ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 138 :รถมาถึงแล้ว
ตอนที่ 138 :รถมาถึงแล้ว
หลายวันต่อมา ที่เจียงวานยังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง
จึงต้องพักงานก่อสร้างบ้านหลังใหม่ของเจียงเสี่ยวไป๋ไว้ก่อน จวงปี้เฉิงย้ายคนงานไปทำงานในเมือง เพื่อทยอยปรับปรุงร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงสาขา 2 บนถนนชิงซานทางตอนใต้ของเมือง ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงสาขา 3 ที่ย่านขายอาหารทางตะวันตกของเมือง ร้านกุ้งอบน้ำมันชิงเจียงสาขา 4 บนถนนซื่อจือทางตอนเหนือของเมือง และร้านกุ้งอบน้ำชิงเจียงสาขา 5 บนถนนถูเฉียวทางทิศตะวันออกของเมือง
ร้านทั้ง 4 แห่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงและตกแต่งภายในในเวลาเดียวกัน
เจียงเสี่ยวเฟิ่ง เจียงเสี่ยวเฟิน เจียงเสี่ยวหย่ง และหลี่หงอิงได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้จัดการสาขาแต่ละสาขาตามลำดับ และให้พวกเธอคอยเข้าคุมงานตกแต่งร้านใหม่ด้วย
ซึ่งถานชิงซานมีประสบการณ์ในด้านนี้ดี
เขาได้สอนงานให้กับทั้งสี่คน ทั้งสี่ต่างเรียนรู้งานอย่างหนักและคอยขอคำแนะนำจากเขาเสมอ
ขณะเดียวกัน บ้านของช่างไม้ถานในตอนนี้เกือบจะกลายเป็นโรงงานเฟอร์นิเจอร์ขนาดย่อมไปแล้ว
ร้านกุ้งอบน้ำมันทั้ง 4 สาขาของเจียงเสี่ยวไป๋ยังต้องการโต๊ะและเก้าอี้มากกว่า 200 ชุด ซึ่งเขาเป็นคนรับงานนี้เอง ขนาดเขาเรียกให้ลูกศิษย์มาช่วยอีก 3 คน แต่พวกเขาทั้ง 4 คนก็ยังงานยุ่งจนมือไม้แทบพันกัน
เมื่อนึกถึงที่เจียงเสี่ยวไป๋บอกเขาว่าในอนาคตจะขยายสาขาร้านกุ้งอบน้ำมันเพิ่ม จำเป็นต้องใช้โต๊ะและเก้าอี้เพิ่ม ช่างไม้ถานก็พึมพำกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าถ้าทำแบบที่เสี่ยวเจียงพูดจริง ๆ ฉันคงจะสามารถเปิดโรงงานเฟอร์นิเจอร์ได้แล้วล่ะ”
หลี่หมิงซาน ลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดของช่างไม้ถานผ่านมาได้ยินพอดี จึงพูดทันทีว่า “อาจารย์ ถ้าอาจารย์เปิดโรงงานเฟอร์นิเจอร์จริง ๆ อย่าลืมเอาพวกผมไปทำงานด้วยนะ”
ช่างไม้ถานยิ้มและพูดว่า “ฉันต้องพาพวกนายที่เป็นลูกศิษย์ของฉันไปด้วยอยู่แล้ว แต่ต้องรับคนมาเพิ่มอีกด้วย”
หลี่หมิงซานจึงถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “หัวหน้า แล้วในพวกเราทั้งสามคน ใครเก่งงานฝีมือมากกว่ากัน”
ช่างไม้ถานโบกมือแล้วพูดว่า “ทำงานช่างฝีมือยังไม่เป็นสักคนเลย”
หลี่หมิงซานยังคงจะถามต่อ แต่ช่างไม้ถานก็รีบพูดตัดบทอย่างรวดเร็ว
โต๊ะและเก้าอี้มากกว่าสองร้อยชุดไม่ใช่งานเล็ก ๆ และยังต้องทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดด้วย ซึ่งร้านใหม่ทั้งสี่สาขาของเจียงเสี่ยวไป๋มีกำหนดเปิดในเร็ว ๆ นี้แล้ว
แม้ว่าฝนจะตก แต่ก็ไม่กระทบต่อกิจการของร้าน
ชาวชิงโจวให้การตอบรับร้านกุ้งอบน้ำมันดีมาก กล่าวได้ว่าต่อให้ฝนจะตก แดดจะแรงแค่ไหน ที่ร้านก็จะมีลูกค้าเต็มโต๊ะทุกวัน
มันเป็นเรื่องยากสำหรับหวังผิงที่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างวิ่งรับกุ้งเครย์ฟิชทุกวัน เขาต้องฝ่าลมฝน วิ่งรถไป ๆ มา ๆ ระหว่างเจียงวานและเฉินเจียโกวอยู่หลายรอบ
“อย่าได้เป็นหวัดเชียวนะ ! ”
เฝิงเยี่ยนหงมองหวังผิงด้วยด้วยความสงสาร และไม่ลืมที่จะพูดกำชับเขาด้วยความเป็นห่วง
“ฮัดชิ้ว ! ”
หวังผิงจามแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีเสื้อกันฝนอยู่ ไม่เป็นอะไรหรอก”
“คุณจามทั้งวัน ยังมีหน้ามาบอกว่าสบายดีอีกนะ ! ”
เฝิงเยี่ยนหงพูดอย่างเงียบ ๆ แล้วไปที่ห้องครัวเพื่อทำซุปขิงมาหนึ่งชาม
หวังผิงยิ้มอย่างจริงใจ มีซุปขิงของภรรยาให้กินซะอย่าง คนอย่างเขาจะกลัวลมกลัวฝนได้อย่างไร !
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูพวกเขาทั้งสอง ทั้งรู้สึกผิดและมีความสุขในเวลาเดียวกัน เขาพูดออกมาว่า “ขอบคุณทั้งสองมากนะที่ยอมทำงานอย่างหนัก อีกไม่นานรถของเราก็คงจะมาถึงแล้ว”
หวังผิงพยักหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เขาไม่เคยได้จับพวงมาลัยรถยนต์เลยตั้งแต่ออกจากกองทัพมา
ตอนนี้มือของเขาเริ่มแข็งจนจะจับพวงมาลัยไม่เป็นอยู่แล้ว แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“เถ้าแก่เจียง ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ ? ”
ขณะที่คุยกับหวังผิง เขาก็เห็นติงจวิ้นเจี๋ยวางร่มแล้วเดินเข้ามาในร้าน
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เลขาติง คุณเป็นผู้นำหมายเลขสองเลยมีเวลาพักผ่อนบ้าง แต่ผมเป็นเพียงประชาชนคนธรรมดา จะเอาเวลาที่ไหนมาหยุดพัก ต่อให้ฝนจะตกก็เถอะ”
หลังจากที่รู้จักกับติงจวิ้นเจี๋ยมาได้สักระยะ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ดูเป็นกันเองมากขึ้น พวกเขามักจะพูดล้อเล่นและพูดติดตลกใส่กันเสมอ
ติงจวิ้นเจี๋ยยิ้มและพูดว่า “เถ้าแก่เจียง ผมว่าคุณคงไม่ว่างแล้วล่ะ รีบตามผมมาสิ”
น้ำเสียงของเขาดูจะเร่งด่วนมาก
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะไปเล็กน้อย จึงถามไปว่า “ฝนยังตกอยู่เลยนะครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ติงจวิ้นเจี๋ยพูดว่า “ผมมาเชิญคุณเลยนะ ต้องเป็นเรื่องดีสิ”
“เรื่องดี ? ”
ทันใดนั้น ดวงตาของเจียงเสี่ยวไป๋ก็เบิกกว้างขึ้น “เลขาติง อย่าบอกนะว่ารถที่ผมสั่งมาถึงแล้ว ? ”
ติงจวิ้นเจี๋ยหัวเราะเสียงดัง “เถ้าแก่เจียง ผมปิดอะไรคุณไม่ได้เลย ใช่แล้วล่ะ รถสามคันที่คุณสั่งจองไว้มาถึงแล้ว ผมจึงมาที่นี่เพื่อมาบอกคุณ”
“เลขาติง คุณมาถูกเวลาจริง ๆ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก จึงรีบเรียกหวังผิงมา “ไปรับรถกับเลขาติงกันเถอะ”
หวังผิงเองก็ดูมีความสุขไม่ต่างกัน เขาคาดหวังว่ารถบรรทุกคันเล็กจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ แต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะมาได้ถูกจังหวะพอดี ช่างเหมือนดั่งสำนวนที่ว่า ‘พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา’
พวกเขาทั้งสามเข้าไปนั่งในรถและตรงไปที่กรมควบคุมการค้าท่ามกลางสายฝน
เมื่อมีติงจวิ้นเจี๋ยมาด้วย ขั้นตอนการรับรถจึงง่ายดายและเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้มีรถอยู่สามคัน แต่มีเพียงเจียงเสี่ยวไป๋และหวังผิงเท่านั้นที่มารับ จึงเหลือรถอีกหนึ่งคันที่ไม่มีใครขับกลับไป
ติงจวิ้นเจี๋ยจึงพูดว่า “เถ้าแก่เจียง ให้ผมช่วยขับกลับไปที่ร้านให้ไหม ? ”
“งั้นรบกวนด้วยครับเลขาติง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ปฏิเสธ และมอบกุญแจรถจี๊ปเทียนจิง 212 ให้ติงจวิ้นเจี๋ย แต่ติงจวิ้นเจี๋ยกลับพูดว่า “รถใหม่คันนั้นคุณขับเองเถอะ ผมจะขับรถบรรทุกคันเล็กกลับไปให้”
จากนั้นเขาก็หยิบกุญแจรถบรรทุก 130 มา
เมื่อพวกเขาทั้งสามขับรถไปถึงหน้าร้าน ติงจวิ้นเจี๋ยก็กล่าวลาและออกจากร้านไป ก่อนหน้าจะจากไป เจียงเสี่ยวไป๋ยังได้ให้กุ้งอบน้ำมันที่เฝิงเยี่ยนหงเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ให้เขามาด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายก็ยอมขับรถมาถึงที่นี่เพื่อจัดการธุระให้กับเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เคยตระหนี่ให้กับคนที่ช่วยเหลือเขาอยู่แล้ว
หลังจากส่งติงจวิ้นเจี๋ยแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็หันกลับเข้าไปในร้าน ก่อนจะเห็นหลินเจียอินยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“เมียจ๋า รถของคุณมาแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม และยกกุญแจรถในมือขึ้น
“ไม่ใช่รถของฉัน แต่เป็นรถของเราต่างหาก ! ”
หลินเจียอินยังกล่าวด้วยรอยยิ้ม จนดวงตาคู่งามของเธอกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
หลายวันมานี้ฝนตก ถึงจะมีเสื้อกันฝน แต่การต้องนั่งมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเข้าเมืองมาทำงานทุกวันมันไม่สะดวกสบายจริง ๆ
แต่การนั่งรถจี๊ปเทียนจิง 212 นั้นต่างออกไป เพราะหลังคาผ้าใบนั้นช่วยกันลมกันฝนได้เป็นอย่างดี อีกอย่างยังมีกระจกหน้าต่างโปร่งใส ช่วยให้มองเห็นทัศนวิสัยภายนอกได้อย่างชัดเจน
ในความทรงจำของเธอ ครั้งแรกที่ได้นั่งรถประเภทนี้คือตอนที่เธอเพิ่งเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก พ่อของเธอถึงกับยืมรถในที่ทำงานของเขาเพื่อส่งเธอไปเรียนที่ชิงโจว
ตอนนั้นเธอยังคิดว่ามันจะดีสักแค่ไหน หากได้นั่งรถแบบนี้ทุกวัน
และตอนนี้ ความฝันนั้นก็เป็นจริงแล้ว
และผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนี้เองที่ช่วยทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงทุกอย่าง
“ว้าว เรามีรถแล้ว ! ”
เด็กน้อยดูมีความสุขมากที่ได้เห็นรถ เธอเอียงหน้ามองดูรถจี๊ปที่อยู่ข้างถนนหน้าร้านด้วยดวงตาเปี่ยมสุข
“ครอบครัวของฉันก็มีรถยนต์คันหนึ่ง ใหญ่กว่าของเธออีก”
หวังกังเองก็ไม่ลืมพูดโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจอยู่ด้านข้าง
เมื่อเด็กทั้งสองเห็นรถที่พ่อของพวกเขาขับมา พวกเขาก็บอกว่าเป็นรถของครอบครัวพวกเขา
เจียงชานพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่รถของฉันดูดีกว่า ! ”
เด็กผู้หญิง แม้ว่าจะยังเด็กมาก แต่เมื่อพูดถึงสิ่งของต่าง ๆ สิ่งที่เธอให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือความสวยงาม ส่วนเรื่องอื่นไว้ทีหลัง
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ฟังแล้วจึงเดินไปหาเด็กน้อยทั้งสองคน พร้อมกับพูดว่า “พวกลูกต้องจำไว้ว่ารถยนต์เป็นเพียงยานพาหนะในการขับขี่ ไม่สามารถเอามาใช้เปรียบเทียบอะไรได้”
“และต้องจำไว้ว่า พวกลูกสองคนเป็นญาติกัน ต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เข้าใจไหม ? ”
การจะสอนเด็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการมากนักในบางเรื่อง เพียงแค่ยกตัวอย่างเรื่องที่เข้าใจง่ายมาสอนพวกเขา
โดยการชี้แนะสถานการณ์ที่พบในชีวิตประจำวัน เพื่อให้พวกเขามีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ
มันไม่ใช่เป็นการสอนด้วยคำพูด แต่เป็นการสอนด้วยการกระทำ
“รู้แล้วค่ะ ! ”
เจียงชานกระโดดโลดเต้นพลางขานรับไปด้วย
“ผมจะฟังที่ลุงเจียงสอน ผมกับพี่ชานชานเป็นญาติกันและจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เราจะไม่เปรียบเทียบกันอีก”
นิสัยและท่าทางของหวังกังค่อนข้างคล้ายกับของหวังผิง เขาพูดออกมาอย่างจริงใจและซื่อตรง
“ดีมากเด็ก ๆ พวกลูกไปเล่นหมากรุกกันต่อเถอะ ! ”
“ค่ะ/ครับ ! ”
เด็กน้อยทั้งสองเดินออกไปที่สวนหลังบ้านอย่างมีความสุข