ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 132 :เงินไม่พอ
ตอนที่ 132 :เงินไม่พอ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่อว่า “หลังจากที่สร้างโรงงานแล้ว แน่นอนว่าโรงงานจะต้องมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องช่วยในการจัดซื้อด้วยเช่นกัน”
ในปี 1983 ทรัพยากรส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยรัฐวิสาหกิจ ต่อให้มีเงินก็ไม่สามารถซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์จำนวนมากได้ง่าย ๆ หลายแห่งจึงให้รัฐบาลออกใบรับรองการในจัดซื้อให้เท่านั้น
และรองนายกจางเขาก็รู้เรื่องนี้ดี
เขาพยักหน้า ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างมีความสุข “ขอแค่รัฐบาลทำใบสั่งซื้อให้ก็พอ นอกนั้นเดี๋ยวผมจะเป็นคนจ่ายเอง”
รองนายกจางพูดต่ออีกว่า “ก็นึกว่าคุณอยากให้รัฐบาลจ่ายเงินให้ซะอีก ! ”
เมื่อสรุปได้แบบนี้ รองนายกจางก็โทรหาติงจวิ้นเจี๋ยในทันทีและบอกเขาให้พาเจียงเสี่ยวไป๋ไปดำเนินการตามขั้นตอนสำหรับพื้นที่อุตสาหกรรม 100 หมู่
ในตอนนี้ แม้จะไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้รัฐบาลเพื่อรับการจัดสรรที่ดินอุตสาหกรรม แต่ก็ยังต้องดำเนินการตามขั้นตอนให้ครบถ้วน
นอกจากนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยังขอให้ติงจวิ้นเจี๋ยจัดการเรื่องโควตารถสามคันด้วย
ติงจวิ้นเจี๋ยจัดการทุกอย่างด้วยความชำนาญ เขาให้เจียงเสี่ยวไป๋ลงทะเบียนข้อมูลการก่อสร้างโรงงาน ใบอนุญาต การเลือกสถานที่ตั้งและขั้นตอนการขอใช้ที่ดิน ฯลฯ ให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน
และเขาก็มอบโควต้ารถทั้งสามคันนั้นให้เจียงเสี่ยวไป๋ในทันที
รถจี๊ปเทียนจิง 212 ราคาคันละ 31,000 หยวน รวมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการดำเนินการก็ประมาณ 33,000 หยวน
แต่ราคาของรถบรรทุกขนาดเล็กรุ่น 130 จะแพงกว่าเล็กน้อย แค่รถสองคันนี้ก็มีราคารวมเกือบ 80,000 หยวนแล้ว
เมื่อได้รับโควตารถทั้งสามคันนี้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ทั้งรู้สึกตื่นเต้นและปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะมันจะต้องใช้เงินมากกว่า 110,000 หยวนในการซื้อรถทั้งสามคันนี้
แต่เงินที่เขามีอยู่ในตอนนี้ยังไม่สามารถซื้อได้
ถ้าหากว่าเงินไม่พอ แน่นอนว่าเขาก็จะต้องไปกู้ธนาคาร
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าธนาคารในตอนนี้แตกต่างจากธนาคารในยุคสมัยต่อมามาก
เพราะยุคสมัยหลังมานี้ คนที่จะมาขอกู้ ธนาคารจะต้องตรวจสอบดูคุณสมบัติและเครดิตด้วย พูดสั้น ๆ ก็คือกู้ค่อนข้างยากกว่าตอนนี้
แต่ในปี 1983 กลับตรงกันข้าม เพราะธนาคารแต่ละแห่งต่างต้องการให้ลูกค้ามากู้เงินกัน แต่ก็ไม่มีใครมากู้ธนาคารเลย
เพราะคนทั่วไปในยุคนี้มักอายที่จะเป็นหนี้ เลยทำให้ไม่มีใครยอมกู้เงินเลย
แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดเลยก็คือ ผู้คนในตอนนี้ต่างก็ไม่รู้วิธีลงทุนหรือวิธีการจัดการเงินที่ถูกต้อง ถ้าเป็นแบบนั้น กู้ยืมไปก็ไร้ประโยชน์
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคิดของคนก็เปลี่ยนไป
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋และติงจวิ้นเจี๋ยแยกกัน เขาก็ขับรถตรงไปที่ธนาคารเพื่อการเกษตรบนถนนชิงโจว
“เถ้าแก่เจียง คุณมาฝากเงินอีกแล้วหรือ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พาหลินเจียอินไปฝากเงินทุกวัน พนักงานธนาคารเกือบทั้งหมดรู้จักเขา พนักงานธนาคารหญิงจึงทักทายด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมอยากพบท่านประธานของคุณ ห้องทำงานของเขาอยู่ที่ไหนหรือครับ ? ”
“อ๋อ คุณกำลังมองหาท่านประธานจูของเรานี่เอง ! ”
พนักงานหญิงบอกว่า “เดี๋ยวฉันพาไปค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณเธอ ก่อนที่จะเดินตามเธอขึ้นบันไดข้างโถงธนาคารไปที่ชั้นสอง
“ท่านประธานจู เถ้าแก่เจียงบอกว่าเขาต้องการพบคุณ ดังนั้นฉันจึงพาเขาขึ้นมาค่ะ”
พนักงานหญิงเคาะประตูห้องทำงานของประธาน เธอยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วพูดกับคนข้างใน
“โอ้ เถ้าแก่เจียงเองหรือ ให้เขาเข้ามาสิ”
ประธานของธนาคารนี้มีชื่อ จูกั๋วฝู เขาไม่ได้รู้จักอะไรกับเจียงเสี่ยวไป๋เป็นการส่วนตัว แต่เขารู้แค่ว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นลูกค้ารายใหญ่ของธนาคาร และมาฝากเงินหลายพันหยวนทุกวัน นอกจากนี้ เขายังรู้จักร้านอร่อยสามมื้อและร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาเคยไปกินอยู่หลายครั้ง
“สวัสดีครับประธานจู ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้เดินเข้ามา พร้อมกับยื่นบุหรี่จงฮว๋าให้จูกั๋วฝูและกล่าวสวัสดีด้วยรอยยิ้ม
“มาเลย มาเลย สูบของผมดีกว่า ! ”
จูกั๋วฝูให้เจียงเสี่ยวไป๋เก็บบุหรี่ไป ขณะเดียวกันเขาก็ควักบุหรี่ของตนเองออกมายื่นให้เจียงเสี่ยวไป๋ “เถ้าแก่เจียงนั่งลงก่อนสิ”
บุหรี่ที่ประธานจูยื่นให้เป็นยี่ห้อจงฮว๋าเช่นเดียวกัน
แต่สิ่งนี้มีนัยยะแฝงเรื่องมารยาทอยู่ เพราะใครเป็นฝ่ายยื่นบุหรี่ให้ คนนั้นคือคนที่สุภาพกว่า
จูกั๋วฝูรีบชิงส่งบุหรี่ให้ เพราะเขาถือว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นแขก
“เอางี้ ผมสูบบุหรี่ของคุณ คุณสูบบุหรี่ของผม ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รับบุหรี่จากจูกั๋วฝู และยืนกรานที่จะส่งบุหรี่ของเขาให้จูกั๋วฝูเช่นกัน
จูกั๋วฝูหัวเราะขึ้นมา ก่อนที่จะรับมันไว้
“เถ้าแก่เจียง ทำไมวันนี้คุณถึงมาหาผมได้ล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋จุดบุหรี่ให้จูกั๋วฝู แล้วถึงจุดให้ตัวเอง เขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ผมมาที่นี่เพื่อขอกู้เงินจากประธานจู ! ”
“กู้เงิน ! ”
จูกั๋วฝูผงะไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอตั้งสติได้ เขาก็มีความสุขขึ้นมาในทันที
ตอนนี้ธนาคารมีหน้าที่ให้กู้เงินในทุก ๆ เดือน แต่เดือนนี้มีลูกค้ามาขอกู้แค่เพียง 3,000 หยวนเท่านั้น ปกติไม่มีใครอยากมากู้เงินเลย
เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเป็นคนที่มากู้ยืมเงิน
แต่เขารู้ว่าหลินเจียอิน ภรรยาของเจียงเสี่ยวไป๋มาฝากเงินหลายพันหยวนในบัญชีทุกวัน
“เถ้าแก่เจียง คุณต้องการกู้เท่าไหร่ ? ”
จูกั๋วฝูถามอย่างตื่นเต้น
“ประธานจู คุณสามารถให้ผมกู้ได้เท่าไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ตอบคำถาม แต่มองไปที่จูกั๋วฝูด้วยรอยยิ้ม
อ่า ?
จูกั๋วฝูตกตะลึงอีกครั้ง คนที่มากู้ธนาคารเขาถามคำถามแบบนี้กันด้วยหรือ ?
ปกติเขาจะกู้ตามที่ต้องการใช้ไม่ใช่หรือ ?
แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้ว เขาหวังว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะกู้เงินให้ได้มากที่สุด และจะดียิ่งกว่านั้นหากเขาสามารถทำยอดได้ตามเป้า
อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินมากขนาดนี้ เขากลัวแต่ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะกู้เงินไม่มากนัก
เขายิ้มและพูดว่า “ยอดสินเชื่อจัดสรรของธนาคารเราในช่วงครึ่งแรกของปีนี้คือ 3 ล้าน และนี่คือจำนวนสูงสุดที่ผมสามารถปล่อยได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “งั้นผมกู้ 3 ล้าน ! ”
ทันทีที่พูดจบ ก้นบุหรี่ในมือของจูกั๋วฝูก็ตกลงไปที่พื้นในทันที
เขายืนขึ้นในทันทีและถามด้วยเสียงสั่นเครือ “คุณ… คุณแน่ใจหรือว่าจะกู้ 3 ล้าน ? ”
ปีนี้ธนาคารได้จัดสรรยอดสินเชื่อให้กู้ยืมของครึ่งปีแรกที่ 3 ล้านหยวน แต่นี่ก็สิ้นเดือนมิถุนายนแล้ว ยอดคนมากู้ยังได้ไม่ถึง 10,000 หยวนเลย เขาแค่พูดต่อหน้าเจียงเสี่ยวไป๋ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะกู้เงิน 3 ล้านหยวนจริง ๆ
“หรือว่าสามารถกู้ได้มากกว่านี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ถ้าสามารถกู้ได้สัก 10 ล้าน ผมก็จะกู้เช่นกัน ! ”
ปัจจุบันนี้ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปและเปิดประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจทั้งหมดยังอยู่ในช่วงลองถูกลองผิด ดังนั้นนโยบายการเงินไม่เพียงแต่เสรีมากเท่านั้น แต่ยังค่อนข้างวุ่นวายอีกด้วย
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งความเร็วของการพัฒนา รัฐบาลได้จัดสรรเงินทุน และไม่เพียงแต่ปล่อยสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ยังไม่มีกำหนดระยะเวลารับชำระคืนที่ตายตัวอีกด้วย
เพียงแต่มีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ นั่นก็คือเงินกู้นี้จะยังคงอยู่ตลอดไป หากบิดามารดาชำระหนี้ไม่ไหวหรือเสียชีวิต ทายาทจะต้องเป็นคนรับชำระทั้งหมด
แน่นอนว่าหากประโยคนี้อยู่ในยุคสมัยหลัง มันจะถือเป็นโมฆะทันที แต่ในช่วงปี 1980 มันได้ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนในสัญญากู้ยืมเงิน
เดิมทีมีลูกค้าธนาคารหลายคนเหมือนกันที่ต้องการกู้เงิน แต่คนในยุคนี้ใช้ชีวิตเรียบง่ายเกินไป และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาตัดสินใจไม่กู้เงินเมื่อเห็นเงื่อนไขการชำระหนี้ข้อนี้
เพราะกลัวว่าถ้าจ่ายไม่ไหว อาจจะเป็นการทำร้ายลูกหลานของตนเองได้
ด้วยความทรงจำในชาติที่แล้วของเขาเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
เขายังรู้ด้วยว่าชาติที่แล้ว มีบางคนกล้าหาญหรือสิ้นหวังได้กู้เงินจากธนาคาร แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องชำระคืน
ธนาคารยกเงินก้อนนั้นให้เป็นหนี้สูญ และผู้ให้กู้ไม่ได้มีการติดตามเร่งรัดหนี้สินหรือรายงานเครดิต ซึ่งเท่ากับเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
น่าเสียดายที่คนในตอนนั้นไม่รู้สถานการณ์ของยุคสมัยหลัง
มิฉะนั้น หากใครใจกล้ามาขอกู้เงินจากธนาคารสัก 10,000 หยวน พวกเขาก็จะกลายเป็นครัวเรือนที่มีทรัพย์สินหมื่นหยวนทันที
แน่นอนว่า เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้มีความคิดจะเบี้ยวหนี้
เขาเพียงต้องการที่จะใช้นโยบายและโอกาสที่ได้รับจากยุคนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเร่งการพัฒนาของเขาเอง