพื่อรองรับแท่นระเบียงขนาดใหญ่ สูงจากผิวน้ำประมาณ 4 เมตร ห่างออกไปประมาณ 6 เมตร มีทางลาดริมแม่น้ำ
แท่นระเบียงเชื่อมต่อกับฝายกั้นชั้นที่ 1 มีบันได 5 ขั้นสามารถขึ้นไปถึงถนนบนทางเดินของฝายกั้นน้ำได้
ตรงริมฝายมีราวกั้นสูงประมาณ 80 เซนติเมตรอยู่ล้อมสามด้าน สามารถพิงราวรับลมและมองดูแม่น้ำที่ไหลผ่านไปช้า ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนทั้งตัวเคลื่อนไหวไปตามสายน้ำ
แม้แต่หลินฉางเกิงยังชมว่า “พ่อหนุ่มยังหนุ่มก็มีชีวิตที่สุขสบายเช่นนี้แล้ว ช่างโชคดีเสียจริง ! ”
[1] หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก 死猪不怕开水烫 หมายถึง ไม่หวาดกลัวต่ออะไรทั้งนั้น (ใช้ในการเย้ยหยันอีกฝ่าย)