ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 134 :คนสองคนปฏิบัติต่อกันอย่างซื่อสัตย์
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 134 :คนสองคนปฏิบัติต่อกันอย่างซื่อสัตย์
ตอนที่ 134 :คนสองคนปฏิบัติต่อกันอย่างซื่อสัตย์
“ผมไปกู้ธนาคารมา ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดออกไปตามความจริง แต่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
ในยุคนี้ ผู้คนถือว่าการกู้ยืมเป็นหายนะ คนส่วนใหญ่จึงไม่กล้าที่จะกู้ยืมเงินเลย
“ธนาคารปล่อยกู้ให้คุณ 2.88 ล้านเลยหรือ ? ”
ใบหน้าของหลินเจียอินหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่คิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะใจกล้าถึงขนาดไปกู้เงินมาจากธนาคาร
แถมธนาคารยังกล้าปล่อยกู้ให้เขาอีกต่างหาก !
ทั้งหมดนี้ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันคือเรื่องจริง
“ไม่ใช่กู้มา 2.88 ล้าน แต่กู้มา 3 ล้าน ! ”
คำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ทำให้หลินเจียอินพูดไม่ออกอีกครั้ง
เธอจับจุดสำคัญได้อย่างรวดเร็ว “แล้วอีก 120,000 หยวนล่ะ ? มันหายไปไหน ? ”
“ผมใช้มันไปแล้ว ! ”
เปรี้ยง !
ราวกับว่าสายฟ้าจากท้องฟ้าสีครามระเบิดใส่หูของหลินเจียอิน เขา… เขา… เขาใช้เงินมากกว่าหนึ่งแสนหยวนโดยไม่พูดอะไรสักคำ !
นั่นไม่ใช่สิบหยวน แต่เป็นแสนหยวนเชียวนะ !
หลินเจียอินเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ดวงตาของเธอเริ่มเป็นสีแดง
เขาก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย พอเห็นความหวังในชีวิตก็ดันมาใช้เงินแบบนี้ นี่ขนาดแค่ 3 ล้านหยวนนะ ถ้ามี 30 ล้านหยวนจะขนาดไหน
เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่รุนแรงของหลินเจียอินแบบนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตกใจมาก เขาไม่คิดว่าเธอจะตกใจขนาดนี้
เขารีบช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เมียจ๋า ผมไม่ได้เอาไปใช้กับเรื่องไร้สาระ ผมซื้อรถมาสามคัน ! ”
หลินเจียอินได้ฟังก็จะร้องไห้ออกมาแล้ว ซื้อรถมาแค่หนึ่งคันก็น่าจะเพียงพอ แต่นี่เขาซื้อมาตั้งสามคัน แบบนั้นเขาต้องหมดเงินไปเท่าไร ?
โชคดีที่เขาไม่เอาไปเล่นไพ่
มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป
“เมียจ๋า อันที่จริงเงินหนึ่งแสนหยวนคือยอดขายต่อเดือนของร้านเรา ไม่นับว่ามากจนเกินไป ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ปลอบโยน แล้วรีบอธิบายต่อ “ตอนนี้เรารับซื้อกุ้งเครย์ฟิชเป็นจำนวนมาก ในแต่ละวันเราต้องวิ่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเราหลายเที่ยว ในอนาคตเรายังต้องรับซื้อมากขึ้น ฉะนั้นจะละเลยจุดนี้ไม่ได้ การซื้อรถบรรทุกขนาดเล็กเพื่อขนส่งสินค้าจะช่วยให้ทำธุรกิจได้ดีขึ้น”
“นอกจากนี้ หลังจากก่อตั้งโรงงานแล้ว เรายังต้องขนส่งวัตถุดิบ ต้องขนของ ส่งของ วิ่งรถวันละหลายเที่ยว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ซื้อรถ”
เมื่อหลินเจียอินได้ยินแบบนี้ และหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกดีขึ้น
แต่ผู้ชายคนนี้มักจะชอบทำอะไรแบบดุดัน ไม่เกรงใจใครเลยจริง ๆ
ทำไมเวลาทำอะไรถึงไม่ปรึกษากันบ้าง ไม่คิดที่จะถามกันสักคำเลย
แบบนี้มันค่อนข้างน่ากลัว เพราะเกิดเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์แล้วเธอหัวใจวายตายขึ้นมาล่ะ ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาอย่างขุ่นเคือง แต่เมื่อเห็นว่าเขามองเธออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเขา
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาดีกับเธอและลูกสาวมาก
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน การเปิดร้าน หรือแม้แต่การก่อตั้งโรงงาน เขาก็จดทะเบียนในนามชื่อของเธอ แต่ตอนกู้เงินจากธนาคาร เขากลับกู้ในนามของเขาเอง
นอกจากนี้ หากไม่นับเงินที่ใช้ซื้อรถไป เขาก็ยังมอบเงินกู้ที่เหลืออีก 2.88 ล้านหยวนให้เธออีกด้วย
ในโลกนี้ จะมีผู้ชายคนไหนที่ทุ่มเทให้กับเธอได้ขนาดนี้อีก ?
แต่เธอกลับทำเหมือนไม่เคยไว้ใจเขาเลย
“ขอโทษนะ ฉันไม่ควร…”.
เจียงเสี่ยวไป๋รีบขัดจังหวะ “มันเป็นความผิดของผมด้วย ผมไม่ได้คุยกับคุณก่อน ต่อไปผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
บางทีอาจเป็นเพราะในชาติที่แล้ว เขาต่อสู้เพียงลำพังมาโดยตลอด จึงเคยชินกับการตัดสินใจด้วยตัวเอง
หรือบางที เขาอาจจะกังวลว่าถ้าเขาพูดความคิดของเขาให้เธอฟัง เขาก็อาจจะถูกเธอต่อต้าน หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาอยากทำให้เรื่องเหล่านี้สำเร็จก่อนแล้วค่อยบอกหลินเจียอินทีหลัง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสร้างบ้านหลังใหม่ริมแม่น้ำ สร้างถนนกว้าง 12 เมตร ซื้อบ้านและโถงบรรพบุรุษตระกูลเฉิน ไปขอที่ดินเพื่อสร้างโรงงานจากรองนายกเทศมนตรีจาง ไปหากู้เงินจากธนาคาร……
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาทำก่อนแล้วถึงบอกเธอทีหลัง
ถึงแม้ว่าเขาจะได้เกิดใหม่ แต่เขาก็ยังคงเคยชินกับการตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่รู้ว่าหลินเจียอินจะยอมรับสิ่งนี้ได้หรือไม่
“ต่อไป ถ้าคุณอยากจะทำอะไร คุณแค่มาบอกฉันก็พอแล้ว ฉันจะสนับสนุนคุณเอง”
หลินเจียอินมองเข้าไปในดวงตาของเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูด
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดอย่างจริงใจว่า “ได้เลย ! ”
“ต่อไป เราต้องคุยกันทุกเรื่องที่เกิดขึ้น อย่าเก็บมันไว้ในใจคนเดียว โอเคไหม ? ” หลินเจียอินพูดอีกครั้ง
“ได้ครับเมีย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและเห็นด้วย “จากนี้ไป เราจะซื่อสัตย์ต่อกัน ! ”
หลินเจียอินยิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง เธอมีความสุขมากจริง ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ที่เห็นแบบนั้นก็ถึงกับเคลิ้มไป
และในตอนนี้เอง เขาได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสื่อสารกับคนในครอบครัวแล้ว
เขาบอกหลินเจียอินถึงเหตุผลและแนวคิดในการสร้างโรงงานทันที รวมถึงนโยบายปัจจุบัน
ดวงตาที่สวยงามของหลินเจียอินเป็นประกายในทันทีเมื่อได้ฟัง
“ที่แท้นโยบายปัจจุบันนั้นดีขนาดนี้นี่เอง ที่ดินพวกนี้ไม่ต้องใช้เงิน อีกทั้งเงินกู้ของธนาคารก็ยังปลอดดอกเบี้ย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ใช่แล้ว นี่เป็นยุคที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ ในอนาคตไม่มีเรื่องดี ๆ แบบนี้อีกแล้ว”
หลินเจียอินกล่าวว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็พูดออกมาอย่างใจเย็น “เพราะผมมีสายตาที่เฉียบแหลมสามารถเห็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้”
“ชิ ! ”
หลินเจียอินพูดอย่างมีเลศนัย “คุณจะบอกว่าฉันสายตาไม่เฉียบแหลมหรือ ! ”
แต่ในใจของเธอกลับคิดว่า: ฉันน่ะสายตาเฉียบคมที่สุดแล้วที่หาสามีแบบคุณได้ โชคดีจริง ๆ ที่ตอนนั้นฉันไม่ลังเลเลยที่จะทะเลาะกับพ่อแม่เพื่อให้ได้แต่งงานกับคุณ
ทว่าพอนึกถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเธอพลันหม่นหมองลงอีกครั้ง
นี่ก็ผ่านไปห้าปีแล้วที่เธอไม่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่เลย ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกท่านสบายดีหรือเปล่า ? พวกท่านจะคิดถึงลูกสาวอกตัญญูคนนี้บ้างไหม ?
“ทำไมคุณถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามอย่างประหม่า เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าการแสดงออกของภรรยาผิดปกติไป
“ไม่… มีอะไร ! ”
“ฉันแค่คิดถึงพ่อกับแม่ ! ”
หลินเจียอินไม่ต้องการพูดในตอนแรก แต่เธอจำได้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนให้คำมั่นสัญญาแล้วว่าจะซื่อสัตย์ต่อกัน เธอจึงพูดออกมาตามความจริง
เจียงเสี่ยวไป๋งุนงงไปเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ ? พวกเขาก็อยู่สุขสบายดีไม่ใช่หรือ ?
แต่จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้
พ่อแม่ที่ภรรยาพูดถึงไม่ใช่พ่อแม่ของเขา แต่เป็นพ่อแม่ของเธอเอง
ในตอนแรก พ่อแม่ของหลินเจียอินไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่หลินเจียอินก็หนีออกจากบ้านมาเพื่อแต่งงานกับเขา
หลังจากแต่งงาน ทั้งสองเคยไปเยี่ยมพ่อแม่ของเธอครั้งหนึ่ง แต่พวกเขากลับถูกไล่ออกมา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลินเจียอินก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านของเธอมาเกือบห้าปีแล้ว
“เมียจ๋า ผมขอโทษ ! ”
“เมื่อก่อนเป็นเพราะผมไม่ดีเอง ทำให้พ่อแม่ของคุณ เสี่ยวฮ่าว เสี่ยวลี่ และเสี่ยวเล่อต้องพรากกับคุณ”
“ผมต่างหากที่ทำผิดต่อคุณ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่หลินเจียอินด้วยความทุกข์ใจ พร้อมกับกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาและปลอบโยนเธอ
แต่เขาก็เลิกกังวลไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ปลอบเธอ
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ! ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ฉันเลือกเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้น เขาพูดว่า “ผมเคยทำตัวไม่ดี ทำให้พ่อกับแม่ของคุณดูถูกได้ ตอนนี้ชีวิตของเราดีขึ้นแล้ว หลังสร้างบ้านหลังใหม่เสร็จ เราค่อยกลับไปหาพวกเขากัน ผมจะไปขอโทษพวกเขาและชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป ! ”
หลังจากพูดจบ เขาก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “ผมจะทำให้คุณกับพวกเขาคืนดีกัน ให้พวกเขายอมรับผมเป็นลูกเขยด้วย”
“อืม ! ”
หลินเจียอินพยักหน้ารับ “ฉันเชื่อในตัวคุณ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มได้ในทันทีที่ได้ยินภรรยาของเขาบอกว่าเธอเชื่อในตัวเขา มันทำให้เขามีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นใด
ในโลกนี้มีความรู้สึกมากมายระหว่างผู้คน มีทั้งความรัก ความเสน่หา มีทั้งความรู้สึกที่เลือดข้นกว่าน้ำ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกระหว่างมิตรภาพ
แต่สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือความเชื่อมั่นที่อีกคนมีต่ออีกคน
เพราะความเชื่อมั่นเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่สวยงามเหล่านี้
หากปราศจากความเชื่อมั่น ความรู้สึกดีอื่น ๆ ทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังหรือความเฉยชาแทน
เมื่อภรรยาบอกว่าเธอเชื่อในตัวเขา นั่นก็แปลว่าเธอเริ่มที่จะยอมรับในตัวเขาแล้ว