ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 13 :บัญชีของฉันชำระหมดแล้ว แต่ของแกยัง
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 13 :บัญชีของฉันชำระหมดแล้ว แต่ของแกยัง
ตอนที่ 13 :บัญชีของฉันชำระหมดแล้ว แต่ของแกยัง
เจียงเสี่ยวไป๋เดินมาได้ครึ่งทาง ฟ้าก็มืดแล้ว
โชคดีที่คืนนี้พระจันทร์และหมู่ดาวส่องแสงสว่าง แสงสลัวของดาวและพระจันทร์ส่องลงมาทำให้เขามองเห็นถนนที่อยู่ใต้เท้าของเขาลาง ๆ
ใจเขาลอยไปที่บ้านแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋เดินเร็วราวกับลูกศรที่พุ่งผ่านในความมืด หลังเดินออกจากถนนลูกรัง เขาก็เดินผ่านถนนสายเล็กที่ตัดผ่านทุ่งนา เดินอ้อมบ้านสองสามหลัง ไม่นาน เขาก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาแล้ว
เมื่อเขาเงยหน้ามองก็เห็นว่าประตูใหญ่เปิดอยู่ แสงจากตะเกียงน้ำมันก๊าดส่งสลัวออกมาจากตัวบ้าน มีเงามากกว่าสองเงาวูบไหวไปตามแสงไฟอย่างไร้ทิศทาง พร้อมกันนั้นเขายังได้ยินเสียงร้องไห้ของหลินเจียอินและเสียงดุด่าของผู้ชายคนหนึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋ใจหล่นวูบ เร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปทันที
ทันทีที่เขาเข้าประตูบ้านมา เขาก็เห็นว่านักเลงเฉินกำลังโผเข้าหาหลินเจียอิน
เจียงเสี่ยวไป๋โมโหมาก เขาไม่คิดเลยว่าเมื่อเขากลับบ้านมาด้วยความตื่นเต้น สิ่งที่เขาเห็นจะเป็นฉากนี้
แบบนี้เขาจะเซอร์ไพรส์ลูกและภรรยาของเขาได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าพวกเธอกำลังหวาดกลัวมาก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตะโกนเสียงดัง เขาทิ้งของในมือแล้วรีบวิ่งไป
จู่ ๆ ได้ยินเสียงตะโกนของเจียงเสี่ยวไป๋ ร่างของนักเลงเฉินถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
หลิวหงเทาหันไปมองด้วยความประหลาดใจ เขามึนงงจนลืมเข้าไปหยุดเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงชานน้อยได้ยินเสียงจึงหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นป่าป๊า หนูน้อยก็ตะโกนเรียกเขาด้วยเสียงร้องไห้โฮทันที “ฮือ ๆ ป่าป๊า ป่าป๊า”
หลินเจียอินที่กำลังหมดหวังเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างของเจียงเสี่ยวไป๋
ทันใดนั้น เธอก็น้ำตาไหล
ในดวงตาคู่สวยที่เปื้อนไปด้วยน้ำตามีทั้งความประหลาดใจและความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาคนนี้ปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญพอดี
จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว เพียงชั่วพริบตาเดียวเจียงเสี่ยวไป๋ก็วิ่งไปถึงด้านหลังของนักเลงเฉิน มือใหญ่ของเขาคว้าเสื้อด้านหลังของนักเลงเฉินเอาไว้แล้วเหวี่ยงออกไปในแนวราบอย่างแรง
“อ๊าก ! ”
นักเลงเฉินกระเด็นออกไปกระแทกกำแพงดิน แล้วตกลงบนพื้นอย่างแรง ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
“ที่รัก ชานชาน ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบเดินเข้าไป สองมือของเขาโอบภรรยารักและลูกสาวไว้ในอ้อมแขน พลางถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร โชคดีที่คุณมาพอดี”
หลินเจียอินตอบกลับด้วยท่าทางหวาดกลัว
“เจียงเสี่ยวไป๋ นี่แกกล้าลงมือกับฉันหรือวะ ! ”
ในตอนนี้เอง นักเลงเฉินได้ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้นพลางตะโกนใส่เขาด้วยความเดือดดาล
เจียงเสี่ยวไป๋คลายอ้อมแขนที่โอบภรรยาและลูกสาว ทันใดนั้นเขาก็หันขวับกลับมาจ้องไปที่นักเลงเฉินด้วยความโมโหแล้วพูดอย่างดุดันว่า “แกกล้าลงมือกับภรรยาและลูกสาวของฉัน ฉันทำแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ไม่ฆ่าแกให้ตายก็บุญแล้ว”
เมื่อมองดูท่าทางของเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว นักเลงเฉินยังอดใจสั่นวาบไม่ได้
ทว่าเขาก็พูดอย่างหยิ่งยโสอีกครั้ง “เจียงเสี่ยวไป๋ เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว ฉันมาที่นี่เพื่อทวงหนี้ที่แกติดฉัน ในเมื่อแกไม่มีเงินใช้หนี้ ฉันจับเมียของแกมาขัดดอก แล้วแกจะทำไม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเยาะ “นักเลงเฉิน ที่นายทำมันไร้กฎเกณฑ์ไปหน่อยหรือเปล่า ขนาดทางกฎหมายยังไม่สามารถพาดพิงไปได้ถึงคนในครอบครัว ในเมื่อคนที่ติดเงินนายคือฉัน นายก็ควรมาทวงเงินกับฉันสิ ถือโอกาสมารังแกภรรยาและลูกสาวตอนที่ฉันไม่อยู่บ้าน คนแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร ? ”
นักเลงเฉินหน้าแดง แต่ก็ยังคงเถียงกลับ “แกจะมัวพูดจาไร้สาระอะไรวะ เป็นหนี้ก็ต้องจ่าย แน่จริงแกก็คืนเงินที่ติดหนี้ฉันมาสิวะ”
“ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบธนาบัตรสองใบที่พิมพ์รูปประชาสามัคคีออกมาโยนใส่หน้านักเลงเฉิน “เอาไป”
หา ?
นักเลงเฉินอึ้ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะควักเงินจ่ายหนี้เขาได้จริง ๆ
ธนบัตรแบบนี้สองใบมีมูลค่า 20 หยวนเลยนะ
ในยุคนี้ เงิน 20 หยวนไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลย มันสามารถซื้อได้หลายอย่างเชียวนะ
นักเลงเฉินคว้าธนบัตรสองใบที่พื้นขึ้นมาแล้วยัดมันลงในกระเป๋ากางเกงอย่างมีความสุข เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้สิ ในเมื่อได้เงินมาแล้ว ฉันจะยอมเงียบแล้วกัน ไอ้น้องชายคนนี้มีความสามารถจริง ๆ ไปเล่นไพ่กับฉันอีกสักตาสองตาไหมล่ะ ? ”
นักเลงเฉินเห็นว่าในตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋ควักเงินออกมาจ่าย ในกระเป๋าของเขายังมีธนบัตรแบบนี้อีกหลายใบเลยล่ะ
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ถึงมีเงินมากมายขนาดนี้ แต่นักเลงเฉินอยากได้เงินจากเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงไม่ติดใจเอาความเรื่องที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำร้ายเขา แต่กลับชวนเจียงเสี่ยวไป๋ไปเล่นไพ่แทน
“ไม่ล่ะ ต่อไปนี้ฉันไม่เล่นไพ่อีกแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“พูดได้ดี พูดได้ดี”
นักเลงเฉินไม่สนใจคำพูดของเขา ตามประสบการณ์ตรง ตราบใดที่คนเราติดการพนันไปแล้วก็ยากที่จะถอนตัวได้ เขาเดาว่าเจียงเสี่ยวไป๋คงโกรธที่เขารังแกภรรยาและลูก
ถึงอย่างไรเงินในกระเป๋าเจ้าหมอนั่นก็มีมากขนาดนั้น เจียงเสี่ยวไป๋คงใช้ไม่หมดในเวลาสั้น ๆ หรอก พรุ่งนี้ค่อยมาโน้มน้าวใหม่แล้วกัน
ดังนั้น เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า“ในเมื่อใช้หนี้หมดแล้ว งั้นฉันไม่รบกวนล่ะนะ”
เขาหันไปพยักหน้าให้หลิวหงเทา แล้วทั้งสองก็เดินออกไปที่ประตู
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่พูดอะไร เขาเดินตามออกไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อนักเลงเฉินและหลิวหงเทาเดินเข้าไปในลานข้างร่องน้ำ จู่ ๆ เขาก็ตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน”
นักเลงเฉินและหลิวหงเทาหยุดเดิน ทั้งสองหันกลับมาและมองหน้ากัน พวกเขาคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋คงเปลี่ยนใจจะไปเล่นไพ่กับพวกเขา
นักเลงเฉินจงใจถามแหย่เล่น “ในเมื่อเราเคลียร์หนี้กันแล้ว ไอ้น้องชาย นายยังมีธุระอะไรกับฉันอีก ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋แค่นหัวเราะ “ฉันใช้หนี้ที่ติดแกไปหมดแล้ว แต่หนี้ที่แกติดฉัน ยังไม่ได้ชำระ”
นักเลงเฉินชะงักไป เขาถามด้วยสีหน้าเย้ยหยันว่า “ฉันติดหนี้อะไรแก ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ผายมือออก “แกทำร้ายภรรยาและลูกสาวของฉัน หรือแกคิดว่าฉันจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่าย ๆ ? ”
ในบ้านของเขามีพื้นที่ไม่กว้าง อีกทั้งภรรยาและลูกสาวของเขาก็ยังอยู่ในนั้น ถ้าเขาลงมือในบ้านอาจทำให้สองแม่ลูกถูกลูกหลงได้ เขาจึงรอจนนักเลงเฉินเดินไปที่ลานริมร่องน้ำ เจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก
ระหว่างที่พูด เจียงเสี่ยวไป๋ก้าวฉับ ๆ ไปตรงหน้านักเลงเฉิน แล้วเหวี่ยงหมัดขึ้นชกหน้านักเลงเฉินจนเลือดกำเดาไหล
“เจียงเสี่ยวไป๋ แกมันรนหาที่ตายจริง ๆ ”
นักเลงเฉินถูกชกก็โต้กลับทันที หลิวหงเทาเห็นทั้งสองชกกัน เขาจึงเหวี่ยงหมัดเข้าไปร่วมวงด้วย
ไม่นาน ทั้งสามคนก็ชกต่อยตะลุมบอนกัน
สำหรับเรื่องของการต่อสู้ อย่าดูแค่ในนิยายบู๊ลิ้ม ภาพยนตร์และละครทีวีที่ยอดฝีมือผู้มีวรยุทธเก่งกาจจะไร้เทียมทานอยู่เพียงคนเดียว เพราะในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้น
ในการต่อสู้ สามสิ่งที่จำเป็นคือความกล้าหาญ ความแข็งแกร่งและสามกังฟู กังฟูมาเป็นอันดับสามเท่านั้น ความแข็งแกร่งเป็นอันดับสอง และ “ความกล้า” เป็นอันดับหนึ่ง
รู้หรือไม่ว่าทำไมจู่ล่งในสามก๊กถึงสามารถฆ่าแม่ทัพของฝั่งศัตรูได้มากที่สุด ทั้งที่เขาไม่ใช่ผู้ที่มีวรยุทธล้ำเลิศที่สุด ?
หลิวหวงซูเอ่ยปากเองเชียวนะว่า: ทั้งตัวของจูล่งเต็มไปด้วยความองอาจ !
ดังนั้น ในบรรดาทั้งสามคนนี้ ถึงแม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะตัวเล็กที่สุด กำลังวังชาพอกันกับนักเลงเฉินและหลิวหงเทา แต่เมื่อทั้งสามคนสู้กันจริง ๆ เขากลับสามารถสู้แบบหนึ่งต่อสองได้อย่างสบาย ๆ
มันไม่ใช่เหตุผลอื่นใดเลย มันเป็นเพราะเจียงเสี่ยวไป๋กล้าหาญ เขาสู้อย่างไม่หวงแหนชีวิต
ตรงกันข้าม ถึงแม้ว่านักเลงเฉินและหลิวหงเทาจะดูเหมือนโหด แต่พวกเขาไม่ได้มีความกล้าและมีฝีมือเท่าเจียงเสี่ยวไป๋ ปกติพวกเขาชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า พอมาเจอคนจริงอย่างเจียงเสี่ยวไป๋ ทั้งสองจึงสู้ไม่ได้
ระหว่างที่ต่อสู้อยู่นั้น เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบไปเห็นซีกไม้ไผ่ที่เขาวางกองไว้แถวขั้นบันไดลงร่องน้ำ
มันคือซีกไม้ไผ่ที่เขาใช้ไม่หมดตอนทำคันธนูและลูกธนูเมื่อตอนกลางวัน หลินเจียอินเก็บกวาดลานตรงร่องน้ำแล้วจึงเก็บซีกไม้ไผ่กองไว้ตรงขั้นบันไดลงร่องน้ำ
เจียงเสี่ยวไป๋มองเห็นโอกาส เขาจึงเดินไปที่ขอบขั้นบันไดและหยิบซีกไม้ไผ่ขึ้นมาสองท่อน ในระหว่างการต่อสู้ เขาถือไม้ไผ่ไว้ในมือทั้งสองข้าง และตีหัวนักเลงเฉินกับหลิวหงเทา
ทั้งสองเสียเปรียบอยู่แล้ว และตอนนี้เจียงเสี่ยวไป๋ยังมีอาวุธอีก พวกเขาหมดแรงใจจะสู้ต่อแล้วจึงร้องคร่ำครวญอย่างต่อเนื่อง
เสียงการต่อสู้ดังระงมจนชาวบ้านที่อยู่แถบนี้ได้ยินเสียง เจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงออกมาดูก็เห็นว่านักเลงเฉินและหลิวหงเทากำลังรุมเจียงเสี่ยวไป๋
นี่มันหมาหมู่ชัด ๆ
เจียงไห่หยางคว้าคานหาบของ ส่วนเจียงเสี่ยวเฟิงคว้าคราดเหล็กแล้วพากันวิ่งออกไป
เจียงเสี่ยวเฟิงวิ่งไปก็ตะโกนไปว่า “นักเลงเฉิน คนจากหมู่บ้านถังซานของพวกแกกล้ามารังแกคนของหมู่บ้านเจียงวาน คิดว่าคนเจียงวานรังแกกันง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ”
ส่วนคนอื่นที่ออกมาจากบ้านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาได้ยินเพียงว่าคนจากหมู่บ้านถังซานมารังแกคนในหมู่บ้าน ต่างคนจึงต่างหยิบอาวุธที่ตนเองคว้ามาได้ แล้วพากันวิ่งไปที่ลานริมร่องน้ำที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋