ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 131 :สิงโตอ้าปากกว้าง
ตอนที่ 131 :สิงโตอ้าปากกว้าง
ติงจวิ้นเจี๋ยเดินเข้าไปได้ไม่นานก็ออกมาเรียกเจียงเสี่ยวไป๋เข้าไป
“สวัสดีครับ รองนายกจาง ! ”
หลังจากที่เดินเข้าประตูมาแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ทักทายเขาอย่างสุภาพ
“คุณเจียงมาแล้วหรือ นั่งก่อนสิ ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งและพูดด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณเขา ก่อนที่จะนั่งลงและมองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจสำนักงาน
ปี 1983 ไม่เหมือนกับยุคสมัยต่อมา ห้องทำงานของผู้นำระดับเมืองล้วนตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีโซฟาหรือโต๊ะกาแฟ นอกจากโต๊ะทำงานของผู้นำแล้ว ในห้องมีแค่ชั้นเก็บเอกสารและเก้าอี้ 2 ตัวสำหรับรับรองแขกเท่านั้น
ซึ่งผู้นำบางคนอาจวางไม้แขวนไว้หลังโต๊ะเพื่อแขวนเสื้อโค้ทหรือหมวก
หลังจากที่ทั้งสองคนนั่งลง ติงจวิ้นเจี๋ยก็ได้เดินเข้ามาเสิร์ฟชาให้และจากไป
“ได้ยินมาจากประธานฟู่ว่า แก้วกระดาษใช้แล้วทิ้งสำหรับชงชานี้เป็นความคิดของคุณเจียงด้วย”
รองนายกเทศมนตรีจางชี้ไปที่แก้วชาร้อนที่ทำมาจากกระดาษและพูดด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงไปเล็กน้อย เขารู้อยู่แล้วว่าท่านรองนายกเทศมนตรีจางมีเรื่องที่จะพูดคุยกับเขา แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องนี้
เขายิ้มเจื่อน ดูเหมือนว่ารองนายกเทศมนตรีจางจะแอบสืบประวัติของเขามาแล้ว
“ผมก็แค่คนฉลาดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้ท่านรองนายกขบขันแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขาตั้งใจว่าจะตอบแบบพอเป็นพิธี
“เฮอะ ๆ……”
รองนายกเทศมนตรีจางหัวเราะและกล่าวว่า “การทำสิ่งที่น่าทึ่งได้หนึ่งครั้งอาจเป็นเพราะโชคช่วย หากทำสิ่งน่าทึ่งได้สองครั้งนั่นเรียกว่าฉลาด แต่หากสามารถทำเรื่องน่าทึ่งได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นไม่แสดงถึงความสามารถหรอกหรือ”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดต่อว่า “ทั้งผัดมันฝรั่ง ชามและถ้วยกระดาษแบบใช้แล้วทิ้ง เมนูกุ้งอบน้ำมัน คนฉลาดเรื่องไม่เป็นเรื่องจะทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ? ”
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นก็มีความเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
นายกเทศมนตรีจางโบกมือปัดและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ คุณไม่ต้องอายหรอก ถ้าคุณต้องการอะไรสามารถพูดมาได้เลย”
หลังจากผ่านพ้นช่วงสถาปนาประเทศมา เมื่อประเทศจีนเข้าสู่ช่วงปฏิรูปเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดปฏิรูปและเปิดกว้าง เหล่าผู้นำตระหนักดีว่าเกียรติยศหรือคำสั่งเพียงอย่างเดียวไม่สามารถระดมความกระตือรือร้นของผู้คนได้ทั้งหมด
‘ถ้าอยากให้ม้าวิ่ง ก็ต้องให้หญ้าม้า’
หลังจากที่นายกเทศมนตรีจางชี้ให้เห็นถึงความสามารถของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็เข้าประเด็นในทันที
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีท่าทีอ้ำอึ้งอีกต่อไป เขาพูดออกมาตามตรงว่า “การพัฒนาของทุกสิ่งนั้นล้วนมีกฎเกณฑ์ มีระยะเริ่มต้น ระยะพัฒนา ระยะพัฒนาไปจุดสูงสุด และระยะเสื่อมถอย ตอนนี้กุ้งเครย์ฟิชยังอยู่ในระยะเริ่มต้น เหมือนการเพาะกล้าต้นอ่อน หากคุณต้องการพัฒนาก็ต้องเริ่มจากการสำรวจ”
รองนายกเทศมนตรีจางพยักหน้าเห็นด้วย แล้วบอกให้เจียงเสี่ยวไป๋พูดต่อ
“ที่ผมสามารถคิดค้นเมนูกุ้งเครย์ฟิชได้มีรสชาติอร่อยขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะผมศึกษาและสำรวจมานานถึง 2 ปี”
“อะแฮ่ม……”
“ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ คนอื่นอาจเห็นว่าผมเอาแต่กินดื่มและเล่นไพ่ไปวัน ๆ ”
“แต่ในความเป็นจริง นั่นคือสิ่งที่ผมแสดงออกไปภายนอกเท่านั้น”
“ผมใช้เวลาตลอดช่วงสองปีแอบคิดค้นและค้นคว้าหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอด”
“เช่น จะทำอย่างไรให้อาหารอร่อย จะคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ อะไรได้บ้าง เป็นต้น”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ดีว่ารองนายกเทศมนตรีจางเคยตรวจสอบประวัติเขามาบ้างแล้ว เขาจึงพูดจาแถด้วยท่าทีจริงจัง บอกเหตุผลว่าทำไมในอดีตอันดำมืดที่ผ่านมาของเขาถึงเป็นแบบนั้น
มุมปากของนายกจางกระตุกถี่ขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย “และหลังจากที่ผมใช้เวลา 2 ปีตกผลึกสิ่งที่ผมศึกษาและคิดค้น ในที่สุดผมก็ได้ผลลัพธ์เล็ก ๆ เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะไปเข้าตาท่านรองนายกได้”
“เข้าประเด็นเลย ! ”
ในที่สุด รองนายกเทศมนตรีจางก็ทนไม่ได้ เลยขัดจังหวะเจียงเสี่ยวไป๋
ขืนปล่อยให้เขาพูดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เขาก็คงยังไม่เข้าประเด็นสักที
เมื่อได้ยินแบบนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ปรับท่านั่งของเขาและพูดออกมาช้า ๆ ว่า “ธุรกิจร้านกุ้งอบน้ำมันของผมกำลังเฟื่องฟู และคาดว่าจะมีคนเลียนแบบในไม่ช้านี้ แต่พวกเขาไม่รู้วิธีการปรุงกุ้งอบน้ำมันให้อร่อย เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางอร่อยเท่ากับที่ผมทำแน่นอน”
เรื่องนี้เขามั่นใจมาก
ในชาติที่แล้ว วิธีการกินกุ้งพึ่งถูกคิดค้นมาเมื่อสิบปีให้หลัง และคนที่คิดค้นมันขึ้นมาก็ไม่ได้อยู่ในชิงโจว
เขายิ้มและพูดต่อ “ดังนั้นหากต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิช ก็ต้องทำให้สูตรกุ้งอบน้ำมันเป็นแบบสาธารณะ เพื่อให้คนสามารถเปิดร้านได้มากขึ้น และผู้คนจะได้ลิ้มลองเมนูนี้อย่างทั่วถึง”
“และนี่คือเหตุผลที่ท่านรองนายกมาหาผมใช่ไหม ! ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น รองนายกเทศมนตรีจางก็พยักหน้า
ในที่สุดก็เข้าประเด็นเสียที
“คุณคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ ? ” รองนายกเทศมนตรีจางถามออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบตกลงอย่างง่ายดายด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นโดยไม่ลังเลใด ๆ
รองนายกเทศมนตรีจางรู้สึกทึ่งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาประหลาดใจที่เจียงเสี่ยวไป๋ยอมตกลงอย่างง่ายดายขนาดนี้
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้มีความสุข เขาก็ได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋พูดอีกครั้ง
“แต่ผมมีคำขอสองอย่าง ! ”
รองนายกเทศมนตรีจางพยักหน้า นี่สิถึงจะเหมือนเจียงเสี่ยวไป๋ที่เขารู้มา หากไม่มีผลประโยชน์ร่วม เขาก็คงไม่ให้ความร่วมมือด้วยอย่างแน่นอน “ว่ามา”
“อย่างแรก จัดสรรที่ดินให้ผม 100 หมู่เพื่อใช้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม”
“อย่างที่สอง ให้โควตาซื้อรถ 3 คันกับผม”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวออกมาเสียงดัง
เงื่อนไขทั้งสองข้อที่เขาเสนอมานี้ได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบมาแล้วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เขาจำได้ว่าในปี 1978 คือจุดเริ่มต้นของระบบความรับผิดชอบในสัญญาครัวเรือน ทำให้เกิดการปฏิรูปที่ดิน ระหว่างปี 1978 ไปจนถึงปี 1985 รัฐบาลสามารถจัดหาที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมให้แก่นายทุนด้วยต้นทุนต่ำหรืออาจไม่ต้องจ่ายต้นทุนเลย
และเนื่องจากความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมและจำนวนฐานอุตสาหกรรมมีน้อยมากในเวลานี้ นโยบายนี้จึงไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อการจัดหาที่ดิน ต่อให้ใช้ที่ดินอุตสาหกรรมอย่างไร้ประสิทธิภาพก็ไม่เป็นที่ครหาของสังคม
จนกระทั่งปี 1986 ประเทศได้ประกาศใช้ “กฎหมายว่าด้วยการบริหารที่ดิน” ซึ่งบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “ใช้ที่ดินของรัฐต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้ที่ดิน”
ตั้งแต่นั้นมา นับตั้งแต่ที่ประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการบริหารที่ดินอย่างเป็นทางการ และเมื่อเวลาผ่านพ้นไปนานเข้า ที่ดินของรัฐจึงมีราคาแพงขึ้นทุกที
รองนายกเทศมนตรีจางตกใจมาก เจียงเสี่ยวไป๋คนนี้ช่างเหมือนสิงโตอ้าปากกว้างจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมาในทันที แต่ถามเสียงขรึม “แล้วคุณจะเอาที่ดินอุตสาหกรรมจำนวนมากไปทำอะไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบไปตามตรงว่า “ท่านรองนายกจาง คุณอยากจะพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิชไม่ใช่หรือ ? ”
“ผมจะเอาที่ดินไปสร้างโรงงาน ! ”
“โรงงานที่จะใช้เป็นที่ผลิตเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูปโดยเฉพาะ ! ”
“และเมื่อเครื่องปรุงรสกุ้งอบน้ำมันสำเร็จรูปออกวางขายในตลาดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพ่อครัวจากที่ใดล้วนสามารถใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูปนี้ทำตามขั้นตอน แค่นี้พวกเขาก็จะได้กินกุ้งอบน้ำมันที่เหมือนกินที่ร้านผมแล้ว”
อย่างนั้นหรือ ?
รองนายกเทศมนตรีจางเลิกคิ้วเล็กน้อย และจ้องมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายอยู่นาน
เขาเข้าใจในเจตนาของเจียงเสี่ยวไป๋ดี
ต้องบอกว่าเด็กคนนี้เก่งมากจริง ๆ
เพราะตามแผนความคิดของเขา ไม่ว่าใครก็ตามที่เปิดร้านขายกุ้งอบน้ำมัน เขาก็จะพลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน
นี่คือตลาดระยะยาว และไม่มีทางสิ้นสุดไปได้ง่าย ๆ
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รองนายกเทศมนตรีจางคิดว่าถึงอย่างไรโรงงานของเจียงเสี่ยวไป๋ก็จะสร้างขึ้นในเมืองชิงโจว ยิ่งตลาดของเขามีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ในอนาคตเมืองชิงโจวก็จะได้รับภาษีมากขึ้น และเมื่อมีการจ้างงานมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้นเท่านั้น
ทำให้เขาหาเหตุผลมาคัดค้านไม่ได้จริง ๆ
“ไม่มีเงื่อนไขอื่นอีกหรือ ? ”
รองนายกเทศมนตรีจางถามออกมาอีกครั้ง
“มีครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
รองนายกเทศมนตรีจางเงยหน้าขึ้น รู้สึกเหมือนว่ากำลังขุดหลุมฝังตัวเองเข้าแล้ว แทนที่จะตอบตกลงเขาไปให้จบ ๆ เรื่อง ทำไมต้องถามคำถามเขามากมายขนาดนั้น
ใครจะไปรู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมาไม้ไหนอีก
แต่เขาพูดออกไปแล้ว จะมากลับคำทีหลังก็ไม่ดี ดังนั้นเขาจึงกัดฟันพูดขึ้นว่า “ว่ามา ! ”